คาถาที่ 8 : แม่มดขาว แม่มดดำ
ผมคิดว่าตัวผมเองคงกำลังฝันอยู่แน่ ๆ ...
มันเป็นฝันที่โคตรทะลึ่งเลยก็ว่าได้ ...
ผมกำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นตา บนเตียงขนาดคิงไซส์ บรรยากาศเมื่อมองไปรอบ ๆ ดูสลัว ๆ เนื่องจากไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงสว่างจากเทียนนับสิบแท่งที่วางไว้อยู่รอบ ๆ เตียง กลิ่นน้ำมันหอมระเหยเหมือนสมุนไพรอะไรบางอย่างโชยไปทั่วห้อง ทำให้ตัวผมเองรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่ในสปายังไงยังงั้น ความรู้สึกในตอนนี้มันดีมากจริง ๆ แต่ก็ยังไม่ดีเท่ากับภาพที่เห็นตรงหน้าในขณะนี้ มันเป็นอะไรที่เคลิ้มและฟินเอามาก ๆ เลย
ใยไหมกำลังเดินตรงเข้ามาหาผมในสภาพชุดนอนบาง ๆ สีขาวจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน เส้นผมของเจ้าตัวปลิวไสวตามแรงลม ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าในห้องนี้มันไม่มีลมเลยก็ตาม แต่ชั่งเถอะยังไงมันก็คือความฝันล่ะเนอะ ไหมโคตรเซ็กซี่ ผมได้แต่มองตามไหมที่เดินเข้ามาหาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่อยากจะคิดเลยว่าผมฝันอะไรทะลึ่งแบบนี้ได้ลง แต่ก็ไม่ได้อยากตื่นเลยแฮะ
ในที่สุดไหมก็เดินเข้ามาถึงเตียง ผู้ชายทั้งแท่งคนไหนจะอดใจไหวเมื่อเห็นภาพตรงหน้า มือเรียวของไหมผลักหน้าอกผมให้ล้มตัวนอนลงบนเตียง ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น
“ไหม เธอจะทำอะไรอะ” ผมพูดออกไป
มันเป็นคำถามโง่ ๆ ที่ไม่ควรจะถามออกไปเมื่อผู้ชายผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ แม้กระทั่งในฝัน
“ฉันมีคำถามจะถามนายหน่อย แล้วฉันจะบอกว่าฉันจะทำอะไร” ไหมพูดก่อนยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ดูยั่วยวนเหลือเกิน ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เคลิ้มไปกับภาพทุกอย่างที่เห็นตรงหน้า ทั้งท่าทาง คำพูด ที่ไหมแสดงออกมามันทำให้ผมยอมได้ทุกอย่าง อยากฝันแบบนี้ทุกคืนจัง แล้วผมจะตั้งใจเรียน
“ถามมาซิ ฉันตอบเธอทุกอย่างเลย” ผมพูดพลางเอื้อมมือไปจับมือของไหมที่กำลังวางอยู่บนแผงอกผม แต่เจ้าตัวก็เลื่อนมือออกไม่ยอมให้ผมจับ อ่อยให้อยากแล้วถอยหนีนี่หว่า
“จริงนะ” เจ้าตัวถามย้ำคำตอบจากผม อยากรู้อะไรล่ะผมยอมตอบทุกอย่างแหละ
“อื้ม”
“นายยังเก็บหนังสือไว้อยู่ไหม” ผมจ้องริมฝีปากนั้นเหมือนถูกมนต์สะกด น่าเอาปากลงไปประทับเหลือเกิน
“หนังสืออะไรเหรอ” ผมพูดทวนคำถามสายตายังคงจ้องไปที่ริมฝีปากของไหม
“หนังสือเก่า ๆ ที่มีคนทำตกแล้วนายเก็บได้” เจ้าตัวตอบผมกลับมา อ๋อ ไอ้หนังสือที่มันทำให้ผมเป็นบ้าน่ะเหรอ ผมว่าผมเพิ่งจะบอกไหมไปเมื่อตอนเย็นนี้เอง ทำไมต้องมาถามซ้ำด้วยเนี่ยไม่เข้าใจ
“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมพูดออกไป มือปลาไหลตอนนี้ไม่ได้หยุดอยู่กับที่แล้ว มันเลื้อยขึ้นไปจับไหล่ไหม แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามขัดขืนอยู่ดี
“จริงเหรอ ตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะ” ไหมถามผมต่อ มันใช่เวลาถามไหมเนี่ยไหม นี่มันในความฝันผมนะ ขอหน่อยเถอะ
“เผาไปแล้วไง” ผมตอบไปพยายามดึงตัวไหมให้นอนลงมาบนเตียง ทำไมแรงเยอะแบบนี้นะ
“นายว่าอะไรนะ พูดอีกทีซิ ฉันฟังไม่ถนัด” น้ำเสียงใส ๆ หวาน ๆ ของไหมเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเข้มขึ้นแต่ผมก็หาได้สนใจไม่ พยายามรั้งตัวไหมให้ลงมานอนด้วยกัน
“ฉันเผามันไปแล้ว”
“Damn it !”
ทันทีที่ผมพูดประโยคตอบว่าเผาไปแล้วออกไป ไหมก็ผลักตัวผมออกห่างอย่างแรงพร้อมสบถคำภาษาอังกฤษออกมาจนผมหน้าเหวอ ใบหน้าไหมเต็มไปด้วยความเหวี่ยงในเลเวลที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน อะไรวะ ผมทำอะไรผิดเนี่ย ไม่ชอบตรงไหนยังไง ยังไม่ทันจะได้เริ่มเลย
ก่อนที่ผมจะอ้าปากถามอะไรออกไป
ภาพบรรยากาศทุกอย่างที่โคตรโรมานซ์ พังทลาย หายวับไปกับตา ผมถึงกับได้สติ มันเหมือนโดนวางยาให้เคลิ้มแล้วเอาน้ำสาดใส่หน้า ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งบนโซฟา และคนที่อยู่ตรงหน้าผมไม่ใช่ใยไหม แต่กลับเป็นไอ้แมทธิวในสภาพโปร่งแสงที่ผมเพิ่งเจอเมื่อช่วงเย็นกำลังทำหน้าหงุดหงิดแบบสุดขีดพร้อมกับทึ้งผมตัวเองไปมาอย่างอารมณ์เสีย ราวกับคนละคนกับเด็กหนุ่มอัธยาศัยดีที่ผมเคยเจอ
ถึงจะยังจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้เท่าไร แต่ผมก็รู้ว่าคนที่ทำให้ผมฝันอะไรแบบนี้คือมัน ที่สำคัญมันถามถึงหนังสือที่ผมเผาไป มันไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มลูกครึ่งธรรมดาแล้ว
“นายมาอยู่ในความฝันฉันได้ยังไง” ผมเริ่มต้นพูดออกไปแบบงง ๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นประโยคแบบไหนให้มันดีกว่านี้อีกแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย มาทำให้ผมเกือบจะปล่อยอารมณ์ตามมันไปเต็มที่แล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าผมเผลอทำอะไรแปลก ๆ ออกไปมากกว่านี้มันจะเป็นยังไง
“เหอะ ฉันเป็นคนทำมันขึ้นมาเองแหละ แค่อยากจะรู้ว่าตอนนี้หนังสืออยู่ที่ไหน” คนถูกถามตอบกลับมาด้วยใบหน้าชวนคันเท้าตงิด ๆ
“นี่ถึงขนาดกลายเป็นใยไหมมาหลอกถามกันเลยเหรอ”
“จริงอยู่ที่ฉันกลายร่างเป็นใยไหม แต่สภาพใยไหมและบรรยากาศที่นายเห็นมันมาจากจิตใต้สำนึกของตัวนายเองล้วน ๆ ไอ้หื่นเอ๊ย” แมทธิวตอบผมกลับมา
โอ้โฮ ไอ้นี่มันด่ากันชัด ๆ หาว่าผมเป็นไอ้พวกโรคจิตนี่หว่า ชวนหาเรื่องชัด ๆ
“อ้าวเฮ้ย มาอยู่ในความฝันคนอื่นแล้วยังมากวนตีนอีก นายเป็นใครกันแน่” ผมพูดออกไป ตอนนี้ก็พอจะเดาได้ราง ๆ แล้วแหละว่าไอ้แมทธิวที่มันมาตีสนิทผมเพราะหนังสือเล่มนั้น แต่ที่อยากรู้ก็คือมันเกี่ยวอะไรกับหนังสือเล่มนั้นกันแน่ หรือว่ามันเป็นคนในกลุ่มพ่อมดแม่มดที่ไอ้คีย์เล่า
“ฉันเป็นคนดูแลหนังสือนั่นต่อจากแม่” แมทธิวตอบกลับมา เจ้าตัวเดินมานั่งลงบนโซฟาด้านตรงข้ามกับผม หลังจากเดินไปเดินมาจนสงบสติอารมณ์โมโหที่ผมเอาหนังสือนั่นไปเผาได้
“อย่าบอกนะว่าแม่นายคือผู้หญิงที่ตายในข่าว” ผมถามเจ้าตัว แววตาสีน้ำตาลของแมทธิวมีแววเศร้าแป๊บหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น ก่อนมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวพยักหน้าก่อนพูดขึ้นมา
“ใช่ นั่นแม่ฉันเองล่ะ”
“นายเป็นพวกพ่อมดแม่มด ?”
“รู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ รู้มากแค่ไหน” แมทธิวถามต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ คงไม่คิดว่าผมจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย
“ฉันก็เพิ่งจะรู้ไม่นาน ว่าหนังสือนั่นเป็นสิ่งที่พวกพ่อมดแม่มดแย่งชิงกัน ฉันไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งหรอก ฉันเอามันไปทิ้งหลายครั้งแล้วเพราะมันทำให้ฉันจะเป็นบ้า เห็นแต่ภาพหลอนแถมฝันประหลาดอีก แต่มันก็กลับมาหาฉันอยู่เรื่อย ฉันเลยตัดปัญหาด้วยการเผามันทิ้งซะ”
พอผมพูดจบแมทธิวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังคงหงุดหงิดอยู่ดี
“ไม่แปลกหรอก สิ่งที่นายเห็นมันคือภาพประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษฉัน นายคงเห็นภาพคนถูกทรมาน เผาทั้งเป็นจนหลอนน่ะซิ”
แหงล่ะ เป็นใครไม่หลอนบ้าง ภาพความฝันเหมือนกับเหตุการณ์ที่ตัวเองเข้าไปเป็นคนถูกทรมาน หรือถูกเผาทั้งเป็นขนาดนั้น จิตไม่แข็งจริงคงกลายเป็นบ้าไปแล้ว
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ฉันเห็นพวกกลุ่มคนประหลาดที่ใส่หัวของสัตว์แล้วทำพิธีสยอง ๆ อะไรกันด้วย” ผมพูดต่อ ส่วนนี้มันคงเป็นส่วนที่หลอนผมมากที่สุดแล้วมั้ง แถมไอ้พวกนั้นมันยังออกมาหลอนนอกความฝันผมอีกจนฟางเส้นสุดท้ายขาดแล้วเอาหนังสือเล่มนั้นไปเผา
“พวกนั้นเป็นกลุ่มของแม่มดดำ” แมทธิวตอบกลับมาเบา ๆ
“คืออะไร นายช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหม” ผมถามต่อเพราะอยากรู้เรื่องรายละเอียดอะไรให้มันมากกว่านี้ เนื่องจากตัวเองเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้จนไม่สามารถดึงตัวเองออกไปได้แล้ว
“เมื่อหลายร้อยปีก่อน แม่มดถูกแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ พวกแรกเป็นพวกแม่มดขาว พวกที่สองเป็นแม่มดดำ แม่มดขาวส่วนใหญ่จะมีพลังติดตัวมาตั้งแต่เกิด พวกเราจะใช้พวกสมุนไพร และสิ่งของตามธรรมชาติมาเพื่อประกอบพิธีกรรมรักษาผู้คนที่ป่วยไข้ อาจจะมีความสามารถในการทำนายเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราใช้มนต์ดำไม่ได้”
“ส่วนแม่มดดำ พวกนี้บางครั้งไม่ได้มีพลังมาตั้งแต่เกิด แต่ทำการแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับซาตานเพื่อแลกกับพลังที่ได้มา ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าทุกวันนี้ซาตานยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า แต่พวกนี้มีพลังแกร่งกล้ากว่าพวกเรามากและมีอายุขัยหลายร้อยปี ในทุก ๆ คืนวันพระจันทร์เต็มดวง พวกนี้จะมีการบูชายัญเลือดและเฉลิมฉลองกัน บรรยากาศก็เป็นเหมือนที่นายเห็นในความฝันนั่นแหละ ที่นายเห็นพวกนั้นก็เพราะหนังสือมันก็เชื่อมกับเรื่องราวของฝั่งแม่มดดำด้วย”
“แล้วตกลงหนังสือนั่นคืออะไรกันแน่” ผมถามไปอีกครั้ง เพราะสรุปก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าหนังสือเล่มนั้นมันคืออะไรแล้วทำไมพวกแม่มดขาว แม่มดดำต้องแย่งกันด้วย มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ
“ฉันก็ไม่รู้มันจริงหรือเปล่า แต่แม่เคยเล่าให้ฟังว่าบรรพบุรุษฉันเป็นคนสร้างหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เพื่อกักขังส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณซาตาน พร้อมกับใส่พลังทั้งหมดของตัวเองไว้ในนั้นเพื่อผนึก กลุ่มแม่มดดำพยายามจะปลุกจิตวิญญาณส่วนเล็ก ๆ นั้นขึ้นมาเพื่อให้กลายเป็นผู้นำของตนในร่างของใครคนหนึ่ง แต่กลุ่มแม่มดขาวได้ขัดขวางไว้ได้สำเร็จและขังความมืดนั้นไว้ในหนังสือ สงครามระหว่างสองกลุ่มจึงถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น บรรพบุรุษฉันถูกใส่ร้ายว่าเป็นแม่มด จริง ๆ จะเรียกว่าใส่ร้ายก็ไม่ถูก พวกเราเป็นจริง ๆ ในช่วงยุคกลางบรรพบุรุษฉันเลยถูกเผาทั้งเป็นเกือบทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่มันสมควรที่จะถูกกำจัดออกไปก็ยังคงอยู่ มันเลยพยายามตามหาสิ่งที่มันต้องการ”
“หลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกเราเก็บซ่อนและดูแลหนังสือเล่มนั้นไว้อย่างดี แต่ก็ถูกตามล่าและโดนฆ่าตายไปจนเกือบหมด ในที่สุดหนังสือเล่มนั้นก็ถูกส่งผ่านมาจนถึงมือแม่ฉัน และท้ายที่สุดอย่างที่นายบอก นายเผามันไปเรียบร้อยแล้ว จบประวัติศาสตร์อันยาวเหยียดของมันทั้งหมด”
ฟังจบผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เหมือนเอาของสำคัญทางประวัติศาสตร์ไปทำลายซะงั้น แถมยังเป็นของที่เขาแย่งกันมาหลายร้อยปีอีกด้วย
“ฉันขอโทษที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย แล้วมันจะยังไงต่ออะ” ผมพูดออกไปเสียงอ่อย
“หึ ยังไงต่อน่ะเหรอ ฉันก็ไม่รู้” แมทธิวตอบกลับมาพร้อมยักไหล่
“แล้วที่นายบอกว่าไอ้หนังสือนั่นมันมีพลังบรรพบุรุษนายใส่ไว้เพื่อผนึกส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณซาตานอะไรนั่น เป็นไปได้ไหมว่ามันจะสามารถถ่ายโอนให้คนอื่นได้” ผมถามในเรื่องของตัวเองบ้าง
“นายหมายความว่ายังไง” แมทธิวถามพลางทำหน้าสงสัย ผมไม่รอให้มันได้สงสัยนาน หมอนข้าง ๆ ตัวผมลอยขึ้นเนื่องจากพลังของผม แมทธิวมองหมอนใบนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตัวตัวเอง เจ้าตัวถอนหายใจมาอีกเฮือกใหญ่
“นายคงได้รับพลังของบรรพบุรุษฉันไปแล้วล่ะ”
“แล้วส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณซาตานมันหายไปไหนแล้ว” ผมถามต่อไปอีกด้วยความสงสัย ถ้าหนังสือเล่มนั้นมันเป็นที่กักขังของจิตวิญญาณซาตานอะไรนั่น ในเมื่อพลังของบรรพบุรุษแมทธิวมันมาอยู่ที่ผม แล้วสิ่งที่มันอยู่ในหนังสือมันหายไปไหนกัน
“ดูปากฉันดี ๆ นะ ฉัน ไม่ รู้ แค่นี้นายก็ทำให้เรื่องมันยุ่งมากพอแล้ว ตำนานพวกนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจริงเท็จแค่ไหน รู้แค่แม่พูดกรอกหูทุกวันว่าต้องดูแลหนังสือเล่มนั้นไม่ให้พวกแม่มดดำเอาไปได้” แมทธิวพูดออกมายาวเหยียดโดยไม่หยุดหายใจ ผมเดาว่ามันคงเริ่มใกล้หมดความอดทนกับผมแล้วล่ะ
“โอเค ๆ calm down นะ”
“คำถามสุดท้าย แล้วทำไมต้องมาเข้าฝันกันด้วย นายก็ได้ไลน์ฉันไปแล้วหนิ อยากรู้อะไรก็ถามตรง ๆ ก็ได้ หรือว่านายเป็น ...”
พูดยังไม่ทันจบประโยคมันก็รีบพูดชิงตัดหน้าผมไปก่อน
“ฉันไม่อยากเปิดเผยตัวตนว่าเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนั้น แค่อยากรู้ว่าตอนนี้หนังสืออยู่ไหน พอเจอฉันก็ไปขโมยกลับแล้วจะไปต่างประเทศ ที่ขอไลน์ไปก็แค่กะจะตีซี้นายเพื่อเข้าถึงหนังสือง่ายขึ้นก็เท่านั้น อย่าได้คิดว่าฉันพิศวาสนายขึ้นมาเชียว ขนลุก”
“ขออีกคำถาม”
“อะไรอีก” คนพูดตวัดเสียงเหมือนรำคาญผมเป็นที่สุด
“ฉันจะตื่นจากความฝันนี้ยังไง”
“โว้ย ! เดี๋ยวยกเลิกพิธีให้ จะได้แยกย้ายกันไปนอน คิดไม่ออกแล้วว่าจะเอาไงต่อ หนังสือก็ถูกทำลายไปแล้ว ฉันจะบอกน้าว่ายังไงดีวะเนี่ย” แมทธิวบ่นพึมพำ ประโยคหลังเหมือนมันจะพูดกับตัวเองมากกว่า ร่างโปร่งแสงของแมทธิวยืนขึ้นลุกจากโซฟาก่อนเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของคอนโด ภาพที่ผมเห็นคือร่างของมันที่แท้จริงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นมีแท่งเทียนลุกไสวอยู่รอบตัว ตรงหน้ามีปากกาด้ามหนึ่งวางอยู่ พร้อมกับสิ่งของบางอย่างที่มีลักษณะเป็นวงกลมมีขนนกอยู่รอบ ๆ มีตาข่ายพันไว้รอบ ๆ วงกลมนั้น ถ้าผมเดาไม่ผิด สิ่งนั้นมันคือตาข่ายดักฝัน ไม่อยากจะเชื่อว่าของพวกนี้มันเอามาทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย
ก่อนที่ผมจะได้สังเกตอะไรรอบ ๆ ห้องมันต่อ ภาพทุกอย่างก็หายวับไปกับตา ทุกอย่างเต็มไปด้วยความมืด และพอผมกะพริบตาอีกครั้ง
ผมก็กลับมานอนบนเตียงที่หอของตัวเองแล้ว ...