บทที่ 28: ปัญหาการก่อสร้างและการซื้อขายมิทริล
คนว่างงานเกือบครึ่งเมืองถูกระดมพลไปทำการขยายเมืองเป็นเวลาเจ็ดถึงแปดวันแล้ว เพราะตราบใดก็ตามที่ได้รับเงิน ไม่ว่าจะเป็นการตัดต้นไม้ในภูเขาหรือสร้างถนนไปยังเหมืองเหล็กและเหมืองมิทริลก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ
เหมืองมิทริลไม่ได้ถูกครอบครองโดยพวกออร์ค ดังนั้นวิลเลียมจึงต้องการที่จะขุดมัน ที่สุดแล้วมิทริลก็ไม่เคยมากพอสำหรับคนที่ต้องขยายถนนและซ่อมแซมบ้านเรือนอย่างเขา
การประสานงานการก่อสร้างทั้งหมดในเมือง เขาวางแผนพื้นที่หกพื้นที่สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย
มนุษย์, ครึ่งเอลฟ์, เอลฟ์, คนแคระ, ค่ายทหาร, โรงตีเหล็ก และพื้นที่สำหรับการผลิตอื่นๆ
แน่นอนว่าสถานที่สำหรับกิจกรรมนันทนาการและสำหรับวัฒนธรรมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
โรงอาบน้ำเองก็ต้องสร้าง พลเมืองหลายคนได้ออกความเห็นว่าในเมืองยังไม่มีโรงอาบน้ำสาธารณะ มีเพียงแค่แม่น้ำสายรุ้งเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าผู้ชายจะอาบน้ำกันที่ไหน พวกเขาอาจจะแค่หาที่ซักที่ที่ไม่มีคน, ถอดเสื้อผ้าออก, และก็เริ่มถูสบู่ได้…
มันเป็นปัญหามากสำหรับผู้หญิงที่จะต้องแบกน้ำกลับมาใช้ที่บ้าน
น้ำสำหรับการใช้ในแต่ละวันส่วนใหญ่นั้นมาจากแม่น้ำสายรุ้ง ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายราวกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในคอของพวกเขา!
สิ่งที่แย่กว่านั้นคือชายโสดมากมายรู้ว่าพวกเขาเคยทำเรื่องแย่ๆ อะไรเอาไว้บ้างที่แม่น้ำแห่งนั้น อย่างเช่น การใช้ปลา…
ในขณะเดียวกัน
วิลเลียมก็ต้องการที่จะสร้างน้ำพุกลางเมืองอันโอ่อ่าที่แม่น้ำสายรุ้ง ซึ่งการจะสร้างให้เสร็จนั้นต้องใช้ทั้งทักษะจากนักเวทย์และคนแคระร่วมกัน
เมืองชายแดนที่เจริญรุ่งเรืองยังทำให้พลเรือนในอาณาเขตรู้สึกโล่งใจอีกด้วย
มีเผ่าพันธุ์มากมายที่เข้ามาอยู่ร่วมกันในเมืองแห่งนี้และมันก็ไม่มีปัญหาอะไรในการสื่อสารกันของคนในเมือง ที่สุดแล้ว นี่ก็คือทวีปรีเจนดารี
แม้ว่าแต่ละเผ่าพันธุ์จะมีภาษาเป็นของตัวเอง แต่ก็เป็นภาษาที่ใช้สำหรับสื่อสารกันภายในเผ่าพันธุ์
ส่วนในการดำเนินชีวิตนั้นมีความไม่สะดวกใจบ้างไหมน่ะหรือ?
วิลเลียมได้พยายามอย่างสุดความสามารถของเขาในการแยกส่วนที่อยู่ของเผ่าพันธุ์ทั้งหลายแล้ว ถ้าหากมีความไม่สะดวกใจเกิดขึ้นจริงๆ พวกเขาก็สามารถพับแขนเสื้อและเริ่มสู้กันได้เลย ส่วนวิลเลียมก็จะเป็นกรรมการให้…
พรสวรรค์ในการสร้างของเหล่าคนแคระนั้นถือว่าดีเยี่ยม ถ้าไม่ทันได้สนใจเรื่องความสวยงาม อาคารทุกหลังที่พวกเขาสร้างขึ้นก็สร้างความรู้สึกปลอดภัยสู่ผู้คนอยู่แล้ว ความสามารถในการสร้างป้อมปราการของพวกเขานับได้ว่าเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้า
คนแคระนั้นเป็นที่สุดในการสร้างและมีความสามารถในการค้นคว้าวิจัยอุปกรณ์ใหม่ๆ แม้ว่าพวกเขาอาจจะเทียบกับก็อบลินไม่ได้ แต่พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นระดับต้นๆ ทางด้านนี้
…
ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างจ้า วันที่แสนสดใสถูกเติมเต็มด้วยเสียงของเหล่าแมลงและนกหลากสายพันธุ์
ไม่สำคัญว่าจะเป็นในตัวเมืองหรือในป่าที่หนาทึบ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสามารถนำความเย็นมาสู่ผู้คนได้
เพราะความชื้นในป่าก็ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกร้อนและอบอ้าว ต้นไม้ที่ถูกตัดเพื่อสร้างถนนไม่ได้ถูกทิ้งขว้าง แต่พวกเขาขนมันกลับมาที่เมืองและใช้เป็นวัสดุสำหรับสร้างบ้านเรือน
โอดอมขนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้วยตัวคนเดียวและโยนมันลงไปที่พื้นทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทุกที่
เขาปาดหยดเหงื่อบนหน้าผากออก แล้วหยิบเหยือกน้ำขึ้นก่อนจะเทมันลงบนผมสีบลอนด์ของเขาที่แปล่งประกายใต้แสงแดด
นี่เป็นต้นไม้ต้นที่ 32 ที่เขาขนกลับมาแล้ว เขาต้องพูดอะไรบ้างแล้วล่ะ
ในเรื่องของการทำงานหนัก มืออาชีพนั้นจะได้เงินเยอะกว่าและมีความได้เปรียบมากกว่า
เขาสวมใส่เพียงเสื้อเชิร์ตลินินสีขาว เผยให้เห็นแผ่นอกและแผลเป็นบนกล้ามเนื้อของเขาอย่างเลือนลาง
ในขณะนี้เขากำลังของไปที่วิลเลียมผู้ซึ่งกำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่ “การก่อสร้างของทั้งเมืองนี้มันกินเวลาเอามากๆ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเสร็จเมื่อไหร่”
วิลเลียมจับหมีสองที่กำลังกัดกางเกงของเขาออก “นานแค่ไหน?”
“เมืองนี้มีประชาชน 4,300 คนและกองทหาร 800 นาย ซึ่งกองทหาร 300 นายนี้ไปประจำการตรวจตราและคอยควบคุมเหมืองทั้งสองแห่ง ตอนนี้มีคนเหลือแค่ 2,700 คนที่สามารถช่วยในการขยายเมืองได้”
“จากจำนวนคนในตอนนี้ แม้ว่าพวกเราจะก่อสร้างบ้านเรือนกันทั้งวันทั้งคืน มันก็ต้องใช้ถึงหกเดือนโดยประมาณสำหรับการที่จะสร้างป้อมปราการให้เสร็จ”
“นี่เป็นเพราะมีบุคลากรที่เป็นมืออาชีพอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่อย่างนั้นเวลาการก่อสร้างก็จะถูกดึงออกไปมากกว่านี้อีก”
โอดอมจิบน้ำก่อนจะพูดต่อ “ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ สร้างน้ำพุที่สมบูรณ์แบบพอหรืออาจจะระบบใต้ดินสักแห่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขยายเมืองในอนาคต แต่ด้วยวิธีการสร้างแบบนี้ มันมีคนน้อยเกินไปและมันก็ใช้เวลานานมากจริงๆ”
วิลเลียมเตะหมีใหญ่ที่กำลังกัดรองเท้าของเขาออกเบาๆ แล้วพูด “ฉันจะหาวิธีซื้อทาสจากอาณาเขตปกครองหินดำเอง!”
“มีเหรียญทองเหลือเท่าไหร่ในเมืองนี้?” ปากของโอดอมกระตุกขึ้น การสร้างเมืองไม่ได้ถูกทำขึ้นฟรีๆ พวกเขาต้องจ่ายค่าแรงเช่นกัน
“มีแร่เหล็กอยู่ไม่ใช่หรอ? มีช่างเหล็กที่เชี่ยวชาญในการผลิตเหล็กอยู่ และมันก็มากพอที่จะขายได้มากกว่า 500 เหรียญทอง รวมกับมิทริล…” ตรงจุดนี้ วิลเลียมและโอดอมสลดใจลงไปเล็กน้อย
มิทริลที่ถูกขุดออกมาโดยเผ่าพันธุ์คนแคระเป็นเวลาหลายปีถูกเจียรเป็นปริมาณ 840 กิโลกรัม!
แนวคิดนี้คืออะไร?
นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาล!
มิทริลนั้นเบาราวกับขนนกและแข็งแรงราวกับเกล็ดมังกร มันอาจจะฟังดูเกินจริงเล็กน้อย แต่ในแง่ของความแข็งแล้ว มันแข็งกว่าเหล็กหลายเท่า แต่มีน้ำหนักที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเหล็ก
ด้วยมิทริล 840 กิโลกรัมนี้และช่างตีเหล็กที่เชี่ยวชาญงานฝีมืออย่างดี ก็อาจจะสามารถสร้างอุปกรณ์ระดับซิลเวอร์ได้เป็นจำนวนถึง 3,360 ชิ้น
หรือมันอาจจะกลายเป็นวัสดุเวทมนต์ของนักเวทย์และสามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลาย
พูดสั้นๆ ว่ามิทริล 500 กรัมสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองได้อย่างน้อย 100 เหรียญ
ในภูมิภาคที่มีมิทริลน้อย มูลค่าของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นตามนั้น สถานที่เล็กๆ อย่างเขตปกครองหินดำที่ไม่สามารถผลิตมิทริลได้เลยและต้องพึ่งการนำเข้าจากประเทศอื่นเท่านั้น ถ้ามีใครถามเรื่องราคาแล้วล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่มิทริล 500 กรัมจะมีราคาราวๆ 150 เหรียญทองและก็มีคนที่พร้อมจะซื้อมันอีกด้วย
และแร่เหล็กโดยธรรมดาแล้วก็ไม่ใช่ของในท้องตลาดทั่วไป ชื่อ ‘อาณาเขตปกครองเหล็ก’ ก็บอกอยู่แล้วว่ามีเหมืองเหล็กมากมายในดินแดนและเหล็กมากมายต้องถูกโยนทิ้ง นี่เป็นเรื่องเศร้า…
ดังนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลที่วิลเลียมเลือกที่จะค้าขายในเขตปกครองหินดำ
สถานการณ์ระหว่างสองอาณาเขตนี้ตึงเครียดเป็นอย่างมาก ราชาคนเก่าของเขตปกครองหินดำล้มป่วยจนต้องนอนติดเตียงและกำลังจะตายจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้า ดูเหมือนว่าเขากำลังจะลงนรกไปในเร็วๆ นี้
สถานการณ์แบบนี้ยังทำให้เขตปกครองเหล็กมีความคิดชั่วร้ายอย่างการเตรียมทำสงครามอีกด้วย
ดังนั้น กุญแจสำคัญของสงครามอย่างทรัพยากรในการทำสงครามจะไม่ถูกขายให้เขตปกครองหินดำ แม้ว่ามันจะมีการซื้อขายส่วนตัว ปริมาณการขายก็น้อยมาก ดังนั้นเหมืองแร่เหล็กของเขาก็จะสามารถขายได้ในราคาที่ไม่เลวแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าเจ้าชายจากอาณาเขตหินดำจะแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันอย่างไร หรือไม่ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องแร่มิทริลอันล้ำค่าจากเมืองแห่งรุ่งอรุณหรือไม่ มันก็จะต้องดึงดูดความสนใจและความโลภของคนมากมายเป็นแน่
“ทำไมท่านไม่แกะสลักเครื่องหมายสักหน่อยล่ะ?”
“ฮะ?” วิลเลียมไม่เข้าใจ แต่หลังจากคำอธิบายของโอดอมเขาก็ค่อยๆ เข้าใจ
โอดอมมีเทคนิคเฉพาะตัว เขาสามารถประทับสัญลักษณ์ประเทศอื่นบนมิทริลได้ สกิลสุดยอดของเขาคือสัญลักษณ์จักรวรรดิของหุบเขาแห่งความเดียวดาย…
วิธีนี้มันจะทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาได้รับแร่มิทริลมาจากที่อื่น ไม่ใช่จากการขุดเหมืองมิทริล
“แต่ถ้าพวกเราพิมพ์สัญลักษณ์ของประเทศอื่น ปริมาณของมิทริลที่จะนำไปขายก็มากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เกิดความสงสัย!” ในตอนนี้วิลเลียมไม่มีความคิดดีๆ เลย
มันเป็นไปได้ที่จะขายมิทริลที่อื่น อย่างเช่นข้ามไปยังภูมิภาคอื่น ๆ
แต่เขาไม่มีทั้งเวลาหรือม้าบิน และไม่มีวงแหวนเทเลพอร์ตหรือประตูการเวลาในสถานที่ซอมซ่ออย่างที่นี่และพวกเขาก็อาจถูกปล้นระหว่างทาง
สถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านสำหรับผู้เล่นเริ่มต้นและคนที่มีพลังมากที่สุดก็อยู่ที่ประมาณเลเวล 60 ถ้าเขาไปพบเจอคนๆนั้นเข้าจริงๆ เขาก็อาจจะสามารถต่อสู้และต้านทานได้สักระยะหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นวิลเลียมก็อาจจะทำการค้าขายอย่างลับๆ หรือไม่ก็ฆ่าคนๆนั้นไปซะ…
แต่ถ้าเขาออกจากหมู่บ้านสำหรับผู้เล่นเริ่มต้น แม้แต่ฝีมือและความพยายามอย่างหนักของลอทเนอร์ก็ไม่อาจปกป้องเขาได้
“ลอทเนอร์!”
“ลอทเนอร์!!!” การตะโกนอย่างกระทันหันและท่าทางอยู่ไม่สุขของวิลเลียมทำให้โอดอมถอยหลังออกไปหลายก้าว โอดอมคิดว่ามันมีความสัมพันธ์สกปรกระหว่างพวกเขาที่มากกว่าความสัมพันธ์อย่างมิตรภาพ
“ใครบอกว่าเราต้องทำธุรกิจกับมนุษย์? เราทำธุรกิจกับเอลฟ์ก็ได้นี่!” วิลเลียมเคาะหัวของเขา เขาเคยเป็นผู้เล่นมานานมากในชีวิตก่อน ซึ่งทำให้เขาติดการนิสัยการใช้ชีวิตแบบผู้เล่นคนหนึ่งมาตลอดและลืมความได้เปรียบจากตัวตนของเขาไป
แม้ว่าเมืองชายแดนจะห่างไกลจากเมืองแห่งรัตติกาล เขาก็รู้ว่ามันมีเมืองที่มั่งคั่งของเอลฟ์อยู่ไกลออกไปประมาณ 100 ไมล์ทางตะวันออกที่ซึ่งเอลฟ์แบล็คลีฟอาศัยอยู่
เขาสามารถขายมิทริลบางส่วนให้เหล่าเอลฟ์และใช้เหรียญทองสำหรับการซื้อวัสดุอื่นๆจากอาณาเขตของมนุษย์
มันอาจจะเรื่องมากไปสักหน่อย แต่ปัจจัยด้านความปลอดภัยก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก