ตอนที่แล้วบาทที่ 44
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบาทที่ 46

บาทที่ 45


บาทที่ 45

เพราะว่านี่เป็นภูษาเซียนใหม่ ดังนั้นพลังของมันจึงเพียงอยู่ที่ระดับหนึ่งช่วงชั้นปฐมเซียน แต่เมื่อมันถูกสร้างขึ้นมา หงเซียวก็พบเห็นวิญญาณนับแสนที่ถูกกักไว้ในไข่มุก

นี่เองเป็นเหตุที่เขาสามารถสร้างภูษาเซียนภูตวิญญาณขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

วิญญาณนับแสนนี้มาจากพวกมารที่หงเซียวฆ่า ในเมื่อเขาฆ่าคนเหล่านี้หนึ่งคน วิญญาณก็จะถูกปลดปล่อยออกมานับหมื่นดวงจากวิชามารที่สูญสลายไป

ภูษาเซียนผืนใหม่นี้มีรูปร่างเป็นผ้าคลุมไหล่คอปกยาวระพื้นสีขาวประดับลวดลายสวยงาม บุด้านในด้วยขนสัตว์สีขาว แต่ถ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดก็จะพบเห็นว่าสิ่งที่เป็นขนสัตว์สีขาวนั้นจริงแล้วเป็นเหมือนหมอกหนาสีขาวมากกว่า

หากว่าผ้าคลุมนี้แสดงตัวตนออกมาก็จะคล้ายกับลูกบอลที่บิดเบี้ยวไม่แน่นอนแต่ว่ามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่สามเมตรและฟุ้งกระจายเหมือนกับถูกจัดสร้างด้วยเมฆหมอก และด้วยเป็นการดัดแปลงจากวิชามารและวิชาเซียน ร่างนี้ของภูษาเซียนภูตวิญญาณจึงมีสีเหมือนกับเมฆฝน

หงเซียวส่งมันออกไปด้านนอกไข่มุก ทันทีที่มันออกไปมันก็ดึงวิญญาณออกไปครึ่งหนึ่ง ขังอยู่ในอาณาเขตวิญญาณของมันโดยทิ้งอีกครึ่งขังไว้ในอาณาเขตวิญญาณของหงเซียว

วิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ในอาณาเขตเหล่านี้ก็ถูกอิทธิพลของอาณาเขตวิญญาณทำให้พวกมันกลายเป็นเหมือนปุยเมฆเล็กๆสีขาวขนาดประมาณหนึ่งเมตร

ภูษาเซียนจับผึ้งเซียนโกเล็มหินขึ้นมาและเปลี่ยนมันเป็นภูตยักษ์ขนาดสามเมตรอีกตัวหนึ่งซึ่งดูไม่ต่างจากภูษาเซียนเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันหงเซียวก็ออกมาจากไข่มุกและใช้คาถาร่างวิญญาณ แปลงตนเองเป็นภูตยักษ์อีกตัวหนึ่ง

ภูตยักษ์ทั้งสามตนพากันเหินร่างขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่บ่งชี้ว่า มีผึ้งเซียนของเขาจำนวนมากอยู่ที่นั่น นั่นก็คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่ตั้งของทวีปเหลียง

วิชานี้ทำให้เขาดูคล้ายกับคนของทวีปมาร เพื่อที่บรรดามารจะได้ไม่รบกวนเขา

แต่ทว่าเบื้องหน้าของเขานั้นพลันมีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่างดักหน้าเขาไว้

“โอหังบังอาจมาก กล้าบุกรุกถิ่นของข้า ส่งวิญญาณที่เจ้ามีทั้งหมดมาให้ข้า แล้วข้าจะให้เจ้าตายอย่างมีซากศพสมบูรณ์” ร่างเงานั้นพูด ขณะที่จ้องมองวิญาณจำนวนมากในเขตวิญญาณของหงเซียวและภูษาเซียนด้วยความโลภ ขณะที่พยายามใช้มือคว้าไปยังวิญญาณที่อยู่ในอาณาเขตวิญญาณของพวกเขา แม้จะสงสัยอยู่บ้างที่มารตนนี้จึงไม่มีหมอกสีดำเหมือนกับมารทั่วไป แต่มันก็ไม่คิดมาก เพราะว่ามีมารบางกลุ่มที่ฝึกวิชาผิดแผกออกไปจนร่างมารมีสีอื่น

โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง หงเซียวร่ายคาถาร่างจำแลง ก้อนเมฆหมอกวิญญาณดวงหนึ่งที่ลอยเคล้าข้างกายมารตนนั้นพลันขยายตัวขึ้นกลายร่างเป็นร่างภูตยักษ์แล้วใช้แขนเมฆหมอกอันเรียวเล็กเหมือนกิ่งไผ่ตะปบไปบนร่างของมารตนนั้นทันที

มารตนนั้นตกใจด้วยไม่ทันระวังคิดว่าพวกหงเซียวนั้นเป็นพวกมารระดับต่ำที่มีพลังเพียงระดับหนึ่งขั้นกำเนิดมารที่พากันออกล่าวิญญาณมาด้วยกันอย่างไร้ประสบการณ์จึงเดินทางไปบนท้องฟ้าเตะตาบรรดามารทุกตน แต่อย่างไรก็ตามมันก็สามารถไขว้แขนป้องกันตนไว้ได้

ตูม เสียงฝ่ามือฟาดลงแขนของมารตนนั้นจนสั่นสะท้าน มารนั้นบันดาลโทสะตวาดก้องต่อยหมัดออก

พรึบ ภูตยักษ์นั้นสลายตัวเป็นหมอกควันไป ขณะที่วิญญาณลอยอ้อยอิ่งอยู่ในบริเวณนั้นโดยที่มารนั้นไม่อาจจะสัมผัสมันได้

ผึ้งเซียนในรูปภูตยักษ์พุ่งกายเข้าหาอีกฝ่าย มันได้รับการถ่ายทอดวิชาปราณจากหงเซียวมาแล้ว ปราณเกราะสายฟ้า พร้อมกับวิชากรงเล็บเขี้ยวอสรพิษที่เคยสร้างชื่อให้กับหงเซียวตอนที่ยังใช้วิชาปราณ

ด้วยการใช้พลังเซียนลอกเลียนแบบพลังปราณ พลังเซียนทะลักออกมาจากใจกลางร่างภูตยักษ์เปลี่ยนเป็นสายฟ้าหงิกงอวิ่งพลุ่งพล่านอยู่ภายในหมอกสีเมฆฝนส่งตรงไปยังปลายนิ้วแล้วสำแดงออกไปด้วยวิชากรงเล็บเขี้ยวอสรพิษฉกเข้าใส่มารตนนั้น

กรงเล็บเขี้ยวอสรพิษนี้ทำให้แขนที่เล็กเรียวดุจกิ่งไผ่ของภูตยักษ์กลายเป็นเหมือนเส้นสายฟ้าที่มีปลายด้านหนึ่งเป็นเหมือนเขี้ยวอสรพิษสายฟ้าที่อ้ากว้าง

มารตนนั้นแตกตื่น แม้ว่ามารทุกตนจะฝึกวิชาปราณ แต่ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงสามารถฝึกปรือวิชาปราณต้องห้ามได้แก่ ไฟ สายฟ้า แสง ที่ไม่เคยมีใครในทวีปมารนี้ฝึกได้มาก่อน แต่ก็ส่งพลังมารของตนออกต่อต้านอย่างแข็งขัน กลายเป็นเหมือนแผ่นกระจกสีดำยกขึ้นบังไว้

พรึบ ฉั่วะ เมฆหมอกวิญญาณดวงหนึ่งที่วนเวียนอยู่ข้างกายมารนั้นพลันเปลี่ยนเป็นภูตยักษ์และตวัดกรงเล็บเล็กเรียวบอบบางเหมือนกิ่งไผ่เข้าใส่มารตนนั้นที่กำลังต้านรับกรงเล็บเขี้ยวอสรพิษจากด้านข้างทันที

“อ๊าา--” ฉึก ก่อนที่มารตนนั้นจะทันได้แผดร้องสิ้นเสียง กรงเล็บเขี้ยวอสรพิษที่จู่โจมมาจากระยะทางไกลก็พุ่งทะลวงกระจกพลังที่ยกขึ้นมาขวางและกำลังจะสูญสลายไปเนื่องจากเสียสมาธิ ฉกเข้าไปยังทรวงอกของมารนั้นจนทำให้เสียงขาดหายไปในทันที

วิญญาณนับหมื่นดวงแตกกระจายเข้าไปในอาณาเขตของพวกเขาและถูกกักขังเอาไว้ ขณะที่ร่างไร้ลมหายใจของมารนั้นถูกแขวนอยู่บนกรงเล็บสายฟ้าของผึ้งเซียนที่ปักลึกเข้าไปในหัวใจ

“หึ คิดหรือว่ามีพลังระดับหกชั้นปฐมเซียนจะมากำแหงต่อหน้าข้าได้” หงเซียวบ่นพึมพัม เขาแม้ว่าจะอยู่ในระดับเจ็ดชั้นปฐมเซียนแต่พลังของเขาก้าวข้ามไปในชั้นมัชฌิมเซียนเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าพลังของผึ้งเซียนร่างภูตยักษ์จะยังอยู่ในระดับหนึ่งตามภูษาเซียนก็ตาม

ผึ้งเซียนค้นร่างของมารนั้น และพบของสองสามอย่าง ส่วนใหญ่ก็คือของที่มีไว้เพิ่มพลังปราณ ในเมื่อมารนั้นฝึกวิชาปราณ

หงเซียวคิดว่าพวกเขามีจำนวนน้อยเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้มารเหล่านี้เข้ามารบกวน คิดดังนั้นเขาจึงสร้างผึ้งเซียนขึ้นมาอีกหลายสิบตน ทั้งหมดล้วนมีร่างภูตยักษ์ทั้งสิ้น จากนั้นพวกเขาก็เหาะไปเป็นกลุ่มก้อน

พื้นดินเบื้องล่างทั้งแห้งแล้งและรกร้างดูไร้ผู้คน แต่เมื่อเขาเดินทางไปได้อีกระยะหนึ่ง ก็พบว่ามีร่างสีดำจำนวนมากกว่าสิบตนพุ่งขึ้นมาจากรอบบริเวณรายล้อมพวกเขาไว้อีกครั้ง

“เจ้าพวกมือใหม่ ข้าต้องการวิญญาณทั้งหมดของเจ้า มาเป็นวิญญาณให้พวกข้าเถอะ เคี๊ยกๆๆๆ” มารตนหนึ่งในกลุ่มนั้นกล่าว

หงเซียวกวาดตามอง พวกนี้มีพลังอยู่ที่ระดับห้าไปจนถึงระดับแปดชั้นปฐมเซียน จากที่เขาสังเกตเห็นพวกนี้พุ่งตัวมาจากที่ห่างไกลหลายทิศทางซึ่งน่าจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน

แน่นอนว่าหงเซียวขี้เกียจพูดคุยกับคนเหล่านี้ ผึ้งเซียนทั้งหลายต่างพากันโจมตีโดยไม่บอกกล่าว

คนเหล่านี้เหมือนเตรียมตัวมาดี ไม่มีใครประมาท ดังนั้นการต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อผึ้งเซียนใช้วิชาปราณเกราะสายฟ้าทั้งมีจำนวนมากกว่าแม้ว่าจะมีระดับพลังต่ำกว่า มารพวกนี้ก็ไม่มีใครต้านติดต่างพากันเตลิดหนีไปทุกทิศ และมีตกตายภายใต้เงื้อมมือของผึ้งเซียนสองสามตน

หงเซียวเพิ่งคิดได้ว่า บางทีการเดินทางบนอากาศแบบนี้อาจจะตกเป็นเป้าสังเกตได้ง่าย และดูเหมือนว่ามารเหล่านี้จะคอยต่อสู้กันตลอด ไม่เหมือนกับเซียน ดังนั้นเขาจึงลดตัวลงเปลี่ยนเป็นลอยตัวเรี่ยพื้นไปแทน

ระหว่างที่มุ่งหน้าไปนั้น หงเซียวก็ได้ล้วงหยกสื่อสารขึ้นมาเพื่อติดต่อกับบรรดาหญิงสาวของเขา แต่ก็พบว่ามันใช้ไม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าระยะทางไกลเกินไปหรือไม่ก็มีพลังบางอย่างขัดขวางการสื่อสารไว้

ผ่านพื้นดินแห้งแล้งนี้นานทั้งวัน ด้วยว่าเขาไม่มีวิธีการเดินทางด้วยวิชาเซียนใดที่เหมาะสมในการเดินทางที่จะไม่สะดุดตามารทั้งหลาย ดังนั้นระหว่างเดินทางเขาจึงนำเอาเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายร่างวิญญาณสายหมอกและเคล็ดวิชาวิญญาณสลับร่างของวิชาปราณเซียนปีศาจมาปรับใช้

คาถาก้าวอนุภาค ใช้อนุภาคของวัตถุที่อยู่กันอย่างหลวมๆเป็นสื่อในการเดินทาง ซึ่งอนุภาคนี้อาจจะเป็นฝุ่นละออง ไอน้ำ เม็ดดิน ปลายเข็ม ปลายหนาม ขนนก ขนสัตว์ หรืออะไรก็ได้ที่มีจุดบางจุดเป็นอนุภาคที่ยึดไว้กับส่วนอื่นอย่างหลวมๆ แก้ไขจุดอ่อนของเคล็ดวิชาวิญญาณสายหมอกที่ใช้ได้เฉพาะไอน้ำเท่านั้นไปจนหมดสิ้น

เมื่อคาถานี้ส่งต่อไปให้กับผึ้งเซียนและภูษาเซียนภูตวิญญาณ พวกเขาก็เดินทางผ่านทุ่งร้างนั้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนเหมือนกับตัดผ่านมิติ

หากมองดูจากเบื้องสูง ก็จะเห็นเงาสีดำกลุ่มหนึ่งทาบทับผ่านไปบนผืนดินอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียง ไม่ทำให้เกิดลมพัด เหมือนเป็นเพียงเงาที่ทาบทับไปบนพื้นเท่านั้น

จากพื้นดินแห้งผากก็เข้าสู่ทุ่งหญ้ากว้างขวางสุดสายตา พวกเขาก็เหมือนเงาที่ทอทาบไปบนพื้นหญ้า

ฟุ่บ เงาหลายสิบตนพลันปรากฏตัวขึ้นเหนือพื้นดินจนทำให้ต้นหญ้าบริเวณนั้นปลิวออกไปทั่วทั้งบริเวณ เงาที่พลันปรากฏตัวนั้นมีลักษณะเหมือนกับลูกบอลบูดเบี้ยวขนาดยักษ์

เงาหลายสิบร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพวกหงเซียว ที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นนั้นก็เพราะว่า เบื้องหน้าห่างออกไปไกลระยะหนึ่งนั้นมีกระโจมกลุ่มหนึ่งตั้งล้อมเป็นวงอยู่กลางทุ่งหญ้า และในนั้นล้วนเป็นผู้คนธรรมดาที่ไม่มีทั้งพลังปราณและพลังเซียน

ผึ้งเซียนทั้งหลายถูกเปลี่ยนให้เป็นมนุษย์และสัตว์ด้วยฝีมือของหงเซียว ขณะที่ภูษาเซียนภูตวิญญาณนั้นเปลี่ยนกลับไปเป็นผ้าคลุม

หงเซียวในรูปลักษณ์ของคุณชายนั้น มือหนึ่งถือพัดโบกช้าๆ นั่งอยู่บนหลังม้าพ่วงพีสีขาวปลอด พร้อมกับผู้ติดตามสิบกว่าคนนั่งอยู่บนม้าพ่วงพีสีดำ พากันเหยาะย่างเข้าไปในบริเวณกระโจมของชาวพื้นเมืองนี้

“ๆไำนืฝฟหกดัมหกด” คนกลุ่มหนึ่งห้อม้าตะบึงมาจากกระโจมหยุดอยู่เบื้องหน้าหงเซียวห่างออกไป ทุกคนมีอาวุธครบมือ ผู้ที่นำหน้าพลันยกมือขึ้นพูด

หงเซียวขมวดคิ้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด