ตอนที่ 3 เพราะท่านงามเกินไป
ตอนที่ 3 เพราะท่านงามเกินไป
สำหรับเมืองที่ไม่ค่อยมีฝนหรือหิมะตกลงมา พายุลูกนี้มาโดยไร้คำเตือน พัดต้นกล้วย ล้มกำแพง ทำหลังคาบ้านรั่ว และจมสินค้าที่ยังไม่ถูกขนส่งไปมากมาย เป็นเรื่องน่าผิดหวังยิ่ง
ที่ตรอกอู๋ถงแห่งนี้ จากชื่อแล้ว เป็นสถานที่ที่มีต้นอู๋ถงถูกปลูกไว้มากมาย
ในเมืองฉางหลิง ครอบครัวที่ยากจนส่วนมากเป็นคนหาบเร่ พ่อค้าเร่ ผู้เช่า และข้ารับใช้ ที่ไม่ได้มีที่เป็นของตนเอง สภาพแวดล้อมในแถบที่อยู่อาศัยของพวกเขามีสภาพเลวร้ายและสกปรกกว่าถนนทั่วไปมาก
นอกจากเศษใบไม้ที่ร่วงลงมาเนื่องจากลมฝนพัดแรง ยังมีใบผักและขี้ไก่ลอยอยู่ในแอ่งน้ำบนถนนหินขรุขระ
ติงหนิง เท้าเปียกชุ่ม เต็มไปด้วยโคลนและฝุ่น กำลังรีบร้อน ร่มผ้าทำมือสีเหลืองคันที่เขาถืออยู่นี้ คุณภาพดีกว่าที่ขายอยู่ในตลาด แถมหนักกว่าด้วย เป็นภาระหนักมากสำหรับเขา ต้องคอยสลับมือถือร่มกับขวดน้ำมันงาอยู่ตลอด แล้วยังต้องคอยระวังร่มถูกลมฝนพัดไปอีก จึงเดินเร็วมากไม่ได้
ร้านรวงข้างทางต่างถูกเมฆฝนและเงาต้นอู๋ถงบังจนมืด เขาเห็นเพียงป้ายร้านเหล้าสีน้ำเงินเลือนรางที่กำลังพัดปลิวไปตามลม
ภายใต้ธงสีน้ำเงินคือร้านเหล้าขนาดเล็กร้านหนึ่ง การตกแต่งภายในดูคล้ายกับร้านเหล้าร้านอื่น ๆ ที่หมักเหล้าเองทั่วไป ห้องโถงที่อยู่ติดถนนมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมหนาฝีมือหยาบอยู่หลายโต๊ะ ที่โต๊ะจ่ายเงิน นอกจากขวดเหล้า ยังมีถ้วยดินเผาแบบหยาบใส่ถั่วลิสง ผักดอง และเครื่องเคียงอื่น ๆ คู่กับเหล้า ภายในร้านมีพื้นที่สำหรับหมักเหล้า และห้องพักอาศัย
เมื่อเดินเข้ามายังชายคาร้านเหล้า ติงหนิงก็ถอนหายใจโล่งอก เขาหุบร่มหนักอึ้ง สะบัดแขนที่ปวดล้า ถูโคลนที่ติดอยู่กับพื้นรองเท้าออกอย่างลวก ๆ ก่อนเดินเข้ามา
ทั่วทั้งร้านเหล้าว่างเปล่าไม่เห็นคน
ไม่ใช่เพราะร้านขายไม่ดี เมื่อดูจากโต๊ะที่ใช้แขนเสื้อปาดทีหนึ่งแล้วเงาวับ จะรู้ได้ทันทีว่ามีคนคอยขัดถูโต๊ะพวกนี้วันละหลายครั้ง
ทว่านักดื่มทั้งหลายที่มีเงินและมีเวลา อาจไม่มีอารมณ์ออกมานั่งดื่มเหล้าในวันเช่นนี้ ส่วนลูกค้าที่ไม่มีเวลา คงนั่งจัดการกับรูรั่วในบ้านของตนจากพายุฝนที่มาโดยไม่บอกไม่กล่าว
“ทำไมถึงไม่ถูโคลนกับพื้นหินข้างนอก ต้องมาขูดที่ธรณีประตูด้วย?” น้ำเสียงไม่พอใจของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นจากในสวน ดั่งลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วง พัดผ่านโต๊ะและเก้าอี้ที่ว่างเปล่าในร้าน
ติงหนิงยิ้มไม่แยแส “ใจจริงท่านไม่อยากเปิดร้านเหล้าด้วยซ้ำ ขั้นตอนการหมักเหล้ามีเป็นสิบขั้น ท่านกลับข้ามบางขั้นตอนไป แล้วมากลัวโคลนเลอะธรณีประตูน่ะหรือ?”
เสียงจากในสวนเงียบไป จากนั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้น ม่านกั้นระหว่างสวนชั้นในกับด้านนอกถูกยกขึ้น
“หากรู้ว่าจะมีคนไม่เกี่ยวข้องมาที่ร้านเหล้ามากขนาดนี้ ข้าไม่มีทางเชื่อเจ้าแน่” สตรีที่ยกม่านขึ้นกล่าวน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “อีกอย่าง ธรณีประตูจะสกปรกหรือไม่ เป็นความรู้สึกส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับขายดีหรือไม่”
ติงหนิงคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนพูดขึ้นเสียงขรึม “ข้าขอโทษก็ได้หากเรื่องนั้นทำให้ท่านไม่สบายใจ ทว่าเรื่องขายดีเกินไป กับคนมามากเกินไปไม่นั้นข้าไม่เกี่ยว เป็นเพราะท่านงามเกินไปต่างหาก อีกอย่าง เปิดร้านเหล้ายังดีกว่าความคิดแรกของท่าน ที่อยากจะไปสืบข้อมูลจากย่านหอนางโลมเสียอีก ท่านเคยได้ยินหรือ ว่ามีสตรีนางไหน เกิดในตระกูลดีมีฐานะ แล้วอยากจะไปเป็นนางโลม? สตรีที่นั่นอาจจะเกิดมาเป็นนางโลม แต่นางโลมที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่างเป็นคนโดดเด่นมาก... ท่านคิดว่าคนจากสำนักดาราศาสตร์และกรมเซียนไร้สมองหรือ?”
นางไม่พูดอะไร นางรู้ว่าสิ่งที่ติงหนิงพูดเป็นความจริง
รวมถึงคำที่บอกว่านางงามเกินไปด้วย
สตรีส่วนมากได้ความงามจากเครื่องประทินผิวและเสน่ห์ยวนใจ พวกนางมีสัดส่วนหรืออาจมีนิสัยเย้ายวนใจ บางคนร่างอาจไม่งามนัก แต่พอมองดูโดยรวม กลับเป็นที่เจริญตานัก
ทว่าสตรีที่ยืนอยู่ในร้านเหล้าร้างผู้คนผู้นี้ ไม่ว่ามองตรงไหนก็งาม
ทั้งหน้าตาหรือรูปร่าง มองส่วนเดียว หรือมองโดยรวม นางก็งามมากอยู่ดี
อาจไม่สามารถเรียกได้ว่านางยังสาว แต่นางอยู่ในอายุที่คาบเกี่ยวกับช่วงเด็กหรือช่วงมีอายุ นางมีเสน่ห์ของทั้งสองช่วงอายุ ถึงนัยน์ตาจะมีแต่ความโกรธ สีหน้าเย็นชา สวมชุดที่ธรรมดามากชุดหนึ่ง ความรู้สึกยามผู้อื่นมองนางก็ยังเป็นความงามมากเหลืออยู่ดี
ยามนางสวมชุดผ้าป่านธรรมดา ๆ ชุดผ้าป่านชุดนั้นกลับกลายเป็นชุดที่สวยและมีค่าที่สุดในแผ่นดิน
ไม่ว่าใครได้มองนางก็ต้องเชื่อว่าความงามล่มเมือง อันเป็นความงามที่ดึงสีสันจากสิ่งรอบข้าง เป็นความงามที่มีอยู่จริง
นางยืนอยู่ตรงนั้น หน้าตาเย็นตา สวมชุดที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ทว่าทุกส่วนบนร่างนางกลับดูเปล่งประกาย ชนิดที่ว่าใครเห็นเป็นต้องชอบ
นี่เป็นความงามที่ไม่ธรรมดา และบทสนทนาระหว่างนางและติงหนิงเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เป็นเพราะในบันทึกของกรมเซียนนั้น ชื่อของนางคือ จางซุนเฉียนเสว่ เป็นน้าสาวของติงหนิง ทว่าไม่มีน้าหลานคู่ไหนที่ต้องใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันมายืนถกเถียงกันเช่นนี้หรอก
ภายในร้านเหล้าเงียบสงบ บรรยากาศเย็นยะเยือก
สีหน้าติงหนิงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเครียดขึง เขานึกถึงนักปราชญ์ห้าคนจากสำนักดาราศาสตร์ที่ล้อมลานบ้านจ้าวจั่นไว้ ลานบ้านลานเล็กแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที นัยน์ตาสุกสกาวของเขายิ่งซับซ้อนขึ้น
“จ้าวจั่นตายแล้ว เย่เช่อเหลิ่งกลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงเบา
ความเงียบยาวนานกลืนกินบทสนทนา สตรีรูปงามเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเยียบเย็น “เย่เช่อเหลิ่งตัวคนเดียวหรือ?”
ติงหนิงคาดเดาสิ่งที่นางถาม ก่อนจะตอบเสียงเครียด “ตัวคนเดียว ทว่ามีนักปราชญ์ห้าคนตั้งค่ายกลอยู่ด้านนอก ช่วยขับพลังของจ้าวจั่นขึ้นฟ้าไป อีกอย่าง เย่เช่อเหลิ่งบาดเจ็บด้วย”
“บาดเจ็บ?” คิ้วของจางซุนเฉียนเสว่ขมวดเล็กน้อย
“ข้าไม่เห็นว่าบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน แต่นางบาดเจ็บแน่” ติงหนิงมองตานาง ก่อนเอ่ยขึ้น “เย่เช่อเหลิ่งมาจากศาลาดาบสวรรค์ แถมนางยังฝึกวิชาวารีศักดิ์สิทธิ์ ในพายุฝนแบบนั้น นางย่อมแข็งแกร่งกว่าปกติ ในเมื่อนางสังหารจ้าวจั่นด้วยตัวคนเดียวและได้รับบาดเจ็บด้วย หมายความว่านางแข็งแกร่งพอ ๆ กับจ้าวจั่น”
จางซุนเฉียนเสว่ครุ่นคริดอยู่ชั่วครู่ “ฉะนั้นคงเป็นด่านเจ็ดระดับปลาย”
น้ำเสียงที่นางใช้พูดกับติงหนิงสงบนิ่งมาก ราวกับเป็นเพียงบทสนทนายามว่างทั่วไป ทว่าบทสนทนานี้ หากเจ้าหน้าที่จากกรมเซียนในตอนนั้นมาได้ยินเข้า คงตกตะลึงทีเดียว
วันนี้ ในตรอกแห่งนั้น ผู้ฝึกตนนับสิบปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน นักดาบนับสิบกระอักเลือดจากแรงกดดันที่ล้นออกมา สภาพพวกเขาน่าสงสาร ยืนยังไม่ไหว โดยปกติแล้ว ไม่ว่านักดาบคนไหน ก็สามารถทำลายถนนนับสิบภายในเวลาเพียงสิบห้านาที
มีเพียงผู้มีความสามารถ มีโอกาส และมีร่างกายพิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นผู้ฝึกตนได้
คำว่า ผู้ฝึกตนนั้น เป็นคำที่คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง ผู้ฝึกตนที่สามารถก้าวถึงขั้นหก จะมีชื่ออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์
ยิ่งกับผู้ที่ลึกลับอย่างเจ้าสำนักเย่ ภูมิหลังและการฝึกตนของนางเป็นเรื่องลึกลับมาก กระทั่งนักปราชญ์ห้าคนจากสำนักดาราศาสตร์นั่นอาจยังไม่สามารถรู้ได้ แต่สำหรับสองคนนี้ กลับไม่ใช่ความลับแม้แต่น้อย!
และหากชายชราสวมชุดเรียบง่ายผู้นั้นกับบัณฑิตหนุ่มในหอสูงนั่นได้ยินบทสนทนาเข้า พวกเขาคงยิ่งตกตะลึงกว่า
คนสองคนนั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีสายตากว้างไกลที่สุดในเมืองแห่งนี้ ทว่าหากพวกเขาได้ยินบทสนทนาเข้า คงรู้สึกว่าสองคนนี้มีความรู้และชาญฉลาดกว่าพวกเขาเสียอีก!
สายลมพัดเข้ามาในร้านเหล้า พัดเอาผมยาวของจางซุนเฉียนเสว่พลิ้วไสว
สตรีรูปงามจับผมที่ถูกลมพัดปลิวไปของตน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดทว่าบังคับในที “ไปอาบน้ำเสีย แล้วรอข้าที่เตียง ข้าจะไปปิดร้าน”
กระทั่งติงหนิงยังตะลึงงันไป จากนั้นสีหน้าก็บิดเบี้ยว “ตอนนี้… ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?”
จานซุนเฉียนเสว่เหลือบตามองเขา ก่อนจะหันมา สีหน้าเย็นยะเยือก “ไอเย็นจากพายุอาจหนักเกินไป ปราณแท้ข้าจึงไม่มั่นคงเล็กน้อย”
สีหน้าผ่อนคลายติงหนิงพลันเลือนหายไป เขากล่าวเสียงเครียด “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ด่วนมาก”