คาถาที่ 9 : มนต์ดำ
ผมกำลังกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นหกของคอนโดแมทธิว
หลังจากเลิกเรียนในช่วงบ่าย ผมก็ได้รับข้อความทางไลน์จากมันที่ถูกส่งมาให้พร้อมกับที่อยู่คอนโด เห็นบอกว่าน้าของเจ้าตัวต้องการจะพบ และคุยกับผมเรื่องหนังสือที่ได้เผาไป สิ่งที่ผมทำลงไปนับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเลยทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่ทำลายสมบัติที่ตระกูลแม่มดขาวเก็บรักษาไว้ แต่ผมยังทำให้สิ่งที่ถูกขังอยู่หลายร้อยปีในนั้นหลุดออกมาได้อีกด้วย ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมยื่นขาเข้าไปในกลุ่มพวกพ่อมดแม่มดเต็มตัวแล้ว จะชิ่งหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ได้ ถึงผมจะดูเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาไหนก็เหอะ แต่ผมก็มีความรับผิดชอบนะ ยังไงก็ควรจะไปแสดงความรับผิดชอบ เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือจะเอายังไงต่อ แต่ผมว่า อาจจะต้องเป็นตัวผมเองนี่แหละที่ต้องไปให้พวกเขาช่วย เพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นมันจะมาตามล่าหาหนังสือจากผมอีกคนหรือเปล่า
เฮ้อ ... เหนื่อยใจ ยิ่งกว่าเล่นเกมโหมดจัดอันดับแล้วแพ้สิบตาติดอีก ใครจะไปคิดล่ะ ว่าชีวิตคนธรรมดา ใช้ชีวิตเล่นไปวัน ๆ อย่างผมจะกลายมาเป็นพ่อมด เป็นผู้วิเศษได้
ผมกดกริ่งหน้าห้องแมทธิวสักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมา ปรากฏให้เห็นร่างของแมทธิวที่ทำหน้ากวนส้นเท้ากวักมือเรียกผมเข้าไป ผมเกลียดหน้าทะเล้น ๆ นั่นชะมัด ดูเหมือนมันจะกลับกลายไปเป็นคนเดิมหลังจากเหวี่ยงใส่ผมอย่างหงุดหงิดเมื่อคืนก่อน เป็นไบโพลาร์ปะว่ะเนี่ย ผมเดินตามมันเข้ามาภายในห้อง ภายในคอนโดของแมทธิวไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ผมเห็นในความฝันแม้แต่น้อย รอบ ๆ ห้องนั่นก็ดูสะอาดตาเรียบร้อยดี ต่างจากห้องของผมตอนอยู่บ้านแบบสุดขั้ว พอเดินเข้ามาสักพักก็เจอโซฟาตัวเดิมที่ผมกับมันเกือบจะ ... เพราะผมคิดว่าเป็นใยไหม
ลืมความทรงจำอันแสนเลวร้ายนั่นไปซะเถอะ
เพราะตอนนี้ ตรงนั้นมีผู้หญิงชาวต่างชาติอายุราว ๆ สามสิบนั่งอยู่แทนที่ ใบหน้าสวยจัดถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ไม่อยากจะเชื่อ ว่าน้าไอ้แมทมันจะแซบลืมขนาดนี้ เจ้าตัวอยู่ในชุดเกาะอกที่โชว์หน้าอกหน้าใจแบบเต็มที่จนผมแทบจะเลือกไม่ถูกว่าจะมองหน้าหรือมองอะไรดี เสียงกระแอมดังขึ้นมาจากทางข้างหลังผมทำให้ได้สติ ผมหันไปมองหน้าไอ้แมทที่ยิ้มกวน ๆ อยู่ด้านหลังก่อนหันกลับไปหาเจ้าของร่างงามตรงหน้าอีกครั้ง
“นายคือชาซินะ แมทเล่าเรื่องนายให้ฉันฟังหมดแล้ว นั่งลงซิ” ร่างตรงหน้าผมพูด
“ครับ” ผมตอบกลับไปพลางนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
“ฉันเป็นน้าของแมทธิว ชื่อซิลเวีย” เจ้าตัวพูดต่อ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“นายคงพอรู้ตัวแล้วว่านายทำเรื่องอะไรลงไป”
ปลายเสียงราบเรียบจนผมเดาไม่ออกว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เท่าที่ดูเธอคนนี้เป็นผู้ใหญ่ที่ดูใจเย็นมากทีเดียวเชียวแหละ
“ผมเข้าใจครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง คุณจะเอาพลังนั่นกลับออกไปก็ได้ครับ” ผมพูดออกไป ยังไงพลังนั่นมันก็ไม่สมควรเป็นของผม ผมได้มันมาเพราะอุบัติเหตุที่มันเกิดขึ้นด้วยความใจร้อนของผม
“มันไม่ได้เอาออกมาง่าย ๆ ขนาดนั้น ตอนนี้นายกลายเป็นพวกของเราแล้ว” ริมฝีปากสีแดงสดพูดต่อ
“หมายความว่าไงครับ แล้วผมต้องทำยังไงต่อ”
มันเป็นคำถามที่อยู่ในหัวผมรอบที่ล้าน เหมือนคนโง่ที่ถามอะไรซ้ำไปซ้ำมาคนนู้นที คนนี้ทีว่าผมต้องทำยังไงต่อ ตอนนี้ผมต้องการคำตอบจากคนตรงหน้า ผมคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่เหนือขอบเขตที่ผมจะทำอะไรได้ด้วยตัวคนเดียว
“นายทำพวกเราผิดแผนไปซะหมด ตอนนี้ทุกอย่างยากมากขึ้น จากที่ฉันกลับแมทจะย้ายหนีไปอยู่กับกลุ่มแม่มดขาวกลุ่มอื่นที่ต่างประเทศ กลับกลายเป็นว่าเราต้องอยู่ที่ไทยต่อเพราะสิ่งที่นายปล่อยออกมา”
“หมายความว่าเราต้องหาทางให้มันกลับไปถูกขังเหมือนเดิมเหรอครับ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันอยู่ที่ไหน” ผมพูดออกไปหลังจากฟังเสร็จ นี่คงเป็นทางออกที่ตรงประเด็นที่สุดซะมั้ง ในเมื่อมันถูกปล่อยออกมาจากที่ขังไว้ เราก็ต้องเอามันกลับมาขังเหมือนเดิม
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีสิ่งนั้นมันอาจจะกลับไปหากลุ่มแม่มดดำ หรืออาจจะไม่ก็ได้ ตามที่เล่าต่อ ๆ กันมา จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของซาตานคือพลังงานความชั่วร้ายที่ถูกขังไว้ในหนังสือ หลายร้อยปีก่อน กลุ่มแม่มดดำได้ปลุกมันขึ้นมาเพื่อให้ไปอยู่ในร่างของแม่มดดำคนหนึ่ง แต่บรรพบุรุษของฉันได้ขัดขวางไว้ได้ ส่งผลให้พิธีกรรมนั้นไม่สำเร็จ”
“แล้วถ้าพิธีกรรมนั้นสำเร็จมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องแย่งชิงหนังสือเล่มนั้นกันมากขนาดนี้
“ถ้าร่างนั้นกับจิตวิญญาณของซาตานรวมตัวกันเสถียรเมื่อไร แม่มดคนนั้นจะกลายเป็นแม่มดที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และกลายเป็นปีศาจที่อยู่บนโลก พวกนั้นมีแพลนว่าจะทำให้โลกกลายเป็นนรก และให้ปีศาจที่ถูกขังอยู่ที่นรกได้ออกมา คราวนี้พวกยมทูตที่มีกฎว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของคนเป็นได้ออกมาเดือดร้อนดิ้นกันพล่านแน่”
เมื่อซิลเวียพูดถึงปีศาจผมก็นึกภาพไม่ค่อยออก เพราะตอนนี้ในหัวนึกถึงแต่พวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในเกม
“ปีศาจ มันมีตนจริง ๆ เหรอครับ” ผมถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
“นายคิดว่าไงล่ะ จริง ๆ มันก็คือพวกวิญญาณมนุษย์ที่ถูกขังอยู่ในนรกรูปแบบหนึ่งนั่นแหละ แต่ละประเทศ แต่ละวัฒนธรรม ทำให้นรกของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงรูปแบบของการลงโทษด้วย”
อ่อแบบนี้นี่เอง ปีศาจในความหมายของซิลเวียคงจะคล้าย ๆ พวกเปรตอะไรทำนองนั้นในความเชื่อของไทยล่ะมั้ง แต่ผมเคยคุยกับไอ้คีย์แล้วว่าปัจจุบันพวกนี้ไปกองรวมกันอยู่ที่นรกชั้นแรกที่เครื่องปั่นหรือไม่ก็ไมโครเวฟสำหรับประเทศไทย
“ครับ ผมพอจะเข้าใจ แล้วทีนี้ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง จะนำสิ่งที่มันถูกปลดปล่อยกลับมาขังได้ยังไง”
ร่างตรงหน้าผมทำหน้าคิดสักพักก่อนพูดออกมา
“นายต้องมาเรียนเวทมนตร์กับแมททุกเย็นเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ สมมติฐานของฉันตอนนี้ก็คือจิตวิญญาณของซาตานมันกลับไปอยู่กับกลุ่มแม่มดดำในร่างของใครคนหนึ่งแต่ยังไม่เสถียร การที่พวกมันจะทำพิธีกรรมให้ร่างกายและสิ่งนั้นเสถียรได้ ต้องทำในวันที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราต้องขัดขวางพวกมันให้ได้”
ทันทีที่ซิลเวียพูดจบเสียงของแมทที่ยืนอยู่ด้านหลังผมก็โวยวายออกมา หลังจากยืนฟังเงียบ ๆ อยู่นาน
“เฮ้ย ! ได้ไงน้า ทำไมผมต้องสอนมันด้วยอะ ผมนึกว่าน้าจะเรียกมันมาด่า แล้วให้ผมทรมานมันให้คุ้มกับการที่มันเอาหนังสือที่ครอบครัวเราหลายชั่วคนดูแลไปเผาซะอีก ผมเตรียมตุ๊กตาวูดูไว้แล้วนะเนี่ย”
พูดจบเจ้าตัวก็หยิบตุ๊กตาไหมพรมออกมาโชว์ให้ผมดูพร้อมกับเข็มหมุดแหลม ๆ ที่อยู่ในมือเสียบลงไปสามสี่ที โอ้โฮ ไอ้นี่มันซาดิสม์ตัวพ่อ ที่อารมณ์ดีตอนผมเข้าห้องมาคงเพราะเหตุนี้เองซินะ
“แมท ชากลายเป็นพวกของเราแล้ว ทำตัวดี ๆ หน่อย น้าก็เห็นนิสัยคล้ายกันหนิ เป็นเพื่อนกันไว้ก็ไม่เสียหาย ถ้าน้ามีพลังเหมือนเราน้าก็สอนชาเองไปแล้ว” ซิลเวียพูด
“แล้วผมต้องเริ่มเมื่อไรครับ” ผมพูดโดยไม่สนใจแมทที่ทำท่าฮึดฮัดอยู่ทางด้านหลัง
“วันนี้เลย ดูแลชาด้วยนะแมท น้ามีเรื่องต้องไปจัดการต่อ ต้องไปติดต่อกับแม่มดขาวที่อยู่ต่างประเทศด้วย” ซิลเวียพูดจบก็ลุกขึ้นจากโซฟาบอกลาแมทกับผมแล้วออกจากห้องไป
“เหอะ ที่เห็นอารมณ์ดีตอนเข้ามานี่คือกะจะมาทรมานฉันด้วยตุ๊กตาวูดูอะไรนั่นหรือไง” ผมถามออกไปหลังจากตอนนี้เหลือผมกับมันเพียงสองคน ไอ้นี่มันโกรธฝังหุ่นเลยแฮะ
“ก็มันน่าไหมล่ะ ตระกูลฉันดูแลหนังสือนั่นมาหลายร้อยปี ถูกตามฆ่าจนเกือบยกครัว แต่นายกลับเอามันไปเผา”
“มันเป็นอุบัติเหตุเว้ย ก็บอกแล้วไงไม่ได้ตั้งใจ หนังสือนั่นมันพาหลอนเองนี่หว่า” ผมพูดออกไป ผมก็ไม่ได้อยากต้องการให้เรื่องมันแย่ขนาดนี้ซะหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันมีตัวอะไรหรือพลังมืดบ้าบอของซาตานอยู่ในนั้นด้วย หนังสือนั่นมันทำให้ผมหลอนจนต้องอยากทำลายเองนี่หว่าช่วยไม่ได้
“ว่าแต่ ไม่ยักรู้ว่าพวกแม่มดขาวใช้พวกมนต์ดำ ตุ๊กตาวูดูอะไรแบบนี้ด้วย” ผมถามมันออกไปเพราะนึกสงสัย เจ้าตัวบอกว่าตัวเองเป็นพวกแม่มดขาว แต่ทำไมกลับใช้มนต์ดำอะไรแบบนี้
“หึ โลกมันไปไกลแล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง เผื่อแก้คำสาปหรืออันตรายที่มันจะเกิดขึ้น ก็ยอมรับนะว่ามนต์ดำมันมีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือเลือดหรือสิ่งมีชีวิต แต่นายก็เห็นจากประวัติศาสตร์แล้วหนิ ว่าแม่มดขาวที่ใช้แต่พลังรักษาอาการป่วยคนอื่น ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่แตะมนต์ดำหรือเรียนรู้วิธีแก้เลย จุดจบจะเป็นยังไง บนกองไฟไง โดนพวกนั้นเล่นงานซะอ่วม” แมทพูด
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่นายกับน้ามาอยู่เมืองไทยนานแล้วเหรอ ทำไมพูดไทยกันคล่องขนาดนี้” ผมถามต่อ เท่าที่ฟังสองคนนี้พูดภาษาไทย พูดได้ชัดเจนและคล่องมาก
“สิบกว่าปีแล้ว หนีมาหลังจากพ่อฉันถูกฆ่าตายที่อเมริกา และฉันคาดว่าพวกนั้นมันก็มาอยู่ไทยสืบหาเรื่องฉันกับแม่อยู่หลายปีแล้วเหมือนกันกว่าจะเจอพวกเรา มันคงจะปักหลักอยู่ที่ไหนสักแห่งในไทย นายเตรียมตัวถูกฆ่าไว้ให้ดี ๆ เถอะ”
ประโยคแรกเมื่อเจ้าตัวพูดถึงพ่อดูเศร้า ๆ ยังไงไม่รู้ แต่ประโยคหลังสุดนี่มันอารมณ์ไหนของมันวะ ชอบทำให้หงุดหงิดอยู่เรื่อยเลย
“ไอ้นี่ก็ขยี้จังวะ กลัวจนฉี่จะราดแล้ว ไหน จะสอนอะไรว่ามา หิวข้าวเย็นแล้ว จะได้รีบกลับ มีนัดกับใยไหมด้วย” ผมพูดเร่งมันเพราะช่วงเย็นมีนัดกินข้าวกับไหมด้วย
“นายกับไหมเป็นแฟนกันเหรอ” แมทมันถามขึ้นมาด้วยท่าทีสนใจเป็นพิเศษ ทำไมมีปัญหาอะไรวะ ?
“ก็ยังอะ แต่ไม่ใช่ก็เหมือนใช่นั่นแหละ” ผมตอบมันกลับไป
“งั้นหมายความว่าฉันก็ยังจีบไหมได้ด้วยดิ”
อื้มหืม ฟังแล้วขึ้นเลย … มันน่านัก
“อ้าวเฮ้ย มึงนี่เอาใหญ่แล้วนะ ไหมไม่ชอบมึงหรอก” ผมพูด สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปทันที รู้สึกว่าใช้คำว่าเรา ๆ นาย ๆ กับมันคงจะไม่โอเคเท่าไรแล้วล่ะ
“ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับไหมนี่หว่า มึงก็เห็นวันที่เขาเจอกู กูยังแอบได้ยินเลย ว่าเขาบอกว่ากูงานดี” ไอ้แมทพูดออกมาพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“มึงจงใจกวนตีนกูใช่ปะไอ้แมท”
“เฮ้ย เปล่าน๊า มา ๆ น้ากูบอกให้เราเป็นเพื่อนกันไง มาเริ่มเรียนกันดีกว่า” ไอ้แมทพูด ไอ้นี่มันขยันกวนประสาทผมจัง พูดจบมันก็เดินนำไปที่ห้องของตัวเอง ภายในมีชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางอยู่หลายเล่ม แล้วมันก็หยิบหนังสือเก่า ๆ เล่มหนึ่งโยนให้ผม ผมรับมันมาเปิดอ่าน มันเป็นเหมือนบันทึกแล้วก็มีรูปภาพประกอบพร้อมกับภาษาอะไรไม่รู้เขียนไว้ด้วยลายมือหวัด ๆ
“มึงเอาภาษาอะไรมาให้กูอ่านเนี่ย กูอ่านไม่ออก” ผมพูดไป
“มึงลองอ่านอีกที มึงได้พลังจากบรรพบุรุษกูไปแล้ว มึงต้องอ่านออก”
ผมถอนหายใจออกมา ก่อนก้มลงไปเพ่งดูตัวอักษรพวกนั้นอีกครั้ง เฮ้ย ! ผมอ่านออกจริงด้วย
“ตุ๊กตาวูดู ?” ผมพูดออกมาด้วยความสงสัยหลังจากเปิดตามหน้าที่มันบอก
“ใช่ ของที่กูเตรียมไว้กะจะทรมานมึงพอดี แต่ไม่ได้ใช้แล้ว มันมีต้นกำเนิดมาจากไสยศาสตร์ของแม่มดดำแอฟริกา สมัยพวกนั้นมาเป็นทาสในอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 21 หลังจากนั้น ...”
“พอเลยกูไม่อยากฟังประวัติศาสตร์ยาว ๆ จะสอนอะไรก็สอน” ผมรีบพูดออกมาทันที เพราะดูเหมือนว่าไอ้แมทมันจะร่ายยาวออกมา ผมเกลียดวิชาประวัติศาสตร์ด้วยซิ
“มึงนี่เป็นนักเรียนที่แย่จริง ๆ เอาเป็นว่าอย่าให้ใครเอาผมหรือเล็บมึงไปได้แล้วกัน” ไอ้แมทพูด หลังจากนั้นมันก็เงียบผมเลยรอให้มันพูดต่อแต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“อะไร แค่เนี้ยเหรอ ไม่สอนทำเหรอ” ผมถามมันไปหลังจากมันหยุดเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ไม่อะ กูแค่กวนตีนมึง จริง ๆ กูจะสอนมึงควบคุมพลังจากสิ่งที่มึงมีอยู่แล้วต่างหาก”
มันพูดจบผมก็รู้สึกถึงคิ้วตัวเองกระตุกยังไงไม่รู้ ตอนแรกคิดว่าคนที่กวนที่สุดบนโลกนี้คือไอ้อิฐแล้วนะเนี่ย กลับกลายเป็นว่าไอ้ลูกครึ่งนี่มันกวนกว่าอีก
“สิ่งที่มึงมีสามารถใช้รักษาอาการเจ็บปวด หรือบาดแผลของคนอื่นได้ เป็นการถ่ายโอนความเจ็บปวดจากร่างหนึ่งไปยังสิ่งไม่มีชีวิต อย่างเช่น ..” ไอ้แมทหยุดพูดก่อนเดินไปหยิบคัตเตอร์อันหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือมันขึ้นมาแล้วเดินเข้ามาใกล้ผม เฮ้ย มันจะเล่นอะไรอีกเนี่ย
“มึงเอาคัตเตอร์มาทำไมอะ”
“ยื่นมือมานี่” แมทพูดพร้อมดึงมือผมออกไป
“นิดเดียว กูจะทำให้ดู”
“มึงก็ทำกับมือมึงดิ” ผมพูดออกไปพลางชักมือกลับ ใครจะไปบ้าเล่นกับมันวะเนี่ย เล่นอะไรก็ไม่รู้ของมีคม
“ไม่เอา กูอยากให้มึงเห็นภาพชัด ๆ”
ในที่สุดมันก็ดึงมือผมออกไปสำเร็จก่อนคมมีดคัตเตอร์จะกรีดลงมายังฝ่ามือผมอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย !” ผมร้องออกมาพร้อมกับเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากฝ่ามือ มือขวาของไอ้แมทคว้ามือผมออกไปกำแน่นก่อนมันจะพึมพำคาถาอะไรบางอย่าง แล้วเอามือซ้ายของมันไปวางไว้ที่โต๊ะ
“โวยวายเป็นเด็ก ๆ ดูมือมึงอีกที” มันพูดพร้อมกับเอาทิชชูแถวนั้นมาเช็ดเลือดผมออก
“แผลหายไปแล้ว” ผมพูดออกมาเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองมัน ไอ้แมทชี้ไปที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองที่มีรอยกรีดขึ้นมาเหมือนแผลที่ผมโดนกรีด
“อื้ม ตามนั้น” ไอ้แมทพูดพร้อมยักไหล่
“ส่วนคาถาก็ตามในหนังสือ อันนี้เป็นคาถาง่าย ๆ แต่มันก็มีขอบเขตอยู่ว่าสามารถใช้ได้กับบาดแผลหรืออาการที่ไม่มีอันตรายมากถึงชีวิต สมมุติถ้ามึงถูกฟันคอจนเลือดทะลักออกมาอย่างแรงแล้วกูใช้คาถานี้ถ่ายโอนความเจ็บปวดมึงไปไว้ที่โต๊ะ มันจะไม่ได้ผล นอกจากมันจะส่งไปไม่ถึงโต๊ะแล้ว ตัวกูเองนี่แหละจะมีเลือดทะลักออกมาที่คอด้วย” ไอ้แมทพูด
อ้าวแบบนี้มันก็ดูไม่ค่อยเจ๋งเท่าไรเลยนี่หว่า ...
“กูขออะไรที่มันเจ๋งกว่านี้หน่อยได้ปะ” ผมถามมันไป
“ถ้าจะเจ๋งกว่านี้มึงต้องใช้เครื่องสังเวยหรือมนต์ดำแล้วแหละ เวทมนตร์ของแม่มดขาวส่วนใหญ่จะเน้นสื่อสารกับธรรมชาติ การถ่ายโอนพลังงานที่มีอยู่ในตัวเป็นหลัก” ไอ้แมทพูด
เมี้ยว ...
เสียงร้องของแมวดังขึ้นมา ทำให้ผมหันไปมองหาเจ้าตัวต้นเสียง แมวสีดำตัวหนึ่งกำลังเดินเยื้องย่างเข้ามาภายในห้อง ดวงตาของมันลึกกลวงโบ๋ไปข้างหนึ่งเลยทำให้ดูน่ากลัว แต่ผมก็เห็นมันน่ารัก น่าเอ็นดูอยู่ดี
“นั่นแมวมึงเหรอ” ผมถามออกไป เจ้าตัวพยักหน้าตอบ
ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ เดินเข้าไปใกล้แมวตัวนั้น ก่อนนั่งยอง ๆ เกาคางมันเล่น ซึ่งมันก็ดูเชื่องดี นอนแผ่หลาให้ผมเกาไม่ข่วนเลยสักนิด ขณะผมกำลังเล่นกับแมวตัวนั้นอยู่เพลิน ๆ เจ้าของแมวก็เดินเข้ามาใกล้ผม ก่อนพูดอะไรออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงหดหู่
“นี่ไง ราคาของมนต์ดำ ของเจ๋ง ๆ ที่มึงอยากเรียน ยังจะอยากเรียนอยู่ไหม ?”