ตอนที่ 1 สมาชิกสำนักดาบที่เหลือรอด
ตอนที่ 1 สมาชิกสำนักดาบที่เหลือรอด
ฤดูใบไม้ร่วง ปีหยวนหวู่ที่ 11 ราชวงศ์ฉิน
พายุฝนที่หาได้ยากกระหน่ำลงไปทั่วทั้งเมืองฉางหลิง เมฆดำพร้อมด้วยเสียงฟ้าคำรามน่าขวัญผวาทำให้เมืองหลวงของราชวงศ์ฉินราวกับตกอยู่ในห้วงฝันร้าย
ณ ท่าเรือแม่น้ำเว่ย นอกเมืองฉางหลิง เจ้าหน้าที่และทหารนับไม่ถ้วนในเครื่องแบบสีดำยืนเรียงกันอยู่ ลมพายุและหยาดฝนกระหน่ำพัดใส่ร่าง แต่พวกเขากลับยืนนิ่งราวกับถูกตอกติดอยู่กับพื้น
ท่ามกลางเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง มีเรือหุ้มเกราะลำหนึ่งปรากฏขึ้น!
ในตอนนั้นเอง สายฟ้าที่ส่งเสียงคำรามอยู่เบื้องบนก็ฟาดลงมา แสงสีขาวส่องกระทบเรือหุ้มเกราะเหล็กสีดำ
สีหน้าของเจ้าหน้าที่และทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่ริมท่าเรือเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพวกเขาเห็นภาพเบื้องหน้า
ที่หัวเรือหุ้มเกราะเหล็กลำนี้เป็นหัวของเต่ามังกร!
ถึงจะสิ้นชีพแล้ว แต่หัวขนาดมหึมาที่ใหญ่กว่ารถม้าของอสูรตนนี้ ตรงนัยน์ตาสีแดงฉานของมัน ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความดุร้าย บรรยากาศชั่วร้ายของมันน่าหวั่นกลัวกว่าคลื่นน้ำอันบ้าคลั่งเสียอีก
ก่อนที่เรือลำยักษ์จะเทียบท่า เจ้าหน้าที่สามนายก็พากันเคลื่อนที่ผ่านท้องน้ำหลายสิบเมตรภายในพริบตา ก่อนที่เท้าของพวกเขาจะเหยียบลงบนดาดฟ้าเรืออย่างหนักหน่วง
ที่น่าตื่นตะลึงกว่าเจ้าหน้าที่สามนายนั้น คือรูและรอยแตกสภาพแสนน่าสะพรึงกลัวที่กระจายอยู่ทั่วลำเรือ ดูแล้วคงผ่านมาหลายสงครามใหญ่เป็นแน่ ทว่าสิ่งที่ผู้คนเห็นกลับเป็นคนผู้หนึ่ง ชายคนนั้นแต่งตัวดูราวกับข้ารับใช้ สวมชุดฟางหญ้ากันฝน ยืนอยู่ที่มุมเรือราวกับภูตผี
เมื่อกวาดสายตาไปมา เจ้าหน้าที่กลับไม่เห็นผู้ที่ตนต่างรอคอยมานาน
“ใต้เท้าหาน เจ้าสำนักเย่อยู่หรือไม่?”
เจ้าหน้าที่สามนายโค้งทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนเอ่ยปากถาม พวกเขาพยายามมข่มความตกใจของตนเอาไว้
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ เจ้าสำนักเย่เดินทางไปยังสถานที่ที่ผู้เหลือรอดจากสำนักดาบกำลังซ่อนตัวอยู่แล้ว” ชายแก่ที่ดูเหมือนข้ารับใช้ค่อย ๆ โค้งตัวลงพร้อมเอ่ยตอบ พวกเขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของชายชราอย่างชัดเจนนักท่ามกลางสายฝน ทว่านัยน์ตาของชายชรานั้นล้ำลึกและเย็นชาเสียจนเหมือนกับว่ากำลังแผ่กำจายอำนาจขู่ขวัญออกมาอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าสำนักเย่ไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” ทั้งสามคนตกใจ อดหันกลับไปมองเมืองด้านหลังไม่ได้
ทั่วเมืองฉางหลิงถูกปกคลุมไปด้วยห่าฝนและแสงยามเย็น เห็นเพียงเงาของหอสูงจาง ๆ เท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ร่มสีดำก็ปรากฏขึ้นบนแม่น้ำทางตอนใต้ของเมืองฉางหลิง
ผู้ที่ถือร่มดำ เขากำลังเดินบนกระแสน้ำเชี่ยวกรากราวกับกำลังเดินอยู่บนพื้นดินธรรมดาเพื่อมุ่งหน้าไปยังตรอกที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
ที่นั่น มีเจ้าหน้าที่สวมชุดดำอีกหกคนที่ความสูงแตกต่างกัน ทุกคนถือร่มคนละคัน กำลังยืนรอคนผู้นี้อยู่ที่ริมฝั่ง ร่มสีดำบดบังร่างของพวกเขาเอาไว้
เมื่อคนผู้นั้นก้าวเท้าขึ้นฝั่ง เจ้าหน้าที่ทั้งหกไม่ขยับหรือส่งเสียงใด พวกเขาเดินแยกออกเป็นสองฝั่ง และเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
ลานกว้างธรรมดา ๆ ในตรอกแห่งนี้ค่อย ๆ กลายเป็นศูนย์รวมของคนที่ถือร่มดำ พวกเขาเริ่มแผ่ไอสังหารออกมา
เสียงหยาดฝนหยดลงพื้น ผสมปนเปไปกับเสียงเคี้ยวอาหาร
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนหนึ่ง แขนเสื้อเลิกขึ้น กำลังกินอาหารเย็นอยู่ใต้ชายคาบ้าน
เสื้อคลุมสีดำของเขาขาดเวิ่น ทรงผมกระเซิงถูกเชือกฟางผูกไว้อย่างเรียบง่าย พื้นรองเท้าผ้าของเขาบางจนแทบไม่เหลือ เล็บมือสกปรก รูปร่างไม่โดดเด่น ดูแล้วเหมือนกับคนงานปกติทั่วไปที่อาศัยอยู่แถบนี้
อาหารเย็นของเขาเองก็เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่สุด ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ผักใบเขียวหนึ่งจาน และถั่วอบแห้งหนึ่งจาน ทว่าชายวัยกลางคนก็กินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ละคำเคี้ยวอยู่หลายสิบครั้งก่อนจะกลืน
หลังจากกลืนข้าวคำสุดท้ายลงไปแล้ว เขาก็คว้ากระบวยตักน้ำที่ห้อยอยู่ที่ชายคา จุ่มลงไปในถังน้ำด้านข้าง ดื่มน้ำจากกระบวย ก่อนจะเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ
ในตอนที่เขาเรอ บุคคลร่มดำคนหนึ่งบังเอิญหยุดลงที่หน้าประตูทางเข้าลานบ้านเล็ก ๆ ของเขาพอดิบพอดี
รองเท้าสีขาวราวหิมะยื่นออกมาจากบุคคลถือร่มดำคนหนึ่ง นับเป็นภาพดึงความสนใจท่ามกลางสีดำที่รายล้อม
หลังจากรองเท้า ชุดกระโปรงยาวสีขาว ผมยาวปล่อยสยาย ริมฝีปากและคิ้วบาง ก็ตามมา
ท่ามกลางเสียงกระแสน้ำไหล นางเดินออกมา เป็นหญิงงามคนหนึ่ง ทรวดทรงองเอวมีเสน่ห์ ให้กลิ่นอายผู้มีความรู้
นางเดินออกมาจากร่มดำ ปล่อยให้ฝนพรำใส่เรือนผม เดินเข้ามายังกลางลานบ้านของชายวัยกลางคนด้วยฝีเท้าแผ่วเบา โค้งคำนับเขาหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เย่เช่อเหลิ่งทักทายท่านจ้าว ศิษย์ลำดับที่เจ็ด”
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร่างกายเริ่มแผ่กลิ่นอาย และเสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมา
“อยู่เมืองฉางหลิงมาสามปี เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเจ้าสำนักเย่”
เขาไม่ได้โค้งคำนับกลับ เพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น สายตามองผ่านสตรีผู้นั้นออกไปยังตรอกด้านนอก ที่ซึ่งลมแรงพัดและหยาดฝนหยดกระทบพื้น
“อยู่มานานเข้า ฉางหลิงก็กลายเป็นเมืองน่าเบื่อ เหมือนกับชาวฉิน วิชาดาบและการปฏิบัติตนของพวกเขา ช่างตรงไปตรงมา ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทุกอย่างอยู่ถูกที่ เท่าเทียมกัน กระทั่งถนนและกำแพงยังมีสีดำ ไม่ก็เป็นสีเทา ไม่มีความงดงามแม้แต่น้อย ทว่าเจ้าสำนักเย่ทำให้ดวงตาข้าได้มีชีวิตชีวาขึ้นมา ดูแตกต่างกับเมืองฉางหลิงเป็นอย่างมาก”
คำพูดของเขาเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงของคนที่นั่งคุยเรื่อยเปื่อยหลังมื้ออาหาร ทว่าเมื่อคำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา สีหน้าคนถือร่มดำที่อยู่ด้านนอกกลับกลายเป็นเย็นเยียบ
“กล้าดียังไง! กากเดนจากสำนักดาบต่ำช้า จ้าวจั่น! เจ้าสำนักเย่อุตส่าห์มาพบเจ้าด้วยตนเอง ไม่ยอมแพ้แต่โดยดี แล้วยังกล้าพูดเช่นนี้ออกมาอีก!”
เสียงตะโกนเย็นชาจากหนึ่งในคนร่มดำที่ยืนอยู่ห่างออกไปดังขึ้น
ราวกับจงใจจะให้ชายวัยกลางคนและสตรีชุดขาวเห็นเขาได้อย่างชัดเจน เจ้าของเสียงยกร่มดำที่ตนถืออยู่ขึ้น เผยให้เห็นผู้พูดที่เป็นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากคนหนึ่ง ฟันขาว ริมฝีปากแดง ผิวพรรณดั่งหยกขาว นัยน์ตาประกายวาบราวสายฟ้าแลบ
“โอ้?”
น้ำเสียงแห่งความประหลาดใจดังขึ้น
คิ้วที่ขมวดของชายวัยกลางคนคลายลงเล็กน้อย สีหน้าราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง “ไม่แปลกที่ตัวตนของเจ้าบางเบากว่าคนอื่น… เจ้าไม่ใช่หนึ่งในหกนักปราชญ์ของสำนักดาราศาสตร์ หรือก็คือ เจ้าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมเซียนสินะ”
มือของเจ้าหน้าที่ชุดดำหนุ่มรูปงามสั่นเล็กน้อย ดูท่าเขาจะใช้ความกล้าหาญอย่างมากกับการกระทำเมื่อครู่ เมื่อได้ยินว่าตัวตนของเขาดูอ่อนแอกว่าบุคคลถือร่มคนอื่น ๆ นัยน์ตาก็คุกรุ่นไปด้วยความโกรธ ลมหายใจถี่ขึ้น
ชายวัยกลางคนละสายตาจากคนหนุ่ม หันมามองสตรีชุดขาว เขายิ้มบาง ก่อนจะกล่าวขึ้น “อายุเพียงเท่านี้ อีกครึ่งก้าวจะถึงด่านสี่แล้ว เขาคงเป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากของราชวงศ์เจ้าเลยสินะ”
สตรีชุดขาวยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มจาง ๆ สองรอย “ท่านพูดถูกต้องแล้ว”
“เขาชื่นชมเจ้า อยากจะทำให้เจ้าประทับใจ” ชายวัยกลางคนจับจ้องสตรีชุดขาวอย่างมีความหมาย “น่าเสียดายแย่เลยไม่ใช่หรือ?”
“เจ้า… เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เจ้าหน้าที่หนุ่มรูปงามหน้าซีดลงทันที ชุดคลุมหนักอึ้งชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
สตรีชุดขาวหันกลับไปมองเขา ยิ้มน้อย ๆ นางไม่ได้รู้สึกไม่พอใจคนหนุ่มรูปงามผู้นี้แม้แต่น้อย ทว่าจู่ ๆ หยาดฝนที่ตกลงสู่ร่างกลับหยุดลงเสียอย่างนั้น
จากนั้นหยาดฝนที่ร่วงลงมาก็เร่งความเร็วขึ้น ขยายตัว กลายเป็นมีดบางเล่มเล็ก
“ฟิ้ว” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น
เลือดสาดกระเซ็นเปรอะด้านในร่ม ศีรษะของเจ้าหน้าที่หนุ่มรูปงามแยกออกจากร่าง ร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับร่ม นัยน์ตาสองข้างเบิกกว้าง ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ดุดันจริง!”
ชายวัยกลางคนปรบมือพร้อมส่งเสียงโห่ร้อง “เจ้าสำนักเย่ช่างกล้าหาญ สังหารคนจากกรมเซียนที่คอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมท่านได้ ทว่าเจ้าสำนักเย่ดูท่าจะใจไม่กว้างเท่าไหร่ ถึงได้สังหารเจ้าหน้าที่ฝีมือดีที่หาได้ยากเช่นนี้เพียงเพราะอารมณ์ไม่ดี”
สตรีชุดขาวยิ้มหยัน “สตรีไม่จำเป็นต้องใจใหญ่ มีเพียงหน้าอกหน้าใจที่ใหญ่ก็เพียงพอแล้ว”
ชายวัยกลางคนนิ่งไป ไม่คาดคิดว่าสตรีชุดขาวจะพูดอะไรเช่นนี้ออกมา
“มีเหตุผล”
เขาหัวเราะเย้ยตนเอง “คนอย่างเจ้าสำนักเย่ ไม่ว่าจะทำหรือพูดอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจผู้อื่นมากนัก”
ขนตาของสตรีชุดขาวสั่น ครั้งนี้ ดูท่านางจะมีความรู้สึกบางอย่าง คิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่พูดไม่จาอีก
รอยยิ้มของชายวัยกลางคนจางลง รอยย่นเล็ก ๆ ที่หางตาราวกับถูกแสงประหลาดทำให้เลือนหายไป ผิวของเขาเรืองแสงสีเหมือนหยกออกมา ฉับพลัน! คลื่นความร้อนอันปราศจากที่มากก็ทำให้หยาดฝนที่กำลังตกลงมากลายเป็นไอสีขาว จิตสังหารรุนแรงแพร่กระจายไปทั่วลานเล็ก ๆ แห่งนี้ทันที
“การฝึกตนของพวกเรามุ่งไปแตกต่างกัน เหล่าผู้ฝึกตนในโลกนี้แบ่งออกเป็นเก้าด่าน แต่ละด่านมีสามระดับ ฮ่องเต้ของท่าน เขาอยู่ด่านไหนแล้วเล่า?” ตอนสตรีชุดขาวที่มีฐานะสูงส่งอย่างเห็นได้ชัดโค้งคำนับให้เขา เขากลับไม่โค้งคำนับตอบ ทว่าครานี้ เขากลับถามขึ้นอย่างเคร่งขรึม และโค้งคำนับจนสุด
“ในเมื่อใจข้าไม่กว้าง ข้าก็ขอไม่ตอบคำถามของท่านในสถานการณ์เช่นนี้ ยังไงซะข้าก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อันใด” สตรีชุดขาวจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาสงบ น้ำเสียงไม่เปิดช่องให้ต่อรอง “หนึ่งคน หนึ่งคำถาม”
ชายวัยกลางคนนิ่งคิดสักครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ก็ได้”
สตรีชุดขาวถามขึ้นทันทีโดยไม่ปรึกษาว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน “ศิษย์สำนักดาบฝึกวิชาดาบมรณะ ไม่สนใจชีวิตตนเอง แต่เวลาสามปีที่ท่านซ่อนตัว ท่านไม่ได้ลอบสังหารผู้ฝึกตนในราชวงศ์ ซุ่มวางแผน หรือคิดขโมยบันทึกการฝึกวิชาของราชวงศ์เลย ท่านคิดจะทำการใดกันแน่?”
ชายวัยกลางคนมองนางพร้อมกับถอนหายใจ “ไม่ว่าอาวุธลับหรือวิชาในสถานที่ฝึกตนของท่านจะแข็งแกร่งเพียงใด สิ่งเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าสิ่งที่คนผู้นั้นทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ?”
คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบของเขานั้นกระชับ เขาไม่ได้เอ่ยแม้นามของ “คนผู้นั้น” ขึ้นมาด้วยซ้ำ ทว่าคำสองคำนี้คล้ายเป็นคำต้องห้าม เจ้าหน้าที่ห้าคนที่ยืนอยู่ภายใต้ร่มสีดำ ที่ไม่แม้แต่จะขยับกายตอนหัวคนถูกบั่นออกจากบ่า แต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำสองคำนั้น ร่มดำในมือกลับสั่นเสียจนทำให้หยาดน้ำกระเซ็นออกมาเป็นลอน
สตรีชุดขาวแสดงอาการไม่พอใจในทันที นางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “หลายปีผ่านไป ท่านยังไม่ยอมแพ้ ยังต้องการเห็นว่าคนผู้นั้นทิ้งสิ่งใดไว้อีกงั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่จ้องเข้าไปในตานางด้วยความสนใจ รอคำตอบจากนาง
สตรีชุดขาวมองไปยังชายวัยกลางคน ผู้ที่ยิ่งมองก็ยิ่งมีเสน่ห์น่าดึงดูดมากขึ้นเรื่อย ๆ พลันรู้สึกเห็นใจคนผู้นี้ นางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ฝ่าบาทถึงด่านเจ็ดระดับต้นเมื่อห้าปีก่อน จากนั้นไม่ออกต่อสู้อีก ท่านพอใจกับคำตอบหรือไม่?”
“ด่านเจ็ดระดับต้นเมื่อห้าปีก่อนงั้นหรือ ใช้เวลาห้าปีทะลวงด่าน น่าจะเพียงพอ หรือก็คือ เขาอาจข้ามไปด่านแปดแล้วสินะ?” ร่องรอยของความขุ่นใจและความเศร้าโศกปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของชายวัยกลางคน ทว่าพริบตาต่อมาก็เลือนหายไปจนหมด ก่อนที่จะกลับกลายเป็น…. คมดาบ!
ทั่วทั้งร่างเขาพลันเกิดแสงเรืองราวกับดาบไร้พ่ายซึ่งถูกเก็บใส่ปลอกดาบมาหลายปี และตอนนี้มันก็ได้เวลาแล้วที่จะเผยตัวออกมา!
หญ้าแห้งที่ขึ้นอยู่ตามกำแพงและหลังคารอบลานเล็กๆ แห่งนี้ถูกจิตที่เฉียบคมตัดขาด บินปลิวว่อนไปในอากาศ
“ขอความกรุณา!”
ชายวัยกลางคนสูดหายใจเข้าลึก ในนัยน์ตาเหลือเพียงภาพสตรีชุดขาว
“ศิษย์ลำดับที่เจ็ดของสำนักดาบ จ้าวจั่น ขอคำแนะนำวิชาดาบชิวฉุยจากเจ้าสำนักเย่!”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น สตรีชุดขาวกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา ทว่าเจ้าหน้าที่ชุดดำที่ลานด้านนอกพลันร้องคำรามขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาแยกตัวไปตามมุมของลานนอกบ้าน ร่มดำในมือหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว
ร่มสีดำเสมือนเกราะ หมุนตัวอย่างรวดเร็ว แทนที่จะดีดหยาดฝนที่ตกลงมากระทบ กลับดีดคลื่นอากาศนับไม่ถ้วนออกมา
ตู้ม!
ทั่วทั้งลานบ้านราวกับจะยืดขยายออกไป ก่อนที่จะเกิดการระเบิดออกมาเป็นชิ้นส่วนติดไฟชิ้นเล็กๆ จนนับไม่ถ้วน
เสียงอู้อี้ดังออกมาจากภายใต้ร่มดำ ชิ้นส่วนติดไฟพวกนี้กักเก็บพลังมหาศาลที่ทำให้เกิดเสียงดังแสบแก้วหู เสียงของมันเหมือนกับสิ่งของขัดกันดังอยู่ระหว่างเท้าทั้งสองข้างของคนร่มดำทั้งห้าคนกับพื้นหินขัดเรียบ
คลื่นอากาศก่อตัวเป็นกำแพงลมที่ไม่อาจทะลวงผ่าน มีก็เพียงชิ้นส่วนติดไฟไม่กี่ชิ้นที่สามารถเจาะเข้าไปได้ คลื่นความร้อนและประกายไฟคุกรุ่นถูกบังคับให้ไหลขึ้นด้านบน หากมองดูจากที่ไกล ๆ คงดูราวกับว่าบนอากาศ มีเตาหลอมดาบยักษ์ก่อตัวขึ้นยังไงยังงั้น
ที่ใจกลางเตาหลอมยักษ์ ดาบสีแดงฉานเล่มเล็กปรากฏขึ้นในมือของชายวัยกลางคนนามจ้าวจั่น
ดาบเล่มนี้มีขนาดใหญ่กว่าสองเมตรเพียงเล็กน้อย ทว่าเปลวไฟที่เผาไหม้ทั่วตัวและปลายดาบ กลับก่อตัวเป็นลูกบอลเพลิงขนาดหลายสิบเมตรด้วยกัน!
สตรีชุดขาวที่เขาเรียกว่าเจ้าสำนักเย่หายไปจากตรงหน้า ทว่าหยาดฝนนับไม่ถ้วนกลับถูกดีดมาทางเขาราวกับดาบเล่มจิ๋ว
วินาทีที่คนชุดดำทั้งห้าลงมือ นักดาบอีกเป็นสิบ ต่างก็ถือดาบนานาชนิด กรูกันเข้ามาในตรอกแห่งนี้
นักดาบเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แผ่กลิ่นอายเช่นเดียวกันกับคนร่มดำทั้งห้า ภายใต้พายุฝนแบบนี้ เม็ดฝนที่ตกลงมากลับหลีกหนีพวกเขาราวกับเกรงกลัว ฟองโปร่งแสงแยกแต่ละคนออกราวกับอยู่คนละโลก
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นเหมือนกับคนร่มดำทั้งห้า เป็นผู้ฝึกตนที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดิน มีทักษะที่ผู้คนไม่อาจคาดถึง
ทว่าเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงคำรามดังมาจากลานบ้านแห่งนั้น และเห็นหยาดน้ำจากแอ่งน้ำโดยรอบระเหยเป็นไอไปในอากาศ พวกเขาที่ไม่อาจรับรู้ถึงสถานการณ์การต่อสู้ภายในได้ กลับหน้าซีดลง เหงื่อเย็นไหลชุ่มมือ
พวกเขารู้จักสำนักดาบแคว้นจ้าวดี ทว่าในวันนี้ พวกเขาเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพวกเขาประเมินสำนักดาบแห่งนี้ต่ำไป
มันจบลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งผู้อาศัยข้างเคียงก็ยังคิดนี่ว่าเป็นเพียงแค่เสียงฟ้าผ่า จนไม่ได้เดินมาดูแต่อย่างใด
เสียงเปรียะประหลาดดังมาจากกำแพงร่มดำที่ล้อมรอบลานเล็กไว้ คนร่มดำคนหนึ่งไม่อาจต้านได้อีกต่อไป ร่างกระเด็นไปไกลเกือบร้อยเมตร
คนชุดดำที่ข้างเอวมีดาบไร้ฝัก พากันกระจายตัวออกนอกลานเล็ก สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนในทันที นักดาบชุดดำเบื้องหลังร่มดำทั้งสี่คนพากันตะโกนขึ้นพร้อมกัน ชักดาบออกมาถือป้องไว้ด้านหน้า
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง ดาบยาวต่างสีกันสี่เล่มโค้งไปด้านหลัง นักดาบชุดดำใช้เท้าฝืนยันพื้นไว้ กัดฟันต้านทาน ทว่าวินาทีต่อมา พวกเขาต่างก็กระอักเลือดออกมาคนละคำ และพากันกระเด็นออกไปราวกับวิหคถูกเด็ดปีก
คลื่นอากาศไหลออกมาจากรอยแตกของกำแพงร่มดำ ผ่านสวนผัก ก่อนที่จะเข้าไปทำลายกำแพงจนทะลุผ่านไปยังถนน และด้วยแรงที่เหลือ มันก็ถูกพัดเข้าไปยังร้านขายน้ำมันงาที่อยู่อีกฝั่งของถนน
ตู้ม
แผงประตูนับสิบของร้านขายน้ำมันงาระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร้านถูกทำลายไปกว่าครึ่ง หลังคากระเบื้องร่วงลงพื้น บังเกิดเสียงดังเสียจนฝุ่นตลบลอยฟุ้งขึ้นจากพื้น
“กลางค่ำกลางคืน ไอ้ระยำที่ไหนขับรถม้าเร็วขนาดนี้! ทำลายร้านข้าหมดแล้ว!”
เสียงร้องหนึ่งดังออกจากร้านที่หายไปเกือบครึ่ง หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ในมือถือทัพพี วิ่งง้างทัพพีออกมาจากร้าน ตั้งใจจะตีคน แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทัพพีตักน้ำมันในมือกลับร่วงลงพื้น ยิ่งกรีดร้องเสียงสูงขึ้นไปอีก
“สำนักดาราศาสตร์กำลังทำคดี!”
นักดาบชุดดำที่กระเด็นออกมาอยู่ที่ถนนหน้าร้านฝืนตัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคน เขาตะโกนออกไป จิตสังหารรุนแรงทำให้หญิงผู้นั้นตัวสั่น หยุดกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ตอนนั้นเอง สิ่งที่ทำให้นักดาบชุดดำหน้าตาน่ากลัวคนนี้ตะลึงคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านขายน้ำมันงาที่พังไปครึ่งร้าน ในมือถือขวดน้ำมัน รูปร่างดูแล้วอายุราวสิบสามหรือสิบสี่ปี ทว่าใบหน้าเปื้อนฝุ่นของเด็กหนุ่มกลับไปแสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
บนใบหน้ามีแต่ความสงสัย นัยน์ตากระจ่างจ้องมองนักดาบชุดดำ จากนั้นมองข้ามไปยังกำแพงสองกำแพงที่ถูกทำลาย
ในสายตาของเด็กหนุ่ม สตรีรูปงามในชุดขาวกำลังเดินออกมาจากช่องว่างของกำแพงร่มดำ
ชุดของสตรีชุดขาวเปียกชุ่ม นางดูอ่อนล้ามาก เมื่อร่มดำทั้งหลายเขามารายล้อม และกันฝนให้นาง นางก็เอ่ยคำสี่คำขึ้นมาเสียงแผ่ว
“ฝังอย่างสมเกียรติ”