ตอนที่ 2 อยู่ให้นาน ย่อมก้าวได้ไกล
ตอนที่ 2 อยู่ให้นาน ย่อมก้าวได้ไกล
คนร่มดำเดินมาส่งสตรีชุดขาวอย่างระมัดระวัง นางเดินออกมาก่อนที่จะขึ้นไปยังรถม้าที่กำลังจอดรออยู่เบื้องหน้า
เด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากร้านน้ำมันซึ่งพังไปครึ่งแถบ จ้องสตรีชุดขาวตาไม่กะพริบ หลังจากนางยกม่าน เดินเข้ารถม้าที่เตรียมไว้แล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา “งามจริง”
นักดาบชุดดำที่นอนอยู่บนพื้นไม่ไกลจากเขานักเพิ่งได้สติ คิดถึงคำที่อาจใช้อธิบายสตรีชุดขาวได้ ความรู้สึกปีติและตกตะลึงฟุ้งไปทั่วร่าง
“งามหรือ?”
จากนั้นก็เริ่มคิดถึงคำที่เด็กหนุ่มพูด ความงามของเจ้าสำนักเย่นั้นไร้ข้อกังขา ทว่าการอธิบายนางด้วยคำว่า “งาม” คำเดียวเช่นนี้นับเป็นการดูหมิ่น นางเป็นคนสำคัญของแคว้น เป็นถึงผู้ฝึกตนที่ผู้คนต่างยกย่อง
เสียงกีบม้าดังขึ้น ก่อนรถม้าที่ภายในมีเจ้าสำนักหญิงแห่งราชวงศ์ฉิน จะหายไปท่ามกลางสายหมอกสายฝน
นักดาบชุดดำส่วนมากหายตัวไปจากถนนอย่างเงียบเชียบเหมือนกับตอนมา
ทั่วทั้งถนนที่ถูกสายฝนบดบังตื่นขึ้นทันใด ผู้คนต่างพากันออกจากบานประตู มาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าไม่กี่อึดใจ เสียงเหล็กกระทบพื้นก็ดังกลบเสียงฝนเสียงลมจนสิ้น
พริบตาเดียว รถม้าศึกหลายคันก็เคลื่อนเข้ามา สร้างกำแพงเหล็ก กั้นสายตาผู้คนไว้
“เจ้าคือติงหนิง จากร้านเหล้าอู๋ถงใช่หรือไม่? ทำไมเจ้าถึงมาซื้อน้ำมันงาที่นี่?” เจ้าหน้าที่ร่างท้วมหัวล้านหน่อย ๆ ส่งผ้าแห้งผืนหนึ่งให้เด็กหนุ่มที่ทั้งร่างเปียกซก ก่อนถามขึ้น ทั้งสองคนยืนอยู่ใต้กระท่อมง่าย ๆ ที่สร้างขึ้นชั่วคราว
ใบหน้าชายร่างท้วมเป็นมิตรมาก ด้วยความรีบร้อน หน้าผากเขาจึงมันแวว ทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ทว่าเจ้าหน้าที่และทหารส่วนมากกลับจงใจเว้นระยะห่างช่วงหนึ่งกับเขา ใครก็ตามที่มีความรู้ในเมืองฉางหลิงแห่งนี้ จะรู้จักว่าชายผู้นี้คือ โม่ชิงกง
เขาเป็นหนึ่งใน “สุนัขล่าเนื้อปีศาจ” ที่มีประสบการณ์ที่สุดของกรมเซียน
“สุนัขล่าเนื้อปีศาจ” ไม่ใช่ชื่อที่มีไว้สรรเสริญ ทว่ามีหลายความหมาย เพราะนอกจากความโหดร้ายแล้ว ก็ยังหมายถึงจมูกที่สามารถตามกลิ่นได้ดีอีกด้วย ชื่อนี้แสดงให้เห็นว่าผู้อยู่เบื้องหลังเขาเป็นผู้มีอำนาจ เพราะงั้นเวลาเจอ “สุนัขล่าเนื้อปีศาจ” ที่รับมือได้ยาก แถมตีก็ไม่ได้แบบนี้ ทางที่ดีคืออยู่ห่างไว้ดีกว่า
อย่างเช่นในตอนนี้ ตอนที่เขาเดินทางมาถึง ก่อนที่ลมหายใจจะกลับเป็นปกติ ในมือของชายคนนี้ถือม้วนกระดาษนับสิบ หนึ่งในนั้นเป็นบันทึกข้อมูลระบุตัวตนของเด็กหนุ่มน่ามึนงงคนตรงหน้าคนนี้
เด็กหนุ่มนาม ‘ติงหนิง’ ไม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้าหน้าที่วัยกลางคนร่างท้วมหัวล้านเล็กน้อยคนนี้เลย เขารับผ้าแห้งที่โม่ชิงกงส่งมา เช็ดคราบโคลนและฝนบนใบหน้าออก ก่อนจะยืนมองรถม้าศึกแกะสลักและทหารในชุดเกราะที่เดินอยู่ในขบวนด้วยความสงสัย ดาบในมือของเหล่าทหารมีรอยหมาป่าสลักไว้ที่ด้ามจับ เขาไม่ได้ตอบคำถามของโม่ชิงกงในทันที แต่กลับถามขึ้นมาแทน “นี่คือกองทัพหมาป่าพยัคฆ์ของแคว้นฉินเราหรือขอรับ?”
โม่ชิงกงปาดเหงื่อเม็ดหนึ่งบนหน้าผากออกก่อนตอบ “ถูกต้อง”
“แล้วใครอาศัยอยู่ที่ลานตรงนั้นหรือขอรับ?” หลังจากเช็ดคราบฝุ่นโคลนออก ติงหนิงที่ใบหน้ายิ่งดูเกลี้ยงเกลาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าขรึม “ถึงได้ดึงความสนใจคนมากขนาดนี้?”
โม่ชิงกงยิ่งรู้สึกว่าติงหนิงน่าสนใจ ดูท่าเขาจะถูกความสงบของเด็กคนนี้ ทำให้เขาเองก็สงบลงเล็กน้อยด้วยเดียวกัน นัยน์ตาเขาส่องประกายประหลาดออกมา
“เจ้าเคยได้ยินชื่อสำนักดาบหรือไม่?” เขาถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด
“สำนักดาบแคว้นจ้าวน่ะหรือ?” ติงหนิงมึนงงเล็กน้อย
“ถูกต้อง” โม่ชิงกงมองเด็กหนุ่มอย่างใจดี ก่อนอธิบายอย่างใจเย็น “นับตั้งแต่ราชวงศ์ฉินอันยิ่งใหญ่ของเราทำสงครามกับแคว้นจ้าว ในที่สุดผู้คนก็รู้ว่าผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นจ้าวไม่ใช่ผู้ที่มาจากหอดาบจินหยาง แต่กลับดูเหมือนจะมาจากร้านตีดาบธรรมดา ๆ แห่งหนึ่ง
ศิษย์หลักสำนักดาบทั้งแปดคนนั้นคือผู้ที่สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองได้ด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว เราทำลายแคว้นจ้าวไปแล้วเมื่อสิบสามปีก่อน ทว่าศิษย์ชั่วร้ายของสำนักแห่งนี้ยังอยู่เป็นหนามยอกอกราชวงศ์ฉิน หากไม่สามารถถอนออกได้ เราก็คงไม่มีทางอยู่อย่างเป็นสุขได้ คนที่เราสังหารไปวันนี้คือศิษย์ลำดับที่เจ็ดของสำนักดาบ จ้าวจั่น”
“ถึงว่า…” ติงหนิงเอ่ยขึ้นอย่างใช้ความคิด สายตาของเด็กหนุ่มมองลอดช่องว่างระหว่างขบวนทัพ มองไปยังลานเล็กที่ถูกทำลายย่อยยับ เห็นผู้ฝึกตนหลายคนค่อย ๆ พลิกตัวออกมา
โม่ชิงกงยิ้มน้อย ๆ “ทีนี้เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงถามคำถามเล็กน้อยกับเจ้าเช่นนี้?”
ติงหนิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “มีศัตรูอันตรายซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ท่านต้องสอบสวนผู้อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด โดยเฉพาะข้าที่ไม่ได้อาศัยอยู่แถบนี้ ยิ่งต้องสอบสวน”
โม่ชิงกงพยักหน้าเป็นเชิงชื่นชม “เช่นนั้นตอบคำถามข้าเมื่อครู่ได้แล้วใช่หรือไม่?”
ติงหนิงยิ้ม ก่อนตอบ “ความจริงคือร้านน้ำมันงาแถวบ้านข้าปิดมาสองวันแล้ว ข้าจึงต้องมาซื้อน้ำมันที่นี่ซึ่งเป็นร้านที่ใกล้ที่สุดรองลงมา ไม่คิดว่าจะถูกพายุฝนทำให้ล่าช้า แล้วเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้เข้า”
โม่ชิงกงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบร่ม ส่งให้ติงหนิง “เช่นนั้น เจ้าไปได้”
ติงหนิงตกตะลึงเล็กน้อย ถามด้วยนัยน์ตาสดใส “ง่ายเช่นนี้?”
“เจ้าไม่อยากไปหรือ? อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย!” โม่ชิงกงพ่นลมทางจมูก เขาโบกมือ ส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มรีบไปเสีย
“งั้นร่มท่านล่ะ?”
“หากข้าไม่กลับมาเอา ถือเป็นของขวัญให้เจ้าแล้วกัน”
…
มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มติงหนิงแล้ว ใบหน้าโม่ชิงกงก็เย็นชาลง หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตะโกนเสียงต่ำไปยังกระโจมกันฝนที่อยู่ด้านหลัง “เรียกฉินหวายชูมา!”
หลังจากตะโกนไม่นาน คนชุดคลุมสีน้ำเงินรูปร่างผอมผู้หนึ่ง ก็เดินเข้ามาในกระท่อมกันฝนชั่วคราว
โม่ชิงกงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองชายหนุ่มที่เดินมาอยู่ตรงหน้า ใช้นิ้วแตะลงบนม้วนกระดาษที่คลี่เปิดอยู่ด้านหน้าเบา ๆ หลังจากเคาะหลายสิบครั้ง เขาก็ถามขึ้นช้า ๆ “เด็กหนุ่มคนนี้ชื่อติงหนิง จากอู๋ถง เจ้าเป็นคนทำรายชื่อเขา จำเด็กคนนี้ได้หรือไม่?”
คนหนุ่มร่างผอมยืดตัวขึ้นอย่างนอบน้อม ทว่าหัวยังโค้งอยู่ ตอบอย่างหนักแน่น “จำได้ครับ”
โม่ชิงกงจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา พูดสียงขรึม “จากบันทึก เขากับน้าที่ยังสาวของเขามีภูมิหลังสะอาดมาก เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงทำบันทึกข้อมูลของเขาขึ้นมา?”
ชายหนุ่มร่างผอมราวกับจะรู้ว่าต้องถูกถามเช่นนั้น เขาตอบอย่างไม่ลังเล “เด็กคนนี้เป็นชาวฉินไม่ผิดแน่ บรรพบุรุษก่อนหน้าเขาสักสองสามรุ่นก็สืบรู้ได้ เหตุผลที่ข้าน้อยเตรียมบันทึกข้อมูลนี้ไว้ เป็นเพราะจวนท่านโหวฟานเคยติดต่อกับเขา ครั้งหนึ่งจวนท่านโหวฟานยังเคยเชิญฟางเสี้ยวมู่มาพบเขาด้วย”
โม่ชิงกงนิ่งไป “จวนของท่านโหวฟาน?”
ชายร่างผอมหยักหน้า “เด็กคนนี้อยู่ในความดูแลของน้าเขาหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตจากโรคร้ายสมัยเด็ก น้าของเขามีร้านเหล้าอยู่ในหมู่บ้านอู๋ถง เป็นร้านเล็ก ๆ แต่มีชื่อ คนจากจวนท่านโหวฟานครั้งหนึ่งซื้อเหล้าจากที่นั่น แล้วเกิดรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพ พวกเขาจึงเชิญฟางเสี้ยวมู่มาพบเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยตนเอง”
โม่ชิงกงขมวดคิ้ว นิ้วเริ่มเคาะโต๊ะอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง
“จากนั้นเล่า?” คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามต่อ
ชายหนุ่มร่างผอมตอบเสียงเครียด “หลังฟางเสี้ยวมู่ได้เห็นเขาแล้วจวนท่านโหวฟานก็ไม่ติดต่อเด็กคนนี้อีก ข้าน้อยเดาว่าฟางเสี้ยวมู่คงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่อาจเป็นผู้บำเพ็ญตนได้ ด้วยชาติเกิดต่ำต้อย ไร้ข้อกังขา ข้าน้อยจึงเตรียมข้อมูลนี้ไว้ และไม่ได้สืบความเพิ่มเติมอีก”
นัยน์ตาโม่ชิงกงมีแววชื่นชมเล็ก ๆ “ดีมาก”
สีหน้าชายร่างผอมไม่เปลี่ยน เขาเอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าน้อยเพียงแต่ทำตามหน้าที่”
โม่ชิงกงครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะถาม “เหล้าจากหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างอู๋ถงสามารถเตะตาจวนท่านโหวฟานได้เลยหรือ?”
ชายร่างผอมส่ายหัว “เหตุผลที่ร้านเหล้ามีชื่อเสียง เป็นเพราะน้าสาวของเขารูปโฉมงดงามมากขอรับ”
โม่ชิงกงตะลึงไป
ชายร่างผอมยังไม่เงยหน้าขึ้น ทว่ามุมปากคลี่ยิ้มเล็กน้อย เขาคิดในใจ หากท่านได้เห็นสตรีนางนั้น ท่านจะตะลึงกว่านี้อีก
โม่ชิงกงยิ้ม ก่อนจะหัวเราะออกมา ก่อนที่จู่ ๆ จะมองไปยังชายหนุ่มร่างผอมด้วยสีหน้าจริงจัง และพูดขึ้นมาเสียงเบา “ครั้งนี้ ข้าใส่เจ้าในรายชื่อเจ้าลงในรายชื่อแนะนำของสำนักดาบขาดวิญญาณ”
“ท่าน!”
สีหน้าโม่ชิงกงไม่เปลี่ยนแปลงมาก เขาตบไหล่คนหนุ่มที่ดูตื่นเต้น พูดขึ้นช้า ๆ “ก่อนจะไปฝึกตนที่สำนักดาบขาดวิญญาณ ช่วยข้าอีกสักครั้ง ช่วยไปสืบพื้นเพของเด็กคนนั้นและคนรอบตัวเขา สืบให้รู้ว่าฟางเสี้ยวมู่ประเมินเขาไว้อย่างไร
ถนนทุกเส้นตรอกทุกตรอกในเมืองฉางหลิงนั้นเป็นทางตรง ตัดกันเป็นมุมฉากทั้งหมด แนวนอนเป็นแนวนอน แนวตั้งเป็นแนวตั้ง ดังที่จ้าวจั่นกล่าวไว้ กระทั่งหอสูงยังถูกสร้างไว้ทั่วเมืองอย่างสม่ำเสมอกัน
ณ หอสูง ใกล้กับกระท่อมกันฝนของโม่ชิงกง ด้านหลังม่านกันฝน เก้าอี้ไม้สานตัวหนึ่งถูกวางไว้ ชายชราสวมชุดธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ผมสีดอกเลาทิ้งตัวลงแถวหัวไกล่ราวกับรากขิง
ชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างท่าทางแข็งแรง สวมชุดสีเหลือง ยืนอยู่ด้านหลังชายชรา
ชายหนุ่มมีรูปร่างดี สีหน้าสงบนิ่ง ถ้าใครได้มอง เขาหรือเธอคนนั้นจะต้องรู้สึกดีตั้งแต่แรกเห็นอย่างแน่นอน มือของเขาวางอยู่หลังเก้าอี้ไม้ ดูถ่อมตนแต่ก็สนิทสนมในคราวเดียวกัน
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
ชายชราดึงสายตากลับมาจากที่ไกล เผยยิ้ม ก่อนจะเริ่มถามขึ้นก่อน
ชายหนุ่มชุดเหลืองขยับ เดินไปอยู่ด้านข้างชายชรา ก่อนจะตอบด้วยความเคารพนบน้อม “ท่านอาจารย์ ในเมื่อเจ้าสำนักเย่สามารถฆ่าจ้าวจั่นด้วยตัวคนเดียวได้ เช่นนั้นนางต้องผ่านประตูข้ามด่านเจ็ดระดับกลางแล้วอย่างน้อยเป็นแน่ แต่ข้าไม่เข้าใจ ปัจจุบันเมืองฉางหลิงเอง...นอกจากเจ้าสำนักเย่แล้ว ยังมีคนอื่น ๆ ที่สามารถฆ่าจ้าวจั่นได้อยู่อีกมาก เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องเรียกเจ้าสำนักเย่ที่ฝึกตนอยู่ต่างแดนกลับมาด้วยเล่า?”
ชายชรายิ้มน้อย ๆ ใช้นิ้วเหี่ยวย่นชี้ออกไปจากหอสูง “เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”
ชายหนุ่มชุดเหลืองมองออกไปด้านนอกอย่างเคร่งเครียด ทว่าเห็นเพียงตรอกซอยและถนนที่เป็นเส้นตรงท่ามกลางลมฝน เขาตอบกลับเป็นเชิงขออภัย “ศิษย์ไร้ความสามารถ ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”
“เจ้ามองสั้นเกินไป เจ้าเห็นเพียงถนนเหล่านี้ ไม่อาจเห็นพรมแดนของฉางหลิงได้” นัยน์ตาชายชราหรี่ลงครึ่งหนึ่ง พูดขึ้นช้า ๆ “ทว่าเจ้าควรรู้ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงแห่งเดียวในแผ่นดินที่ไร้กำแพงชั้นนอก เหตุที่ไม่จำเป็นต้องมีกำแพงป้องกันเมือง เป็นเพราะดาบในมือของชาวฉินทุกคนต่างเป็นกำแพงป้องกันเมือง”
ชายหนุ่มชุดเหลืองสีหน้าเครียด ไม่พูดไม่จาไป
“ฝ่าบาท และท่านเสนาหลี่ มองการณ์ไกลกว่าเจ้านัก”
ชายชรามองชายหนุ่มชุดเหลืองอย่างมีเมตตา ทว่าเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเจือแววหยัน “การเรียกตัวเจ้าสำนักเย่กลับมา มีเหตุผลอย่างน้อยสองประการ ประการแรก คือเมืองฉางหลิงไม่ขาดคนที่สามารถสังหารจ้าวจั่นได้ แต่คนเพิ่มมาหนึ่งคน ความแข็งแกร่งย่อมเพิ่มมากขึ้น”
“ในอดีต เจ้าสำนักเย่มีชื่อเสียงน่าหวาดหวั่น หลายคนสงสัยว่านางก้าวผ่านด่านที่เจ็ดแล้ว วันนี้ การที่เจ้าสำนักเย่สังหารจ้าวจั่นในดาบเดียวนั้น เหมือนฟ้าผ่ากลางฤดูใบไม้ร่วง กำแพงไร้ตัวตนของเมืองฉางหลิงหนาขึ้นอีกชั้นหนึ่ง”
“อีกประการ เจ้าสำนักเย่ออกเดินทางหลายปี หลาย ๆ คนรวมถึงข้า สงสัยว่าฝ่าบาทอาจไม่เชื่อใจนาง และเนรเทศนางออกจากเมืองไป การที่นางกลับมาฉางหลิงอย่างฉับพลันเพื่อกำจัดคนชั่ว แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา ฝ่าบาทกับนางยังใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยตลอด ข่าวลือและข้อสงสัยต่างถูกกำจัดไป”
“ท่านเสนาหลี่มองไกลกว่าข้าจริง ๆ” ชายหนุ่มชุดเหลืองถอนหายใจ
ยามที่เอ่ยชื่อ“เสนาหลี่” ขึ้นมา สีหน้าชายหนุ่มมีทั้งความชื่นชมและความละอายใจ
เสนาบดีหลี่เป็นนามที่มีชื่อเสียงมาก
ราชวงศ์ฉินมีเสนาบดีสองคน คนหนึ่งสกุลหยาน อีกคนสกุลหลี่
เสนาบดีทั้งสองท่านมีอายุ รูปลักษณ์ นิสัยใจคอ และเรื่องอื่น ๆ แตกต่างกัน ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาต่างก็ลึกลับและมีอำนาจมาก
ความลึกลับและอำนาจที่ว่าทำให้สถานที่ส่วนใหญ่ในฉางหลิง ต่างตกอยู่ภายใต้เงาของคนทั้งคู่ ไม่ว่าใครก็ต่างรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นวรยุทธ์ของพวกเขา น้อยคนนักที่มีโอกาสเห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนทั้งคู่
อำนาจมากล้น… ผู้ที่แข็งแกร่งเหลือแสน น่ากลัวเหลือคณา ยังเป็นเพียงลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของพวกเขา
ผู้ที่แข็งแกร่งเกินไปย่อมขาดมิตร
ฉะนั้น ในเมืองฉางหลิง เมื่อไหร่ที่เอ่ยนามของเสนาบดีหลี่หรือเสนาบดีหยานออกมา ผู้คนมักแสดงความเกลียดชัง ความโกรธ ความกลัว ออกมา ทว่าน้อยนักที่จะแสดงสีหน้าชื่นชมอย่างแท้จริง เช่นชายหนุ่มชุดเหลืองคนนี้
“ท่านอาจารย์กล่าได้ถูกต้อง ช่วงนี้ฝ่าบาทมุ่งฝึกตน เสนาบดีหลี่ย่อมดูแลบ้านเมืองแทน… ทว่าอีกไม่นาน การชุมนุมลู่ชานจะมาถึง ที่เรียกเจ้าสำนักเย่กลับมา เขาน่าจะมีความคิดอื่นด้วย” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยขึ้น หลังจากถอนหายใจและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ชายชรายิ้มอย่างพึงพอใจ
ในความคิดชายชรา ศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้ไม่ได้ฉลาดล้ำเลิศ ทว่านิสัยใจคอซื่อตรง ตรงไปตรงมาดั่งถนนในเมืองฉางหลิง
เขาไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อใครโดยเฉพาะ สามารถเรียนรู้ทัศนคติจากคนแต่ละคนได้
คนเช่นนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน และก้าวได้ไกลกว่าในราชวงศ์ฉินอันไม่แน่นอน
ถึงตอนนี้จะยังมองได้ไม่ไกล แต่หากก้าวเดินไปได้ไกล ก็จะเห็นมากกว่าผู้อื่นเอง
พายุฝนยังคงตกหนักไร้วี่แววหยุด น้ำเจิ่งนองทั่วถนนเมืองฉางหลิง
ติงหนิง ที่ตอนนี้ใบหน้าถูกเช็ดจนสะอาดแล้ว ทว่าเสื้อผ้ายังคงสกปรก เดินเขยกเข้าตรอกที่มีต้นอู๋ถงขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก