ตอนที่แล้วบทที่ 28: ปัญหาการก่อสร้างและการซื้อขายมิทริล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30: ไม่สามารถทำเท่ต่อได้จริงๆ

บทที่ 29 : กลุ่มพ่อค้าวาณิชย์


ดูเหมือนคำว่า ‘ยากจน’ จะแทรกซึมเข้าไปทุกส่วนในชีวิตของวิลเลียม ณ ตอนนี้

แม้ว่าในชีวิตก่อนวิลเลียมจะเคยอาศัยอยู่ในเมืองชายแดนแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าที่นี่มีเหมืองทองคำหรือไม่  เขาเคยเป็นผู้เล่น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะให้ความสนใจกับเหมืองสักแห่งมากขึ้นเล็กน้อย แต่สำหรับเหมืองทองคำแล้ว?

อะไรคือประเด็นที่ให้ความสนใจกันล่ะ?

พวกเขาจะได้มีโอกาสในการฉกฉวยหรือไปยังเหมืองแห่งนั้นหรือไม่…?

อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเหมืองทองคำอยู่ เพราะคำกล่าวที่ว่าป่าแบล็คลีฟเป็นดินแดนเหมืองขนาดยักษ์นั้นไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ

ตราบใดที่พวกเขาสามารถหาเหมืองทองคำและควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาก็จะสามารถหลอมทองเพื่อทำเป็นเหรียญทองของพวกเขาได้ และตราบใดที่เหรียญมีทองเป็นส่วนประกอบอย่างน้อย 90% มันก็จะสามารถใช้ได้ทั่วทั้งทวีปรีเจนดารี

เมืองชายแดนนั้นโชคดี เขายอมรับ

กำแพงธรรมชาติสูงแปดสิบเมตรเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งการรุกรานจากอาณาจักรมนุษย์ หากพวกเขาต้องการขึ้นมาด้านบน ก็มีเพียงเส้นทางตรงหน้าผาที่สูงชันและเล็กแคบเท่านั้น ถ้ากองทัพขนาดเล็กปีนขึ้นมาที่นี่จะต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม แม้การขึ้นไปบนภูเขาจะเป็นอะไรที่ยาก แต่การลงก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ใช้บันไดเชือกหรือเส้นทางที่มนุษย์สร้างขึ้น ก็เหลือทางเดียวคือพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วกระโดดลงไปเท่านั้น…

ท้ายที่สุดแล้ว แม่น้ำสายรุ้งเกิดขึ้นมาเป็นเวลาช้านาน

น้ำตกมีกระแสน้ำที่แรงและแอ่งน้ำด้านล่างนั้นลึกมาก แต่มันไม่กว้างมากพอที่จะมีก้อนหินวางเรียงรายอยู่ด้านข้าง

ถ้ามีความกล้ามากพอ

ด้วยการกระโดดลงไป ณ ที่แห่งนั้น จะทำให้พวกเขาลงจากภูเขาได้ง่ายดายมาก

การที่พวกเขาจะรอดหรือตายนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พวกเขากระโดดด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร วิลเลียมนั้นก็เคยกระโดดลงไปมาสองสามครั้งแล้ว และ...เขาก็ไม่ได้เสียชีวิต!

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นปัญหาของหน้าผาแห่งนี้เช่นกัน มันส่งผลให้เกิดการค้าขายน้อยมากระหว่างเมืองชายแดนและอาณาจักรมนุษย์ นอกเหนือจากการค้าขายอย่างเป็นทางการเดือนละครั้ง พวกเขาก็ได้แต่พึ่งพาวาณิชย์ที่เดินทางค้าขายเท่านั้น

แต่เหล่าวาณิชย์ที่เดินทางค้าขายมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มองเพียงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่เพียงค้นหาผลประโยชน์จากอาณาจักรมนุษย์เท่านั้น แต่ยังไปในป่าด้วยเช่นกัน

จุดสำคัญคือพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงพ่อค้า พวกเขารับบทเป็นตัวละครอื่นๆเป็นครั้งคราวและทำตัวเป็นโจรผู้ร้ายอีกด้วย

เคอรี่เป็นผู้นำกลุ่มวาณิชน์และเป็นนักรบเลเวล 41 เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับกลาง นำกลุ่มคนมากกว่าสามสิบคนปีนไปบนทางที่แคบและสูงชัน และหลังจากที่สูญเสียม้าไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองชายแดน

เคอรี่ผู้ขึ้นมาถึงบนหน้าผาจ้องไปที่ที่ราบตอนเหนือข้างหน้า  เขาอารมณ์ดีมากจนอยากจะบรรยายออกมาเป็นบทกวี แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้

“หัวหน้า ข้าได้ยินว่ามีเหล่าเอลฟ์มาที่เมืองชายแดน น่าจะมั่งคั่งน่าดู ท่านว่าไหม?” เมื่อเขาพูดจบ ชายผู้นั้นก็หัวเราะอย่างหยาบคาย

“เมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเขาเป็นเอลฟ์ แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่บ้างล่ะ? แม้ว่าพวกนั้นจะไม่ใช่เอลฟ์ แต่เจ้าก็ควรได้ยินประสบการณ์เกี่ยวกับกลุ่มวาณิชย์กลุ่มอื่นที่มายังเมืองชายแดนมาก่อนบ้างสิ?” เคอรี่เม้มริมฝีปาก หลังจากชายที่ดูหยาบคายข้างๆเขาได้ยินก็ถอนหายใจ

พวกเขาอาจจะเป็นพ่อค้า แต่บางครั้งก็เป็นโจรเช่นกัน เมืองชายแดนเป็นที่ที่อาชญากรชั้นสูงมารวมตัวกัน

นอกเหนือจากชาวไร่ชาวนาบางคนและพลเมืองดีที่ไม่ค่อยก่ออาชญากรรม...ถูกแล้ว คนที่ไม่ค่อยกระทำความผิด เมื่อมายังเมืองชายแดนจะเรียกว่าพลเมืองที่ดี คนอื่นๆล้วนโหดร้ายป่าเถื่อนและมีความเป็นมืออาชีพกันทั้งนั้น

ย้อนกลับไปตอนที่มีวาณิชย์หลายกลุ่มเสี่ยงชีวิตมายังที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ตอนนั้นไม่มีความวุ่ยวายอะไรเกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้ปกครองเมืองที่มากความสามารถและมั่นคงที่สามารถหยุดความรุนแรงทั้งหลายได้

แต่ก็ไม่มากพอที่จะหยุดยั้งพลเมืองเหล่านั้นไม่ให้ปล้นพวกพ่อค้าหลังจากออกจากเมืองไปแล้วได้

สำหรับกลุ่มวาณิชย์ที่กล้าต่อต้านและไม่เต็มใจที่จะมอบสินค้าและเงินทองของพวกเขาให้ ตอนนี้วัชพืชรอบหลุมศพของพวกเขาคงจะสูงมากกว่าสามเมตรได้แล้ว

แน่นอนว่า

ทั้งหมดนี้เกิดเมื่อตอนเมืองเพิ่งถูกสร้างขึ้นและชาวไร่ชาวนาท้องถิ่นเคยถูกหลอกลวงโดยกลุ่มพ่อค้าวาณิชย์มาก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้มีพ่อค้ามายังเมืองชายแดนน้อยลงเรื่อยๆ

เคอรรี่กล้ามาที่นี่เพราะเขาได้รับข้อมูลบางอย่างว่าเมืองชายแดนแห่งนี้มีเอลฟ์ผู้นำตนใหม่ และมีแม้แต่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์กลุ่มใหญ่ที่ติดตามเขามา

“เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ในป่าแบล็คลีฟได้เข้าปราบปรามเมือง สวัสดิภาพและความปลอดภัยได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก เป้าหมายหลักของเราในครั้งนี้คือการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา ดังนั้นในการขายครั้งนี้จึงไม่สามารถเสนอราคาที่สูงเกินไปได้ หากเราสามารถทำข้อตกลงการค้าถาวรได้ เราจะต้องได้รับเงินก้อนโตอย่างแน่นอน”

“พวกเจ้าทุกคนตามข้ามา อย่ามองไปรอบๆและห้ามพูดคุยกันเด็ดขาด หากไม่อยู่ข้างหลังข้าไว้จะไม่มีใครปกป้องชีวิตของพวกเจ้าได้” เคอรี่กล่าวกับเหล่าพี่น้องที่อยู่ข้างหลังเขา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าเมือง

วิลเลียมยืนบนต้นไม้มองกลุ่มวาณิชย์จากระยะไกล พวกเขาถูกพบตอนกำลังปีนภูเขาขึ้นมา จากนั้นวิลเลียมก็จัดการให้คนของเขาจับตาดูเส้นทางทุกเส้นที่สามารถขึ้นมายังภูเขาได้

“เราควรบอกให้โอดอมและคนแคระตนอื่นๆซ่อนตัวดีหรือไม่?” ลอทเนอร์ที่อยู่ข้างๆถามขึ้น

“เราคือเมืองฝ่ายกลาง ทำไมคนแคระถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?” วิลเลียมส่ายหัว หันไปทางน็อกซ์ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าให้พวกเขาเข้ามายังส่วนด้านในของเมือง พาพวกเขามาพบฉัน!”

“ครับท่านลอร์ด!”

เคอรรี่มองไปยังกลุ่มนักรบเอลฟ์ที่มาหยุดยั้งพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ พวกนั้นได้แต่เบิกตากว้างเพราะไม่ค่อยได้เจอกับเอลฟ์ตัวเป็นๆเท่าใดนัก

นี่ไม่ได้พูดถึงอาวุธดีๆแต่ละประเภทที่เอลฟ์มี แต่กำลังมองถึงความอภิมหาโคตรจะหล่อของพวกเขา…

หล่อมากจริงๆ…

จนเขาอยากจะ…

แน่นอนว่านี้เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดภายในหัวเท่านั้น

เคอรี่และกลุ่มคนของเขาไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นจึงได้แต่แอบมองเหล่าเอลฟ์อย่างลับๆเท่านั้น

สิ่งที่เคอรี่ไม่กล้าดูถูกดูแคลนเผ่าเอลฟ์คือความสามารถ เพียงแค่ผู้พิทักษ์เอลฟ์ที่ชื่อน็อกซ์ตรงหน้า เขาก็รู้สึกว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะได้อย่างแน่นอน

ส่วนเอลฟ์ที่หล่อเหลาและสุดคูลทั้งสิบที่เหลือนั้น สายตาของพวกเขาเปล่งประกายเฉิดฉายพอๆกัน และมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าจากภายใน เคอรี่คิดว่าเหล่าเอลฟ์ตรงหน้าสามารถกวาดล้างกลุ่มวาณิชย์ของเขาได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ความกังวลใจของเขาหายไปเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า

วิลเลียมสวมใส่ชุดคลุมสีม่วงเข้ม ผมยาวสีดำเงางามของเขาละอยู่บนไหล่พร้อมกับหูเรียวแหลมที่โผล่ออกมาจากกลุ่มผม ดวงตาของเขาสว่างไสวดุจดวงจันทร์และไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับมากมายเท่าใดนักทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าเขาเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ นั่นทำให้พวกเขาชอบวิลเลียมมากขึ้น...

“สวัสดี เราคือลอร์ดแห่งเมืองชายแดน วิลเลียม แบล็คลีฟ!” วิลเลียมอุ้มลูกหมีไว้ในอ้อมแขนตัวหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาไม่ได้สุภาพมากเกินไปและไม่ได้สนใจมากเกินไปที่จะสร้างความประทับใจต่อวาณิชย์ธรรมดาๆเหล่านี้...

เคอรี่และพวกของเขาไม่กล้าลดท่าทางระมัดระวังลง เมื่อได้ยินวิลเลียมกล่าวทักทาย พวกเขาก็นำมือไปทาบที่หน้าอก ก่อนจะโน้มตัวลงไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ยินดีที่ได้พบท่านลอร์ด ขอให้เกียรติยศของท่านยืนยาวนับนิรันด์!”

“ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน!” วิลเลียมอมยิ้มเล็กน้อย

เคอรี่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับคำตอบของวิลเลียมเท่าใดนัก เพราะว่าสมองของเขานั้นทำงานผิดพลาดตั้งแต่ได้ยินชื่อของวิลเลียมและเห็นบรรดาองครักษ์เอลฟ์ที่อยู่ใกล้ๆนั่นแล้ว

เขารีบเรียบเรียงประโยคก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “ท่านลอร์ด ข้าชื่อเคอรี่ เป็นพ่อค้าวาณิชย์จากอาณาจักรลาวาดำ นามสกุลของข้านั้นด้อยค่าเกินกว่าจะกล่าวออกมาดังๆให้หูของท่านระคายเคือง”

“ข้าเดินทางมาที่นี่เพราะว่าต้องการทำการค้าขายกับเมืองชายแดน เช่นของจำพวกเกลือ, สิ่งทอ, ซอสและแม้แต่ของหายากบางอย่าง หากท่านประสงค์สิ่งใด ข้าก็จะเสาะหามาให้อย่างเต็มที่”

เมื่อคนอื่นๆในกลุ่มวาณิชย์ได้ยินผู้นำของพวกเขากล่าวเช่นนั้นก็ได้แต่มองไปยังหัวหน้าของพวกเขา ราวกับสับสนและสงสัยว่าเขานั้นพูดตรงไปหรือไม่

นี่เขาต้องเลียแข้งเลียขาถึงขนาดนี้เชียวหรอ?

เขาไม่รู้หรือว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาไม่เหลืออะไรเลย?

วิลเลียมยังคงนิ่งเงียบ เขาคอยสังเกตค่าความประทับใจของเคอรี่ที่มีต่อเขาอยู่และสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ค่าประทับใจของเคอรี่กลับขึ้นมาถึง 500 หน่วย เขาทำอะไรไปเนี่ย?

ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังพบกับคนที่นิสัยไม่ดี…

อย่างไรก็ตาม วิลเลียมกำลังขบคิดเกี่ยวกับความสุภาพและความเคารพของเคอรี่

ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้อาจจะรู้มาจากที่ใดที่หนึ่งว่านามสกุลของเขานั้นหมายถึง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด