เล่มที่ 1 บทที่ 2 ชายชราหนึ่งคนและชายหนุ่มอีกหนึ่งคนภายใต้ฝนฤดูใบไม้ผลิ
ฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมาปรอยๆ รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างยากลำบากผ่านถนนที่เต็มไปด้วยโคลน
“ลุงหลิวครับ, อาณาจักรหยุนฉินของเรามีดาบบินรึเปล่าครับ? พวกเราเป็นอมตะได้รึเปล่า?”
ตอนนี้หลิน ฉีนั่งอยู่ข้างในรถม้า, และใช้แขนข้างนึงค้ำศรีษะของตัวเองเอาไว้ เขามองชายชราผมหงอกที่พักจากการขับรถม้าเข้ามาอยู่ที่มุมนึงข้างในรถ, และถามคำถามนี้อย่างจริงจัง
ด้วยความที่เหตุการณ์ลอบสังหารไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ, ลักษณะการแสดงออกของหลิน ฉีจึงทำให้เขาดูเหมือนกับชายหนุ่มเรียบร้อยและอัธยาศัยดีคนนึง, ทัศนคติของคนขับรถเฒ่าคนนี้เองก็อ่อนโยนกว่ามากเมื่อเทียบกันดูแล้ว, เขาไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายที่เหมือนกับภูเขาศพผสมกับทะเลเลือดออกมา อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่ได้ยินคำพูดของหลิน ฉี, ชายชรา, ที่ยังคงอ่อนโยนและใจดี, ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน “หลิน ฉี, ลืมที่พ่อของเจ้าบอกไปแล้วรึไง! หลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้านป่ากวางแล้ว, เจ้าควรจะพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ให้น้อยลงนะ ในช่วงสิบวันมานี้, เจ้าถามเรื่องนี้กับข้ามาไม่ต่ำกว่าสามสิบรอบแล้ว! ถ้าเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงของทวีปกลาง, เจ้าอาจจะถูกโยนเข้าคุกไปแล้วด้วยซ้ำ
“ทำไมข้าต้องถูกจับส่งเข้าคุกเพราะแค่พูดเรื่องพวกนี้ด้วย?” หลิน ฉีดูมีท่าทีตกใจที่ภายนอก, แต่อันที่จริงนั้นเขากำลังหัวเราะคิกคักอยู่ในใจ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์แล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์พยายามลอบสังหารมา, เขาก็มองว่าชายชราที่มีนามสกุลหลิวคนนี้เป็นคนประเภทเดียวกับแม่ของเขาในโลกนี้, ภายนอกอาจดูเข้มงวด, แต่จริงๆแล้วมีจิตใจที่อ่อนโยนแฝงอยู่ข้างใน ตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรล่วงเกินชายชราคนนี้, อีกฝ่ายก็จะไม่แสดงด้านที่อันตรายออกมาเลย
“ข้าเหนื่อยแล้ว...” ใบหน้าของชายชราจริงจัง, เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา, และจากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะหลับตาลง ทัศนคติของหลิน ฉีทำให้เขาไม่มีทางเลือก ในการเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนเช่นนี้, มันไม่มีทางที่เขาจะทำเหมือนกับตอนที่อยู่ในกองทัพชายแดน, อย่างการพูดใส่ทหารใหม่อย่างโหดร้ายเพียงเพราะตัวเองหมดความอดทนได้เลย
“ลุงหลิว, ในเมื่อท่านสัญญากับท่านพ่อว่าจะดูแลข้าเป็นอย่างดี, ท่านก็คงไม่อยากให้ข้าต้องเจอกับปัญหาใหญ่เพียงเพราะข้าพูดเรื่องไม่ดีหรอก ใช่ไหมครับ? ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเราก็เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว! แม้ว่าข้าจะได้เห็นทิวทัศน์ต่างๆมาค่อนข้างเยอะ, แต่ข้าก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักหลวนขจีที่เป็นจุดหมายปลายทางของข้าเลย อย่างน้อยท่านก็น่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับสำนักหลวนขจีให้ข้าฟังบ้างสิ...”
อย่างไรก็ตาม, คำพูดที่อ่อนโยนของหลิน ฉีก็ยังคงเข้าไปถึงหูของเขาอยู่ดี
“แล้วก็, นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วนะ, ถ้าท่านไม่คุยกับข้า, ข้าได้เบื่อตายจริงๆแน่! ขืนยังอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไป, ถึงจะไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับข้า, ข้าก็คงจะล้มป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี!”
ในตอนที่เขาได้ฟังประโยคครึ่งแรกของหลิน ฉี, ชายชรายังคงไม่สนใจ, แต่ในตอนที่ได้ฟังประโยคครึ่งหลัง, ความเย็นชาของเขาก็หายไป, แล้วคิ้วของเขาก็เลิกขมวดด้วย
ใช่แล้ว, หลิน ฉีก็ไม่ต่างอะไรไปจากชายหนุ่มธรรมดาคนนึงที่ไม่เคยออกจากหมู่บ้านป่ากวางเลย แม้จะรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ชอบทำตัวแปลกๆ, แต่เขาก็ไม่ใช่พวกทหารในกองทัพชายแดนที่ชายชราคนนี้คุ้นเคยด้วย, และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมตรงเข้าไปหาอันตรายโดยไม่ปริปากอะไรเลย
อันที่จริง, แม้กระทั่งในกองทัพชายแดน, การลงโทษที่หนักที่สุดสำหรับพวกทหารที่ทำผิดวินัยจะได้รับนั้นก็ไม่ใช่การลงแซ่, แต่มันคือการปล่อยให้อยู่ในห้องมืดๆที่มีความกว้างพอๆกับรถม้าคันนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนต่างหากหล่ะ
พอคิดถึงจุดนี้, หัวใจของชายชราที่แข็งดุดเหล็กกล้าจากการใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นความตายมาโดยตลอดก็เริ่มละลายในทันที
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกย้อนถึงช่วงเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้, นิสัยของชายหนุ่มจากตระกูลที่มั่งคั่งในหมู่บ้านป่ากวางคนนี้, นอกจากการที่ชอบพูดแปลกๆนั้น, จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่เหนือความคาดหมายมากเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีที่พักที่ถูกสุขลักษณะ, ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่เสื่อที่คลุมพื้นหญ้าเอาไว้เฉยๆ, แต่ชายหนุ่มที่เคยใช้ชีวิตเหมือนกับเจ้าชายก็ไม่เคยปริปากบ่นเลย ในตอนที่มีแค่น้ำเย็นๆไร้รสชาติและขนมปังแข็งๆที่แทบจะเคี้ยวไม่ได้ให้กิน, ชายหนุ่มคนนี้ก็ยังยอมกินเข้าไปด้วยจิตวิญญาณที่แกร่งกล้า
“หรือว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนั้น, จะเล็งเห็นถึงศักยภาพของเจ้าหนูนี่ได้ในช่วงสั้นๆ, ก็เลยเป็นคนส่งให้เขาไปเข้าร่วมการสอบเข้าของสำนักหลวนขจีกันนะ?” ราวกับเข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน, ร่างของชายชราก็สั่นเหล็กน้อย หลังจากนั้นด้วยเสียงซู่ว, เขาก็เอนตัวพิงผนักรถม้า, ทำให้น้ำฝนที่มารวมกันอยู่ที่มุมนี้กระจายไปทั่วทุกที่
รถม้ากลับสู่ความเงียบในทันที
ชายชราผมหงอก, ที่มีตีนกาเหมือนกับถูกแกะสลักด้วยมีดและเคยผ่านความยากลำบากมาอย่างไม่รู้จบผู้นี้, มองไปที่เด็กหนุ่ม
สายตาที่สดใสและบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มนั้น, เต็มไปด้วยความอยากรู้และความคาดหวัง
ม้าแก่ขนสีเทาทั้งสองตัวเดินไปตามพื้นโคลนอย่างช้าๆ ไม่นานนักทั้งสองฝั่งของถนนก็เต็มไปด้วยป่าสน ฝนใบไม้ผลิยังคงตกลงมาปรอยๆ, ทำให้เกิดเสียงดังเปาะแปะไปตามทาง มียอดไผ่มากมายที่พึ่งจะโผล่พ้นดิน, และมันก็เป็นสีเขียวชะอุ่มเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเหมือนกับหลิน ฉี
“ทำไมเจ้าถึงชอบพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้จังเลยนะ?” อารมณ์ของชายชราผ่อนคลาย, เขาเหยียดขาจนสุด, และจัดท่านั่งของตัวเองให้สบายขึ้น
หลิน ฉี มองชายชราที่เห็นได้ชัดว่ายอมใจอ่อนแล้ว, ด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างใน สำหรับเขา, โลกนี้ยังถือเป็นสิ่งแปลกใหม่อย่างสมบูรณ์ เขาเหมือนกับนักท่องเที่ยว, ที่อยากรู้ไปหมดทุกอย่าง
“จริงๆแล้วมันไม่ได้ไร้สาระซักหน่อย ท่านก็น่าจะรู้อยู่แกใจนี่?” เขามองชายชราที่เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องจะเล่ามากมาย, แล้วพูดพลางหัวเราะออกมา “ข้าเคยอ่านหนังสือที่ค่อนข้างน่าสนใจมาบ้างหน่ะ และเรื่องราวในหนังสือเหล่านั้น, ก็มีการพูดถึงผู้แข็งแกร่งที่สามารถปล่อยดาบบินออกมาตัดหัวคนที่อยู่ห่างออกไปเป็นไมล์ได้, แถมมันยังสามารถแหวกฟ้า, มุดดิน, เคลื่อนภูเขาและแยกทะเลได้ด้วย! แล้วก็นะ, ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยออกจากหมู่บ้านป่ากวาง, และที่หมู่บ้านก็ไม่ค่อยมีคนมีประสบการณ์ซักเท่าไหร่, แต่สำหรับพวกเราสองคนที่เป็นชายชราคนนึงกับเด็กอีกคนนั้น, การเดินทางตัดผ่านอาณาจักรหยุนฉิน, จะต้องมีอันตรายมากมายรออยู่อย่างแน่นอน เมื่อไม่นานมานี้, ท่านพ่อเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเมืองป่าตะวันออกมีขบวนพ่อค้าถูกโจมตีและถูกปล้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นท่านกลับมั่นใจว่าจะพาข้าเดินทางได้ด้วยตัวคนเดียว, แถมลุงหลิวก็ดูไม่มีทีท่าจะกังวลหรือไม่สบายใจด้วย ยิ่งไปกว่านั้น, ข้ารู้สึกว่าท่านดูคุ้นเคยกับเส้นทางนี้มากเลย, ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าท่านจะต้องเป็นหนึ่งในจอมยุทธเหมือนเรื่องเล่าพวกนั้นอย่างแน่นอน และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำไมข้าถึงถามเรื่องพวกนี้กับท่าน”
ชายชราตกตะลึง
คำพูดไร้สาระต่างๆที่หลิน ฉีพูดมานั้น, พอเอาจริงๆแล้วมันก็มีเหตุผลในตัวมันเองอยู่, ทุกสิ่งที่ว่ามานี้เชื่อมโยงกันได้อย่างเหลือเชื่อ
“เจ้านี่หัวดีใช้ได้เลยนะ” ชายชรามองหลิน ฉี, และจากนั้นก็ส่ายหัว “แล้วก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะอ่านพวกหนังสือเพ้อฝันที่มีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับความอมตะมากเกินไปด้วย”
“นี่ลุงหลิวกำลังจะบอกว่าโลกนี้ไม่มีคนที่สามารถปล่อยดาบบินออกมา, และใช้เวทมนตร์ที่น่าตกตะลึงอย่างการเคลื่อนภูเขาแยกทะเลหรอครับ?”
“ดาบบินหน่ะอาจจะมีคนไปถึงขั้นนั้นอยู่, แต่ไม่มีทางที่จะมีจอมยุทธคนไหนไปถึงระดับอมตะตามที่เขียนเอาไว้ในหนังสือพวกนั้นหรอกนะ ลองคิดดูดีๆสิ, ถ้ามีคนแข็งแกร่งระดับนั้นจริงๆ, คนพวกนั้นก็น่าจะฆ่าพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ง่ายๆเลยถูกไหม?”
“แสดงว่ามีสินะครับ?” หลิน ฉี อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว “พวกดาบบินนี่, มันบินไปได้ไกลแค่ไหนหรอครับ? แล้วในอาณาจักรหยุนฉินของเรา, มีคนที่ทำแบบนั้นได้กี่คน?”
“พวกที่อ่อนแอจะสามารถปล่อยไปได้แค่ประมาณหนึ่งร้อยก้าว, ส่วนพวกที่แข็งแกร่งจะสามารถฆ่าได้ในพันก้าว ในส่วนของจำนวนคนที่ทำได้ถึงระดับนั้น, ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน, สิ่งที่ข้ารู้มันมีขีดจำกัดมากๆ” ชายชราพึมพำกับตัวเอง “ในช่วงชีวิตของข้า, ข้าเคยเจอคนระดับนั้นแค่สามคนเท่านั้นเอง”
“พันก้าวหรอ...ขนาดนี้ก็ถือว่าไร้เทียมทานมากๆแล้วนะ” หลิน ฉีพึมพำกับตัวเอง ต่อให้มันทำได้แค่ร้อยก้าว, แต่การที่ตัวตนอย่างดาบบินมีอยู่จริงๆก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองความเข้าใจในโลกนี้ใหม่
“แล้วลุงหลิวหล่ะครับ? ลุงใช้ดาบบินได้ไหม?” หลังจากที่พึมพำกับตัวเอง, หลิน ฉีก็เงยหน้ามองชายชราตรงๆ, แล้วถามอย่างจริงจัง
“แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว, ไม่อย่างนั้นข้าจะมาเป็นคนขับรถม้ากระจอกๆแบบนี้ไปทำไม?” ชายชราเองก็ตอบอย่างจริงจัง หลังจากนั้นไม่นาน, ชายชรากับคนหนุ่ม, ก็รู้สึกว่าการสนทนานี้ค่อนข้างไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ, และพวกเขาทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาร่วมกัน
“แล้วสำนักหลวนขจีเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่ครับ?” ในตอนที่เสียงหัวเราะเบาบางลง, หลิน ฉี ก็มองชายชราคนนี้, และขอคำชี้แนะเพิ่มเติม
“ถ้าพูดง่ายๆ, มันก็คือสถานที่ที่เอาไว้ฝึกฝนพวกจอมยุทธประเภทที่สามารถปล่อยดาบบินอย่างที่เจ้าพูดถึงนั่นแหล่ะ, มันเป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนบุคคลชั้นยอด” ในตอนที่เขาได้ยินคำว่าสำนักหลวนขจี, ความจริงจังและความเคารพก็แสดงออกมาบนใบหน้าของชายชราอย่างชัดเจน “ในบรรดาเหล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลในอาณาจักรหยุนฉินของพวกเรานั้น, มีอยู่อย่างน้อยครึ่งนึงที่มาจากสำหนักหลวนขจี”
หลิน ฉี อ้าปากค้าง, เขาอึ้งจนพูดไม่ออก
แม้ว่าชายชราที่มากับรถม้าคันนี้จะบอกกับเขาไปแล้วว่าตราบใดที่เขาเข้าสำนักหลวนขจีได้, อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะได้รับตำแหน่งของทางการอย่างแน่นอน, และมันก็จะไม่ใช่ตำแหน่งต่ำๆด้วย, แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าสำนักหลวนขจีนั้นจริงๆแล้วจะเป็นสถานที่แบบนี้ นี่มันยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆแล้ว
หลิน ฉี เหม่อไปพักนึง จากนั้น, หลังจากที่ถอนหายใจออกมา, เขาก็มองชายชราแล้วถาม “ลุงหลิว, ท่านช่วยเล่าละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ?”
“นอกจากพวกที่ได้เข้าเรียนสำหนักหลวนขจี, ก็ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับสำนักแห่งนี้มากนักหรอก แต่ถ้าให้พูดตรงๆหล่ะก็, สำนักหลวนขจีไม่ใช่สถานที่ที่คนอย่างข้ากล้าพูดออกมาง่ายๆอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น, นอกจากพวกที่จบจากสำนักหลวนขจีจริงๆและพวกผู้ทรงอิทพลของเมืองหลวงทวีปกลาง, ความเข้าใจของคนอื่นๆเกี่ยวกับสำนักหลวนขจีนั้นมีจำกัดมาก และด้วยเหตุนี้เองข้าจึงอยากขอให้เจ้าห้ามไปบอกคนอื่นนะว่าวันนี้เขาได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสำนักหลวนขจีให้เจ้าฟัง, ไม่อย่างนั้นมันจะนำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นมาให้เจ้ากับข้า” ชายชรามองหลิน ฉี, ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจริงจัง
“เข้าใจแล้วครับ” หลิน ฉี พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“สำนักหลวนขจีนั้นเป็นหนึ่งในสามของสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักร, ในช่วงนี้มันไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นเด่นสะดุดตาหรอก, แต่มันก็เป็นสำนักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในอาณาจักรหยุนฉินของพวกเรา นอกจากนี้, ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักหลวนขจีได้สร้างคนที่ยอดเยี่ยมอย่างอาจารย์ใหญ่จางขึ้นมา, อาณาจักรหยุนฉินของพวกเราก็คงจะไม่ได้มีดินแดนที่กว้างขวางเฉกเช่นทุกวันนี้หรอก” ชายชราพึมพำกับตัวเอง, ดวงตาของเขาสั่นคลอน, ด้วยความที่รู้ดีว่าการพูดเรื่องนี้ออกมานั้นเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก อย่างไรก็ตาม, ศักยภาพของหลิน ฉีก็ยังทำให้เขายอมเล่าเรื่องพวกนี้ออกมาได้อยู่ดี
“สามสำนักที่ยิ่งใหญ่หรอครับ?” หลิน ฉี มองอย่างเหม่อลอย
“ใช่แล้วนอกจากสำนักหลวนขจีมันยังมีสำนักนิรันดร์และสำนักอัศนีอยู่ด้วย” ชายชราพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าไปแล้วสินะว่าบุคคลที่มีอิทธิพลของอาณาจักรครึ่งนึงมาจากสำนักหลวนขจี, ซึ่งอีกครึ่งที่ว่านั้น...ส่วนใหญ่ก็มาจากสองสำนักนี้แหล่ะ”
หลิน ฉีถามต่อ “แล้วทั้งสามสำนักนี้แตกต่างกันยังไงหรอครับ?”
ชายชรามองหลิน ฉี “นอกจากพวกที่ศึกษาในทั้งสามสำนักนี้, ก็ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับทั้งสามสำนักนี้นักหรอก, เพราะในตอนที่นักเรียนของทั้งสามสำนักนี้จบมา, พวกเขาก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเขาส่วนใหญ่ยังไต่อันดับขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วด้วย, แล้วแบบนี้คนธรรมดาอย่างพวกเราจะไปทำความเข้าใจได้ยังไงหล่ะ? แต่ว่านะ, นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวลหรอก ถ้าเจ้าเข้าสำนักหลวนขจีได้จริงๆ, เจ้าก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง”
“แค่เข้าไปเรียนแล้วจบออกมา, ก็จะมีตำแหน่งเทียบเท่ากับหัวหน้าหมู่บ้านสินะ?” รูปแบบความเข้าใจนี้ปรากฎขึ้นในหัวของหลิน ฉี
“ถ้าในเมื่อทั้งสามสำนักนี้มันฟังดูน่าเหลือเชื่อขนาดนี้, แล้วทำไมพวกเขาถึงให้ข้าเข้าไปหล่ะ, ท่านรู้ไหมครับว่าใครเป็นคนอยากให้ข้าไปเข้าสำนัก?” สายตาของหลิน ฉีเปล่งประกาย
“ข้ารู้ว่าถ้าข้าไม่ตอบคำถามนี้กับเจ้า, เจ้าก็คงจะกวนใจข้าไปตลอดการเดินทางนี้สินะ แต่ว่า, ข้าคงบอกได้แค่ว่าข้าเองก็ไม่รู้คำตอบของคำถามนี้หรอก เพราะคนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมสอบเข้าทั้งสามสำนักที่ยิ่งใหญ่นี้เลย! แม้แต่ข้าเองก็ค่อนข้างอยากรู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้เป็นใครกันถึงมีอำนาจในการฝากเจ้าให้เข้าร่วมการสอบสำนักหลวนขจีได้, แต่ว่าสถานะของคนๆนั้นสูงเกินไป, ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม...”
“เป็นเหตุผลที่ทำไมมันจะเป็นการดีที่สุดถ้าพวกเราไม่ไปเดามั่วๆ, และมันจะดีที่สุดกับตัวพวกเราเองสินะครับ เพราะถ้าขึนพวกเราเดาความคิดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้ผิดและมีคนไม่พอใจขึ้นมา, พวกเราก็อาจจะเจอกับปัญหาใหญ่ได้” ก่อนที่ชายชราจะพูดจบ, หลิน ฉี ก็หัวเราะในใจ, แล้วพูดแทรกขึ้นมา
ชายชรามองด้วยสายตาเหม่อลอยเป็นเวลาพักนึง, เขาไม่ได้ยิ้ม, แต่พยักหน้าแล้วพูดออกมาแทน “ถ้าเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว”
จากนั้นรถม้าก็กลับมาอยู่ในความเงียบ, มีแค่เสียงฝนฤดูใบไม้ผลิที่ตกลงมากระทบกับหลังคาของรถม้าเท่านั้น
“ลุงหลิวครับ” หลิน ฉี เรียกชายชราอย่างกระทันหัน
“มีอะไร?” ชายชรามองหลิน ฉีด้วยความรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ, แต่เขาก็เห็นแค่สีหน้าที่ค่อนข้างเหม่อลอยของหลิน ฉี “ลุงหลิว, ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกสนใจสำนักหลวนขจีนี้ขึ้นมาแล้วหล่ะ”