Phantom ร้ายก็รัก ตอนที่ 1
Phantom ร้ายก็รัก ตอนที่ 1
วันนี้เป็นวันเสาร์เป็นวันที่ผมตื่นเช้าเป็นปกติเหมือนทุกๆ วันที่ต้องตื่นไปเรียน จะบอกว่าติดเป็นนิสัยไปแล้วก็ไม่ผิดแต่ผมมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำแทนที่จะนอนขึ้นอืดให้ตัวเองเน่าอยู่บนเตียงอย่างไร้ประโยชน์นั่นคือการลงมาช่วยยายกับน้องทำขนม
เมื่อคืนตอนที่เราสามคนนั่งเล่น ดูทีวีด้วยกันที่ชั้นล่างจู่ๆ ปาแป้งที่ปากเต็มไปด้วยเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มที่น้องสั่งให้ผมแวะซื้อที่คาเฟ่หน้าปากซอยเข้าบ้านมาให้สองชิ้นนั้นก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่าอยากกินขนมไทย และผมก็รู้ทันทีเลยว่าวันรุ่งขึ้นพวกเราต้องตื่นเช้ามาช่วยกันทำขนมเป็นแน่แท้เพราะว่ามันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วยายชอบตามใจปาแป้งมากเรื่องกินแต่แปลกที่กินเท่าไหร่น้องก็ไม่ยักจะอ้วน
เมื่อวานผมกลับมาพร้อมกับไอ้ลูกหินที่มีพี่ดินเป็นคนขับรถผมนั่งเกร็งตัวอยู่ที่เบาะด้านหลังไอ้หินนั่งเงียบๆ ฟังสองพี่น้องเขาคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน และมีบ้างที่ผมได้คุยกับพวกเขาเวลาที่ไอ้หินมันคุยประเด็นที่ผมรู้และเข้าใจซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องเรียนเรื่องกีฬาและเรื่องผู้หญิงที่เรื่องนี้ผมแค่เออออไปตามน้ำ และพี่ดินก็แค่ฟังเงียบๆ จนผมรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเองเป็นตัวภาระทำให้พี่เขาลำบากใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ผมขึ้นรถมาด้วยการที่เขาชวนก็คงเหมือนตัดรำคาญล่ะมั้ง
ผมให้เขาจอดส่งผมที่หน้าปากซอยเข้าบ้านเพราะต้องแวะซื้อของนิดหน่อย พี่เขาก็ทำตามอย่างว่าง่ายจะมียากก็แต่ไอ้หินนี่แหละที่บอกว่าจะเข้าไปส่งผมที่หน้าบ้านให้ได้แต่ผมก็ยืนกรานไม่ยอมท่าเดียวสุดท้ายมันก็ถอดใจ
“อ้าว…ฝุ่นมาพอดีเลย มาช่วยยายร่อนแป้งหน่อยสิลูกเดี๋ยวยายจะเตรียมเครื่องทำไส้ขนม”
“ครับยาย”
รับคำด้วยรอยยิ้มผมก็เดินเข้าไปนั่งลงแทนที่ยายที่เพิ่งลุกออกไป ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมยายถึงอยู่ในครัวคนเดียวก็เพราะว่าน้องสาวผู้หิวโหยขนมไทยของผมคงยังไม่ตื่นน่ะสิครับ สงสัยเมื่อคืนกินเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มเยอะเกินไปเลยหลับเพลินล่ะมั้ง
“แล้วนี่ยายจะทำขนมอะไรเหรอครับทำไมมีดอกอัญชันกับใบเตยด้วยล่ะครับ” ถามหลังจากที่ผมร่อนแป้งไปได้สักพักและนำกลับมาร่อนใหม่อีกรอบเพราะคำสั่งของยาย
“อื่ม…ฝุ่นลองทายดูสิลูก”
“…”
คิ้วผมขมวดพร้อมกับปากที่เริ่มงอขึ้นเมื่อกำลังใช้ความคิด ยายให้ร่อนแป้งตั้งสองรอบแน่ะร่อนจนแป้งแตกละเอียดเนียนดีด้วยนะ แล้วไหนจะใบเตยกับดอกอัญชันที่ยายเพิ่งล้างเสร็จจนสะอาดและนำมาพักไว้นี่อีก
“ยายจะทำขนมชั้น” ก็ขนมชั้นมันมีสีๆ แบบนี้นี่นา
“ไม่ใช่จ๊ะ”
“อ้าว…”
“ฝุ่นเห็นมะพร้าวลูกขาวๆ นั่นไหมลูก”
“เห็นครับ”
นอกจากจะรับคำแล้วผมยังพยักหน้าหงึกๆ ตาก็มองตามนิ้วของยายที่ชี้ไปยังมะพร้าวที่ถูกกะเทาะเปลือกแข็งๆ สีน้ำตาลด้านนอกออกจนเหลือแต่เนื้อในสีขาวนวลน่ากินนั่นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งกว่าเดิม ผมยอมรับว่าผมไม่ได้สันทัดเรื่องขนมไทยหรือขนมเทศใดๆ ทั้งนั้น ถึงจะช่วยยายทำหลายครั้งหลายรอบแต่ว่าแต่ละรอบมันก็ไม่ได้ทำแค่อย่างเดิมซ้ำๆ นี่ครับ
“เรานี่น้า…ยายจะทำขนมเกสรลำเจียกจ้ะ” เหมือนยายจะเหนื่อยใจกับผมอยู่นิดๆ นะ
“ขนมอะไรนะยาย ฝุ่นไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ขนมอะไรนะ เจียกๆ ไม่เห็นเคยได้ยิน
“เกสรลำเจียก ขนมไทยโบราณที่ตัวขนมจะมีลักษณะคล้ายดอกลำเจียก...”
“แล้วดอกลำเจียกนี่หน้าตามันเป็นยังไงล่ะครับ ผมไม่เห็นเคยได้ยินเลย เคยได้ยินแต่ดอกกุหลาบ ดอกรัก ดอกอัญชัน ดอกดาวเรือง ดอกทานตะวัน ดอก…”
“พอๆ ดอกเยอะเดี๋ยวยายงง ทำขนมออกมาผิดดอกละแย่เลย”
“ยายอ่า…”
ผมยู่หน้าเมื่อถูกยายล้อก่อนที่มือจะถูกยายยัดลูกมะพร้าวมาให้ตามด้วยที่ขูดมะพร้าวกับชามสแตนเลส อ้อ มีดด้วยที่วางอยู่ในชามที่ดูจะคมมากเลยนะนั่นน่ะ หน้าผมคงเอ๋อยายถึงได้ส่ายหัวแล้วยิ้มแบบนั้น
“ขูดมะพร้าวให้ยาย เดี๋ยวยายจะเอาแป้งไปอบควันเทียน”
“ครับ ขูดมะพร้าว เอ่อ…ยายครับ แล้วต้องทำไง” ก็มะพร้าวมันยังเป็นลูกอยู่เลยอะครับ แล้วผมจะขูดยังไงอะ
“เฉาะเอาน้ำข้างในมันออกแล้วผ่าเป็นชิ้นจากนั้นก็ขูดใส่ชามได้เลย”
“อ่อ…”
รับคำพร้อมลงมือปฏิบัติจัดการเฉาะมะพร้าวเอาน้ำออกแล้วตัดเป็นชิ้นเพื่อที่ผมจะได้ขูดถนัดตามที่ยายบอก ขูดไปสักพักน้องสาวผู้หิวโหยขนมไทยของผมก็เดินยิ้มหน้าบานเข้ามาในครัวพร้อมทำตาวิบวับ จมูกเล็กๆ นั่นก็สูดดมฟุดฟิดไปด้วย
“ยายจ๋า ทำขนมอะไรจ๊ะหอมควันเทียนจัง หอมไปถึงห้องแป้งเลย” ดูความเว่อร์ของน้องสาวผมครับ ผมนั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ ยังได้กลิ่นแค่อ่อนๆ เท่านั้น
“เกสรลำเจียกจ้ะ มาแล้วก็มาช่วยยายคั้นเอาน้ำอัญชันกับน้ำใบเตยมา จะได้เอามาผสมแป้งกัน”
“จ้ายาย ว่าแต่เกสรลำเจียกนี่มันเป็นยังไงเหรอจ๊ะ แป้งไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีขนมนี้ด้วย”
น้องสาวผมก็สงสัยเหมือนผมนั่นแหละครับ อีหรอบเดียวกันช่วยทำขนมแต่ไม่รู้เรื่องขนมสักนิดยายให้ทำอะไรก็ทำไม่มีขัดแต่ความรู้ก็ไม่มีหาเพิ่มเหมือนกัน
เมื่อก่อนผมเคยมีครอบครัวที่สมบูรณ์นะ มีพ่อ มีแม่ มียาย มีน้องสาวที่อายุห่างจากผมแค่สองปี เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในบ้านหลังกระทัดรัดหลังนี้พ่อแม่ผมเป็นครูด้วยกันทั้งคู่แต่อยู่มาวันหนึ่งยมทูตก็มาพรากชีวิตของพ่อแม่ผมไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะที่กำลังขับรถกลับบ้าน รถของพ่อที่ขับมาทางตรงถูกรถที่วิ่งอยู่อีกฝั่งของถนนเสียหลักพุ่งข้ามเกราะกลางถนนมาชนอย่างจังและมันก็ทำให้พ่อกับแม่ผมอาการสาหัสโคม่าอยู่ในห้องไอซียูด้วยกันทั้งคู่ นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือนด้วยอาการสมองบวมกระดูกซี่โครงหักทิ่มปอดสุดท้ายพ่อกับแม่ผมก็ไม่กลับมา
ส่วนคนที่ชนเขาก็รับกรรมจากการกระทำของเขาด้วยการเข้าคุกเหตุเพราะขับรถโดยประมาท ขับรถเพราะความมึนเมาเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต เขายอมรับผิดทุกอย่างไม่ต่อสู้คดีทั้งๆ ที่เขาก็ดูรวยมีฐานะแถมยังขอเป็นเจ้าภาพงานศพของพ่อแม่ผมเจ็ดวันเจ็ดคืน และขอเป็นคนรับผิดชอบค่าเล่าเรียนของผมกับน้องจนกว่าเราทั้งคู่จะเรียนจบปริญญาตรีและคนยินยอมรับความช่วยเหลือนี้ก็คือยายของผม
หลังเสร็จงานศพมาหลายวันยายก็เรียกผมกับน้องเข้าไปคุยในห้องนอนของยาย ยายกอดเราสองพี่น้องไว้แนบอกลูบหัวลูบหลังปลอบเราที่สะอื้นไห้ด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่นและยายก็บอกทั้งน้ำตาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่าลำพังค่าใช้จ่ายในบ้านเงินประกันชีวิตจากพ่อแม่ผมก็พอทำให้เราอยู่กันได้ไม่ลำบากถ้าเราช่วยกันประหยัดอดออมแต่ค่าเล่าเรียนของผมกับน้องมันต้องใช้เงินอีกเยอะถ้าเขายินดีช่วยเรื่องนั้นเราก็แค่รับมา แม้ว่าผมจะไม่อยากรับน้ำใจและความเห็นใจจากคนคนนี้ คนที่ฆ่าพ่อแม่ผมแต่ผมก็เข้าใจดีเพราะลำพังแค่ยายคนเดียวคงส่งเสียผมกับน้องไม่ได้แน่และในอนาคตเราอาจจะลำบากกันหมดถ้าเงินประกันส่วนนั้นหมด