คาถาที่ 13 : ถอดจิต
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมมานั่งเบื่อ ๆ ที่คอนโดของไอ้แมทมัน
เห็นวันนี้บอกจะสอนต้มยาอะไรของมันก็ไม่รู้เลยต้องมาที่นี่ กลิ่นงี้เหม็นเขียวโชยไปทั่วห้องตั้งแต่ผมเปิดประตูเข้าไป เล่นเอาผมแทบจะหายใจไม่ออก ยิ่งเห็นควันสีเขียว ๆ ลอยออกมาจากหม้อยิ่งแล้วใหญ่ เวียนหัวคลื่นไส้ชวนอ้วกหนักกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ตอนนี้ผมนึกว่าตัวเองอยู่ในฮอกวอตส์กับศาสตราจารย์สเน็ป หลังจากที่ผมนั่งมองเฉย ๆ อยู่บนเก้าอี้บริเวณครัว ดูมันหยิบนู่นทีนี่ทีใส่ลงไปในหม้ออยู่พักใหญ่ผมก็ถามมันออกไป
“มันคือยาอะไรวะ เหม็นเขียวชิบ”
พูดจบผมก็ลุกจากเก้าอี้เดินไปชะโงกหน้าดูของเหลวสีเขียวที่กำลังเดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ ไม่ลืมที่จะเอามือปิดจมูกตัวเอง น่าขยะแขยงชะมัด ใครมันจะกล้ากินลงไปวะน่ะ หยึย... ยิ่งเห็นผมยิ่งขนลุก
“ยาปลุกเซ็กซ์” แมทธิวตอบผมกลับมากวน ๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผม ขณะตัวมันเองเดินไปหยิบรากไม้อะไรสักอย่างบนชั้นวางของแถวนั้นมาโยนใส่ในหม้อ
“มึงพูดจริงดิ” ผมถามมันออกไปเหมือนคนแกล้งโง่
“กูประชด มึงนี่ก็นะ” มันตอบผมกลับมาพร้อมยักไหล่ ไอ้นี่นับวันมันยิ่งกวนขึ้นทุกที ไม่รู้กี้ชอบมันลงไปได้ยังไง
“แล้วสรุปมันคืออะไร”
“มันเป็นยาที่ไว้ใช้เสริมพลังของพ่อมดแม่มดขาว” ไอ้แมทตอบพร้อมเอากระบวยคนสิ่งที่อยู่ในหม้อ แล้วตักขึ้นมาหน่อยหนึ่งยื่นให้ผม เหมือนจะให้ผมลองชิม หึ ๆ ไม่นะ ไม่มีทางอะ
“มึงจะให้กูกินไอ้สิ่งนี้เหรอ ... ไม่อะ ไม่มีทาง” ผมพูดออกไปรีบส่ายหน้าทันที พลางถอยห่างจากบริเวณที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไอ้แมทแสยะยิ้มออกมาด้วยท่าทีน่าสยดสยอง
“มึงต้องกิน”
ตัวผมกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในสภาพสติหลุดลอย ยังคงนึกถึงเหตุการณ์ที่น้ำสีเขียว ๆ พร้อมกับกลิ่นชวนอ้วกสัมผัสเข้าที่ริมฝีปากผม ผ่านลิ้นรับรสชาติ สู่ลำคอและหลอดอาหารไปในที่สุด ยาบ้ายาบออะไรของมันวะเนี่ย รสชาติเหมือนบอระเพชรผสมชากุหลาบบวกกับน้ำปลา กลับไปถึงหอผมจะท้องเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้ รสชาติโคตรตรึงตราตรึงใจไม่รู้ลืม
“ตอนแม่กูทำให้กินครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน ของมีประโยชน์ทั้งนั้น” มันพูดออกมาขำ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความสะใจ พูดจบมันก็ร่ายที่มาความเป็นไปของไอ้ยานั่นอีกยาวเหยียด ว่ามีประวัติความเป็นมาอันแสนเก่าแก่ ตกถอดมาตั้งแต่แม่มดยุคโบราณกินมันเพื่อเพิ่มอายุวัฒนะของตัวเอง ถึงจะไม่มากมายเป็นร้อยปีเหมือนพวกแม่มดดำ แต่ก็ทำให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ตายเพราะความชรา รวมถึงมันจะทำให้พลังธาตุทั้งสี่ที่มีอยู่ในร่างกายเสถียรและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โอเคเอาเป็นว่าผมเก็ทละกัน
“กูเริ่มเบื่อกับวิธีการสอนของมึงแล้วนะ ขออะไรที่มันคูล ๆ เจ๋ง ๆ หน่อยดิวะ” ผมพูดออกไป ก่อนที่มันจะร่ายอะไรยาวเหยียดไปมากกว่านี้ บอกแล้วไง ผมไม่ชอบวิชาประวัติศาสตร์
“ไหนลองบอกกูมาดิ มึงอยากได้คาถาแบบไหน” ไอ้แมทพูดขึ้น
“ก็แบบเหมือนในหนังอะ หายตัวล่องหน ขี่ไม้กวาด อะไรแบบนี้มีเปล่าวะ”
มันคือสิ่งที่ผมคิดเลยล่ะ มันน่าจะมีอะไรที่เหมือนนิยายชื่อดังอย่างแฮรรี่ พอตเตอร์บ้าง ทุกวันนี้ที่มาเรียนเวทมนตร์กับมันแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย บังคับสิ่งของ เสกไฟ ทำให้ก้อนหินระเบิด คาถารักษาบาดแผลนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เท่านั้น
“มึงนี่ก็อ่านนิยายเยอะไปนะ ไม่มีไรแบบนั้นหรอก ขี่ไม้กวาดเหรอ ตลกน่าดู จะมีก็แต่ถอดวิญญาณใกล้เคียงกับสิ่งที่มึงพูดมากที่สุด เหมือนที่กูเคยถอดไปเข้าฝันมึงไง” ไอ้แมทตอบกลับมา
“เออ แบบนั้นก็ได้ สอนคาถานั้นกูหน่อย” ผมพูดออกไป ณ จุดนี้เอาอะไรก็ได้ที่มันแอ๊ดวานซ์กว่าเดิมไม่น่าเบื่อ
“เดี๋ยวนะ แล้วมึงจะเอาไปเข้าฝันใคร” มันถามผมกลับ เอาไปเข้าฝันใครงั้นเหรอ เอาไปเข้าฝันไหมดีมั๊ยนะ โอ๊ย คิดแล้วฟินเว่อร์
“เรื่องของกูน่า” ผมตอบมันไปพลางคิดเรื่องเลวร้ายแบบเป็นขั้นเป็นตอนหลังจากเรียนกับมันเสร็จ
“กูว่ามึงต้องแอบคิดอะไรทะลึ่ง ๆ หื่น ๆ กับใยไหมอยู่แน่เลยใช่ปะ” มันยกยิ้มมองผมอย่างรู้ทัน
เกลียดชะมัด คนรู้ทัน
“หุบปากไปเลยมึง ไม่สอนก็ไม่ต้องสอน” ผมพูดออกไป ทำไงได้ล่ะ ต้องโวยวายกลบเกลื่อนอะดิ มันเอาไปฟ้องไหมขึ้นมาทำไง
“สอน ๆ แต่ไม่ใช่คาถาดักฝัน กูจะสอนมึงถอดวิญญาณต่างหาก” ไอ้แมทพูดขึ้นมา
“มีประโยชน์ไงวะ เอาไว้ไปแอบดูคนอื่นอาบน้ำงี้เหรอ”
“มึงนี่ก็คิดแต่ละอย่างนะ”
“กูก็แค่พูดเล่น มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย”
“หึ ๆ จะให้กูตอบจริงดิ”
“เออไม่ต้องก็ได้ เห็นหน้ามึงแล้วกูก็พอจะรู้ว่ามึงจะพูดอะไร”
“คืองี้ สมัยช่วงยุคที่มันเกิดการล่าแม่มดขึ้นมา พวกเราเหล่าแม่มดพ่อมดก็ต้องหาวิธีการป้องกันตัวเองจากคนที่ไม่หวังดีต่อกลุ่มเราใช่ปะ เหมือนนักสืบนั่นแหละ ก็ใช้การถอดวิญญาณไปสืบข้อมูลต่าง ๆ จากพวกคนธรรมดา ศาสตร์นี้เลยแพร่หลายในช่วงนั้นและใช้กันมาอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ของมันก็ทำนองนี้ แต่พวกแม่มดดำจะถอดวิญญาณไปทำอีกแบบหนึ่งคือไปทำร้ายคน ทำให้คนที่เกลียดเป็นบ้าก็มี”
“อื้ม พอจะเข้าใจ ไหนลองดิ๊ต้องทำยังไง”
ผมนั่งรอไอ้แมทมันจัดสถานที่อยู่พักใหญ่ ก่อนมันจะเรียกผมเข้าไปหา ภาพที่เห็นตอนนี้คือแท่งเทียนนับสิบแท่งถูกวางไว้เป็นวงกลมสองวง คงจะเตรียมไว้ให้มันและผมไปนั่ง มันบอกให้ผมปิดไฟในห้องทั้งหมด ขณะตัวมันเองเริ่มจุดเทียนแต่ละแท่งขึ้นมา ตอนนี้ทั้งห้องเลยมีเพียงแสงสว่างจากเทียนที่ส่องออกมาเท่านั้น ไอ้แมทบอกให้ผมเข้าไปนั่งในวงแล้วหัดท่องคาถาตามมันไป มันเป็นคาถาสั้น ๆ ไม่ได้ยาวมากเท่าไร แป๊บเดียวผมก็จำได้ขึ้นใจ ขั้นตอนก็ไม่มีอะไรมากหลับตาทำสมาธิแล้วพูดคาถานั้นย้ำ ๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าวิญญาณตัวเองจะออกจากร่าง
“คาถานี้มีข้อแม้อยู่ว่า ถ้าเทียนดับหรือมีคนทำให้มันดับแล้วมึงไม่กลับเข้าร่าง ตัวมึงถือว่าตายอย่างสมบูรณ์” ไอ้แมทพูด เดี๋ยวนะ แบบนี้โคตรน่ากลัวอะ ผมตายได้เลยนะเนี่ย
“เฮ้ย อันตรายนี่หว่า” ผมร้องออกไป ตอนนี้เริ่มไม่อยากเสี่ยงชีวิตกับไอ้คาถานี้แล้ว
“มึงไม่ต้องกังวลหรอกน่า มาทดลองทำแป๊บเดียว กูปิดแอร์หมดแล้ว ไม่มีลม ไม่มีใครเข้ามาทำให้มันดับหรอก มีแค่กูกับมึงสองคนเนี่ย พร้อมยั้ง” มันพูดกับผม
ผมพยักหน้าให้คำตอบ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมไม่ได้ป๊อดขนาดนั้น ทั้งมันและผมต่างเริ่มหลับตาและท่องคาถานั้นในใจ ผ่านไปประมาณห้านาทีได้มั้ง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเบาโหวงเหมือนไม่มีน้ำหนัก ผมเลยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือร่างของผมกับไอ้แมทกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่ผมกับมันไม่ได้หลับตา เราทั้งสองคนลืมตาอยู่ แต่ในสภาพที่ไม่มีตาดำ มีแต่ตาขาว โอ๊ย ... เห็นร่างตัวเองในสภาพแบบนี้แล้วหลอนชะมัด
“กว่าจะออกมาได้ กูรอตั้งนาน” เสียงดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมหันไปมอง เจอร่างของแมทธิวในสภาพโปร่งแสงไม่ต่างอะไรจากผมยืนอยู่
“กูมือใหม่นี่หว่า” ผมตอบมันไป ใครจะทำได้โปรเหมือนมืออาชีพอย่างมันล่ะ ผมเพิ่งกลายมาเป็นพ่อมดไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ
“ลองไปหาไอ้คีย์กับไอ้อิฐดูปะ” มันถามผม
“เอาดิ พวกมันคงตกใจน่าดู ว่าแต่ทำไงวะ” ผมถามมันกลับ ออกมาจากร่างได้ แต่ไม่รู้จะไปหาพวกมันได้ยังไงเหมือนกัน ก็ผมไม่เคยอยู่ในสภาพแบบนี้นี่นา
“มึงนึกถึงหน้ามันสองคนไว้ พูดผิด ไม่ซิ แค่คนเดียวนะ เดี๋ยววิญญาณมึงได้แยกไปสองที่ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เอาเป็นไอ้คีย์ละกัน”
“โอเค” ผมตอบตกลงมันไปเพื่อให้เราจะได้ไปหาคนคนเดียวกัน สถานที่เดียวกัน
พริบตาเดียวร่างของผมกับไอ้แมทก็มาปรากฏที่หอพักของผมเอง ผมมองร่างของไอ้คีย์ที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือเหมือนทำการบ้านหรือรายงานอะไรบางอย่างให้ผมลอกอยู่ ฮ่าฮ่า ผมว่ากลับไปถึงหอก็ได้ลอกมันพอดี ส่วนไอ้อิฐก็กำลังนอนเล่นเกมมือถืออยู่บนเตียง ดูท่าทางจะไม่เห็นพวกผมเพราะไอ้อิฐมันก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เหมือนไอ้คีย์จะเซ้นส์ไวกว่า มันหันตัวกลับมาทันทีเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมองตัวมันเองทางด้านหลัง
“เฮ้ย ! ทำไมมึงมากันสภาพแบบนี้เนี่ย” ไอ้คีย์ร้องออกมา ทำหน้าตื่น ๆ สงสัยมันเห็นวิญญาณจนชิน เลยนึกว่าพวกผมตายไปแล้ว
“อึ้งอะดิมึง” ผมตอบมันไปขำ ๆ ตอนนี้ไอ้อิฐเงยหน้าขึ้นมามองไอ้คีย์แล้ว เพราะในสายตามันคงเห็นไอ้คีย์พูดอยู่กับอากาศ
“นั่นมันเสียงไอ้ชานี่หว่า มึงคุยกับมันเหรอไอ้คีย์ ทำไมกูมองไม่เห็น” ไอ้อิฐถามขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงผมด้วย ไอ้คีย์เลยเดินเข้าไปหามันก่อนใช้มือยมทูตของมันลูบเปลือกตาไอ้อิฐไปหนึ่งครั้ง มันเป็นวิธีที่ทำให้คนธรรมดาเห็นวิญญาณได้ครับ
“เฮ้ย พวกมึงกลายเป็นผีไปแล้วเหรอเนี่ย” ไอ้อิฐพูดขึ้นมาเมื่อเห็นร่างวิญญาณของผมกับไอ้แมท
“ยัง ไอ้แมทมันสอนคาถากูถอดวิญญาณ” ผมตอบไอ้อิฐไป
“ไง เจ๋งปะล่ะ ไปไหนมาไหนได้โคตรไว” ไอ้แมทหันมาพูดกับผม ผมพยักหน้าเห็นด้วยให้กับมัน ตอนนี้ไอเดียในสมองก็บรรเจิดสุด ๆ
“เออดีว่ะ งี้กูแอบไปส่องใยไหมได้ปะ” ผมพูดกับมันไป อยากไปในอารมณ์แบบ แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย
“อย่าเลย แบบนั้นแถวบ้านกูเรียกว่าโรคจิต” ไอ้แมทตอบกลับมา
“เออจริง ไอ้แมทพูดถูก” ไอ้อิฐดันไปเสริมมันอีก
“พวกมึง ทำไมวิญญาณพวกมึงมันกระพิบติด ๆ ดับ ๆ แบบนี้วะ” ไอ้คีย์พูดขึ้นขัดจังหวะผมที่กำลังคุยจ้ออย่างเพลิน ผมกับไอ้แมทก้มลงมองวิญญาณของตัวเอง จริงอย่างที่ไอ้คีย์บอก วิญญาณโปร่งแสงของพวกเราทั้งคู่กระพิบติด ๆ ดับ ๆ เหมือนหลอดไฟกำลังจะเสีย
“เออ จริงด้วย เกิดไรขึ้นวะไอ้แมท” ผมถามมันไปอย่างร้อนรน
“กูว่ารีบกลับเข้าร่างเหอะ ลางสังหรณ์ไม่ดีเลย เหมือนจะมีเทียนบางแท่งดับไป” ไอ้แมทตอบกลับมาอย่างเคร่งเครียดก่อนร่างของมันจะหายวับไปกลับตา
“ฉิบ...” ผมสบถออกมาอย่างตกใจก่อนรีบนึกถึงหน้าของตัวเองเพื่อกลับเข้าร่าง
ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นแท่งเทียนล้มกระจัดกระจายเหลือเพียงเทียนไม่กี่แท่งที่ติดไฟอยู่เท่านั้น เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย ผมมองไปรอบห้องมืด ๆ นั้น ก็เห็นร่างของซิลเวียผู้เป็นน้าของไอ้แมทยืนอยู่ เจ้าตัวก็ทำท่าตกใจเหมือนกันรีบวิ่งมาหาพวกเรา
“อ้าว น้าครับ มาตั้งแต่เมื่อไร” ไอ้แมทเป็นคนพูดก่อนลุกขึ้นเก็บแท่งเทียนที่ล้มระเนระนาด
“นี่ทำพิธีกันอยู่เหรอ น้าเข้ามาเห็นแมวของเราวิ่งไปชนเทียนจนมันดับน่ะ นี่ก็กะจะไปหาไฟแช็กมาจุดให้ใหม่” ซิลเวียพูดตอบไอ้แมทกลับมา
“ไอ้ชาดำเย็นเหรอครับ มันเข้ามาได้ไงอะ ผมว่าผมล็อคประตูแล้วนะ” ไอ้แมทพูดขึ้นมาแบบงง ๆ เกือบไปแล้วไหมล่ะ เพราะแมวดำตาโบว๋นั่นเองเกือบทำให้ผมกลายเป็นผีอย่างสมบูรณ์แบบไปซะแล้ว แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ไอ้แมทมันเรียกแมวตัวเองว่าอะไรนะ ... ชาดำเย็น
“เดี๋ยว ๆ แมวมึงชื่อชาดำเย็น ?” ผมถามมันออกไป
“อาหะ กูเพิ่งคิดชื่อมันออกได้ไม่กี่วันก่อนเอง” ไอ้แมทตอบผมกลับมาด้วยท่าทีไม่เดือดร้อนอะไร มันชักจะกวนหนักข้อกับผมมากขึ้นทุกทีแล้วนะเนี่ย คิ้วขวาผมนี่กระตุกถี่ยิบเลย
“นี่มึงเอาชื่อกูไปตั้งชื่อหมาชื่อแมวเลยเหรอวะไอ้แมท”
“เฮ้ย เหมือนตรงไหน มึงชื่อชาบู ส่วนแมวกูชื่อชาดำเย็น จำนวนพยางค์ก็ไม่เท่ากันแล้ว” พูดจบมันก็ขำออกมา
“สองคนนี้ยังทะเลาะกันอยู่อีกเหรอเนี่ย น้าบอกให้เป็นเพื่อนกันดี ๆ ไง” ว่าแล้วก็เป็นซิลเวียที่มาสงบสงครามน้ำลายของผมกับมัน
“เรื่องปกติครับน้า ว่าแต่น้ามีอะไรเหรอ ถึงเข้ามาหาผม” ไอ้แมทถามออกไป
“แม่มดขาวที่ต่างประเทศแจ้งมาว่า มีแม่มดดำที่เยอรมันถูกฆ่าตายในป่า คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือพวกนักล่าแม่มด” ซิลเวียพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“อะไรนะครับ ! พวกคลั่งศาสนานั่นสั่งให้คนกลับมาเริ่มล่าอีกแล้วเหรอ เรื่องของไอ้ชากับกลุ่มแม่มดดำพวกเรายังเอาตัวไม่รอดเลย” ไอ้แมทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“คงจะเป็นแบบนั้น ข่าวที่นกโจมตีที่มหาลัยพวกเราเป็นข่าวดังถึงต่างประเทศ กลิ่นมันไปไกลขนาดนั้น พวกนั้นต้องตามมาที่นี่แน่”
“เดี๋ยว ๆ นะครับ นักล่าแม่มดอะไรครับ แล้วพวกนั้นจะมาล่าเรา ?” ผมถามขึ้นขัดจังหวะเพราะตอนนี้ผมเป็นคนเดียวที่จับใจความอะไรไม่ได้เท่าไร
“ใช่ นอกจากพวกแม่มดล่ากันเองแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยตามล่าพวกเราอีกที พวกลัทธิคลั่งศาสนา พวกนี้ถือว่าพวกเรามีพลังเหนือธรรมชาติผิดแปลกไปจากมนุษย์ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ที่สำคัญพวกมันไม่แบ่งแยกว่าเป็นแม่มดดำหรือขาว พวกมันฆ่าทั้งหมด”
ฟังจบผมนี่ถึงกับอยากจะเป็นลมตรงนั้นเสียให้ได้ โอ๊ย บ้าบอคอแตกกันไปใหญ่แล้ว แค่เรื่องไอ้แม่มดดำรอวันจันทรุปราคาก็ยังค้างคาอยู่เลย นี่ยังมีพวกกลุ่มนักล่าแม่มดอีก ทำไมชีวิตไอ้ชามันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนและอยู่ยากได้ขนาดนี้เนี่ย