บทที่ 2 มังกรแบกโลงศพ
บทที่ 2 มังกรแบกโลงศพ
ตำหนักของเจ้าเมืองใหญ่จนเหมือนกับสวนขนาดยักษ์ พื้นที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยบ่อน้ำ และมีศาลาให้เล่นซ่อนแอบมากมาย พวกชาวเมืองที่ว่างๆ ก็พากันเดินให้ทั่ว
แต่ในสายตาของลูหยุน นี่มันคือรังปีศาจชัดๆ!
“มังกรแบกโลงศพ หาฮวงจุ้ยแบบนี้ในตำหนักเจ้าเมือง? ถ้าฉันเดาไม่ผิดเขตสนธยาคือหนึ่งในเขตที่ยากจนที่สุดในมณฑลเนปไฟร์ตสินะ” ลูหยุนพึมพำกับตัวเอง
การจัดฮวงจุ้ยที่นี่มันไม่ได้ถูกจัดขึ้นเพียงชั่วพริบตา มันเกิดขึ้นมานานกว่าร้อยปีแล้ว หรือบางทีอาจจะถึงพันปีแล้วก็ได้ ค่ายกลมันได้หลอมรวมกับสภาวะแวดล้อม และกลายเป็นหนึ่งในฮวงจุ้ยสำคัญไปแล้ว
ตำหนักถูกตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองของเขตนี้ เป็นสุดกลางที่รวบรวมของพลังของเขตสนธยาแห่งนี้ การวางมังกรแบกโลงศพไว้ตรงจุดนี้ก็เหมือนกับการตัดโชคลาภที่เข้าสู่เขตนี้ พอนานเข้าหลายปี มันทำให้เขตสนธยาแย่ลงไปเรื่อยๆ
“นายท่านเข้าใจผิดแล้ว มันไม่ใช่มังกรแบกโลงศพ แต่เป็นมังกรประจำเขต ต่างหาก” ว่านเฟิงแก้ให้
ลูหยุนและว่านเฟิงอยู่บนหอคอยดักจันทราที่สูงที่สุดในตำหนัก มันสามารถมองเห็นได้ทั้งเมืองสนธยา
“ด้วยความที่เขตสนธยาเป็นเขตที่ยากจนที่สุดในมณฑลเนปไฟร์ต ที่นี่จึงมีเหมืองน้อยมาก และนั่นก็ทำให้มีพวกเซียนน้อยตามไปอีก เพราะแบบนั้นราชเลขาเซียก็เลยตัดสินใจเดินทางไปยังเขตอื่นเพื่อซื้อหินมาจัดทำค่ายกล”
ดูเหมือนว่าฮวงจุ้ยและค่ายกลจะเป็นอย่างเดียวกันไปแล้ว มีเพียงเซียนเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ทำไมไม่ใช่ฮวงจุ้ยล่ะ? มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ผู้คนบนโลกเองก็พูดว่าฮวงจุ้ยจะนำพาโชคลาภมาให้ หรือสามารถคืนชีพให้กับพระเจ้าได้ด้วยซ้ำ
ลูหยุนลืมที่จะฟังคำอธิบายของว่านเฟิง ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้ก็คือโลกเซียแห่งนี้ไม่มีความรู้เรื่องฮวงจุ้ย และให้ความสนใจกับการตั้งค่ายกลมากกว่า
มังกรประจำเขตนั้นสามารถสังหารเซียนได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูดพลังชีวิตและความมั่งคั่งของทั้งเขตไปหมดสิ้น
ลูหยุนไม่คิดว่าเลยเจ้าแห่งค่ายกลที่รู้และเข้าใจในหลักของฮวงจุ้ยดีจะจัดตำแหน่งของมันแบบนี้ มันคล้ายกับพวกซินแสที่รู้เรื่องนี้แต่กลับใช้มันในทางที่ผิดและเรียกเงินสูง ๆ อะไรแบบนั้น
“เอ๊ะ? นั่นอะไร?” ลูหยุนยกศีรษะของเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะเขาเห็นภูเขาสูงตระหง่านอยู่ไกลออกไปจากประตูเมือง
ด้านนอกประตูทางทิศตะวันออกของเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยไมล์จากเมือง มีภูเขาอันยิ่งใหญ่ชื่อว่า ‘ภูเขาแดงสนธยา’ ดวงตาของลูหยุนจ้องมองมันเมื่อเขามองอย่างเหมาะสม
“มันเหมือน...สุสานใช่ไหม?”
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สามารถตรวจสอบรายละเอียดมากเท่าไหร่ แต่รูปร่างของมันดูเหมือนเต่าดำหมอบอยู่บนเนินเขา และนั่นก็ทำให้มันเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับทำสุสาน
หากเขาเข้าใจไม่ผิดนั่นเป็นแหละคือจุดที่ถูกต้อง และมันต้องไม่ใช่สุสานธรรมดาแน่ๆ
“เซียนตายได้ด้วยเหรอ?” เขารู้สึกงุนงง
“แน่นอนอยู่แล้วสิเจ้าค่ะ” ว่านเฟิงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของนายท่าน
ตำนานพูดถึงสุสานเซียนใต้ภูเขา นี่คือสิ่งที่ประชาชนชาวสนธยาทุกคนรู้
“เกิดสงครามเซียนครั้งใหญ่เมื่อแสนปีที่แล้ว ท้องฟ้าและผืนดินแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั่วทั้งโลกเซียนก็เลยถูกแบ่งกลายเป็น 9 มณฑล 10 ดินแดน และ 4 ทะเล ว่ากันว่าพวกเซียนทั้งหมดบนโลกตายในสงครามครั้งนั้น นี่จึงเป็นจุดสิ้นสุดของยุคเซียนโบราณ”
“มีสุสานเซียนอยู่ทั่วโลก แต่ไม่มีคนรู้เลยว่าใครสร้างมันขึ้นมา”
ลูหยุนไม่สนใจที่จะฟังเรื่องราวที่ว่านเฟิงพยายามบอกเขาอย่างระมัดระวัง
“มีสุสานของพวกเซียนทั่วโลกเลยเหรอ?” ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เขาพบความหมายของชีวิตแล้ว!
ในฐานะของโจรขุดสุสานระดับเซียน แถมต้องมาพรากจากตาแก่ที่เคยเลี้ยงเขาไป สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ปล้นสุสาน เพื่อเปิดเผยทุกความลับที่สุสานกลบฝังเอาไว้ในประวัติศาสตร์ เพื่อให้มันขึ้นมาเฉิดฉายบนโลกใบนี้อีกครั้ง!
เขาไล่ขุดสุสานมาทุกจุดบนโลกแล้ว และตอนนี้เขากำลังจะไปขุดสุสานเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสุดยอดไปเลย!
ไฟแห่งความกระตือรือร้นถูกปลุกอยู่ในตัวเขา แต่เรื่องของมังกรแบกโลงนั่นล่ะ? ช่างแม่งดิ ใครสนล่ะ
ยังไงเขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองแน่ ๆ หลังจากครึ่งปีนี้ ถ้างั้นแล้วเขาจะทำไปทำไม?
สงครามที่ยิ่งใหญ่ระหว่างเซียนเมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว …การฝึกฝนเกี่ยวกับเรื่องฮวงจุ้ยเองก็เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกันงั้นเหรอ?
สีหน้าของลูหยุนเปลี่ยนไป วิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์คือการเข้าไปในสุสานโบราณเหล่านั้น และทำการขุดค้นพบอารยธรรมที่ถูกลืมเพื่อนำมันกลับมาสู่แสงสว่างในวันนี้อีกครั้ง!
เขาถูมืออย่างกระตือรือร้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ร่างกายของฉันยังอ่อนแออยู่ อะไรก็ตามมันสามารถจัดการฉันได้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้นจะต้องฝึกร่างกายก่อนที่จะเริ่มงานนี้
เมื่อความคิดของเขามาถึงจุดหนึ่ง ลูหยุนหันมาพูดกับว่านเฟิงว่า “อ่า ใช่แล้ว ทำซุปแบบที่เคยทำให้ฉันแบบคราวนั้นทีนะ แล้วก็ใส่เนื้อมาให้ด้วย”
“รับทราบเจ้าค่ะ!” ดวงตาของว่านเฟิงสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำสั่งของเขา ก่อนที่เธอจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มีคนไม่มากในตำหนักของเขาแล้ว ส่วนพวกที่เหลือก็ไม่กล้ายุ่มย่ามกับลูหยุนซักเท่าไหร่ พวกเขาแค่มานั่งขี้เกียจรอเงินเดือนไปวัน ๆ จนกว่าเจ้าเมืองคนใหม่จะมา
“น่าเสียดายชะมัดที่ร่างนี้มีสายเลือดแบบนั้นอยู่ ไม่งั้นแล้วฉันคงฝึกพลังและกลายเป็นเซียนเพื่อมีความสุขไปแล้วแท้ๆ” ความสิ้นหวังก่อตัวในลูหยุน
กลางคืนเริ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่เขาก็ยังคงอยู่ในหอดักจันทรา พร้อมกับมองไปยังเมืองสนธยาเบื้องหน้า หลังจากกินและดื่มอาหารไปแล้ว ความกังวลก็เริ่มก่อตัวในใจของเขาอีกครั้ง
“เจ้าของคนก่อนของร่างนี่มันสารเลวจริงๆ! สารเลวโคตร ๆ เลย! ถึงฉันจะเป็นโจรปล้นสุสานที่ขัดต่อความดีงาม แต่ฉันก็ปล้นจากคนตายนะเว้ย ฉันก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างล่ะนะ แต่ไอ้เปรตนี่มันชั่วตัวพ่อเลยนี่หว่า”
เมื่อเขาไปรวบรวมข้อมูลมาจากว่านเฟิงเกี่ยวกับร่างนี้ ลูหยุนก็รู้สึกว่าเขาคงจะตายทันทีที่ออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง
“ทำไมฉันไม่หนีไปกับว่านเฟิงล่ะ? ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาอยุ่กับนางฟ้าตัวน้อยคนนั้นและมีลูกด้วยกัน ถ้าเบื่อ ๆ ก็ไปไล่ขุดสุสาน ฟังดูเป็นแผนที่โง่แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกันนะ!” แผนสำหรับอนาคตของลูหยุนถูกวางขึ้นและเขามองออกไปยังเขาแดงสนธยา
“อืม?” ความตื่นตระหนกพุ่งไปทั่วใบหน้าของลูหยุนขณะที่เขาขมวดคิ้ว
เงาของมังกรดำเก้าตัวเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ภายในสวนของคฤหาสน์ พวกเขาโค้งลงต่อหน้าลูหยุน
มีโลงศพสีดำดำอยู่บนหลังของพวกเขา
มังกรแบกโลงศพ
“ฮวงจุ้ยมันกลายร่างได้ด้วยเหรอวะ?” ลูหยุนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่เป็นเค้าโครงฮวงจุ้ยที่ชั่วร้ายมาก มังกร 9 ตัวเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในทางหยินสุด ๆ และโลงศพที่อยู่บนหลังนั่นก็เอาไว้เก็บทุกพลังวิญญาณ มันสามารถทำลายผู้คนและดูดกลืนโชคชะตาได้ทั้งหมด
การพักอยู่ในตำหนักแบบนี้รังแต่จะทำให้ทั้งตระกูลพังทลาย และนั่นก็คือการคิดแบบแง่ดีที่สุดแล้วนะ แต่ถ้าเลวร้ายที่สุดก็คือทั้งสายตระกูลก็จบลงแม่งตรงนี้แหละ เทียบกันแล้ว รูปแบบการปฏิเสธ 9 หยินมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะละเลยได้เลย ถ้าเป็นบนโลกแล้วฮวงจุ้ยแบบนี้มันจะมอบโชคร้ายมาให้กับคนที่อยู่ในนั้น แต่ที่นี่มันกลายร่างมาเป็นชิ้นเป็นอันเลยโว้ย! ใครก็ตามที่อยู่ที่นี่แม่งต้องตายห่ากันหมดแน่!
ว่ากันตามตรงแล้ว ตระกูลลูเองก็กำลังจะสิ้นสุดลงที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูไอ้เจ้าเมืองลูที่กำลังจะตายตรงนี้สิ!
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขากำลังยืนอยู่เหนือจุดพลังของเขตสนธยา เจ้ามังกรนี่กำลังดูดกลืนพลังและโชคลาภของดินแดนนี้? นี่มันเกินกว่าที่ลูหยุนคาดการณ์ไว้เสียอีก
“ฉันตายแน่ ๆ ถ้าไอ้มังกรเวรนี่มันฉกเข้ามาหาฉัน! ไม่นะ ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากกลายเป็นซอมบี้!”
ลูหยุนอยากจะวิ่ง แต่เขาก็ขยับไม่ได้ เขาทำได้แค่มองรูปร่างที่ยาวกว่าหลายเมตรนั่น พุ่งเข้าหาเขาด้วยโลงศพที่อยู่บนหลังของมัน
ดวงตาของเขาเหลือกขึ้นและสลบไปอีกครั้ง
ฮื้ม
ทันใดนั้นตำราสำริดโบราณก็กระพริบเหนือหัวของลูหยุน และกลืนกินภาพเหล่านั้นเข้นหมดสิ้น
...
***มังกรแบกโลงศพ มันคือตำนานมังกรของทางอาณาจักรเซียตะวันออกในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่มีมังกร 9 ตัวบนโลงศพของยอดนักรบ ว่านนู มันไม่เหมือนกับมังกรทั่วไปตามที่พวกเราคิดหรอก มันเหมือนกับงูตัวใหญ่ที่มีขาเยอะ อารมณ์ประมาณกิ้งกือที่แบกโลงศพพร้อมกับแมลงพิษจำนวนมากบนนั้น ทุกจุดที่มีมังกรนี่สลักอยู่ก็ค่อนข้างมั่นคงด้วยนะ แต่มันก็ถูกบันทึกเอาไว้ในฐานะของมังกรที่ไม่มีปีก ถ้าให้นึกภาพก็เป็นมังกรจีนที่มีเยอะแยะล่ะมั้ง***