คาถาที่ 7 : เด็กใหม่ในชมรม
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมพลิกตัวไปมาบนเตียง นอนตาสว่างยันเช้า
อาการป่วยไข้ทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไหมดูแลดีหรือผมตกใจจนหายไข้กันแน่ แก้วน้ำลอยได้ มันลอยขึ้นได้ยังไง ผมไม่ได้ตาฝาดไปแน่ ที่นอนยังชื้น ๆ อยู่เลยเพราะน้ำที่หกลงมา เรื่องเมื่อคืนมันทำให้ผมคิดไม่ตก หรือมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่ผมเอาหนังสือนั่นไปเผา แล้วยังเรื่องที่ไอ้คีย์มันบอกว่าหนังสือนั่นอาจจะเป็นหนังสือที่พวกแม่มดตามล่าเพื่อแย่งกันอยู่อีก มันคือเล่มเดียวกัน มันเป็นเล่มเดียวกันแน่ ๆ
และถ้าสมมุติฐานของผมถูกต้อง … ผมได้รับพลังมาจากหนังสือเล่มนั้นตอนเผา
ตอนนั้นผมทำยังไงนะมันถึงลอยได้ จริงซิ ผมคิด คิดว่าถ้าแก้วน้ำมันลอยมาหาผมได้ก็คงจะดี
เฮ้ย ! มะ … มันลอยได้จริง ๆ ด้วยอะ
แก้วน้ำใบเดิมที่เมื่อคืนผมวางไว้บริเวณโต๊ะโคมไฟข้างเตียงมันลอยมาหาผมตามที่คิด โอ๊ย ผมหาเรื่องให้ตัวเองอีกแล้ว เรื่องที่มีพลังวิเศษอย่างนี้เหมือนไอ้คีย์มันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบนี้มันก็เท่ากับว่า ผมเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องของพ่อมดแม่มดสองกลุ่มที่แย่งหนังสือเล่มที่ผมเผาไปนี่หว่า เวรกรรม อะไรทำให้ชีวิตผมซวยได้ขนาดนี้ ไม่รู้ชะตาชีวิตจะเป็นไงต่อ แล้วถ้าพวกนั้นตามหาหนังสือเล่มนั้นอยู่ ไม่อยากจะคิดเลย ผมจะกลายเป็นศพเหมือนในข่าวหรือเปล่า
ผมกลับไปถึงหอที่มหาวิทยาลัยในช่วงเที่ยงของวัน เข้าไปถึงก็ไม่เจอใคร สงสัยพวกมันน่าจะออกไปหาอะไรกินกันเป็นมื้อเที่ยง ผมเดินเอาข้าวของไปเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษาเพื่อเตรียมไปเรียนในช่วงบ่าย เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมนั่งเล่นเกมมือถือรอพวกมัน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของไอ้คีย์และไอ้อิฐที่เดินเข้ามา
“ทำไมมึงทำคิ้วผูกโบดูเครียดขนาดนั้นวะ ยังไม่หายป่วยอีกเหรอ” ไอ้อิฐทักขึ้นมา
จะไม่ให้ผมทำหน้าเครียดได้ไง เล่นเกมเมื่อกี้ก็แพ้ แถมชีวิตยังเข้าไปเจอเรื่องแปลก ๆ อีก วันดีคืนดีไม่รู้จะมีคนมาทวงเอาหนังสือหรือเปล่า ยังดีที่ไอ้อาการเห็นภาพหลอนของผมมันหายไปแล้ว ไม่งั้นคงจะได้เป็นบ้าเข้าสักวัน
“พวกมึง กูมีเรื่องจะปรึกษา ดูนี่” ผมพูดออกไป พร้อมโชว์สกิลใหม่ที่ได้รับมาให้พวกมันดู
หนังสือเรียนสี่ห้าเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของไอ้คีย์ค่อย ๆ ขยับ แล้วลอยออกมากลางห้อง พวกมันลอยไป ลอยมาเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศ ตัวของหนังสือเปิดออกกระพือกางปีกเหมือนนก
เฮ้ย ! เสียงของไอ้คีย์กับไอ้อิฐพร้อมใจกันประสานออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่ผมทำได้
“มึงทำได้ไงเนี่ย !” ไอ้คีย์พูดขึ้นมาอย่างตกใจ เหอะ ๆ อย่ามาทำท่าทางตกใจขนาดนั้น ในเมื่อตัวมันเองก็ทำแบบนี้ได้เพราะมีพลังของยมทูตเหมือนกัน
“นี่อยากบอกนะ ว่ามึงตายแล้วกลายเป็นยมทูตเหมือนไอ้คีย์อีกคน” ตามมาด้วยไอ้อิฐที่พูดเสริมขึ้นมา
“มึงจะบ้าเหรอ กูยังไม่ตายไอ้อิฐ” ผมตอบมันไป ไอ้นี่ก็บ้า ผมจะตายได้ยังไง
“กูแค่คิด แล้วก็อย่างที่พวกมึงเห็น”
ผมได้ข้อสรุปนี้มา หลังจากลองพยายามทำให้หลายสิ่งหลายอย่างขยับได้และเคลื่อนไหวได้อย่างนึกคิด มันคล้าย ๆ กับว่าตัวเองมีพลังควบคุมสิ่งต่าง ๆ นั่นเอง
“มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรวะ” ไอ้คีย์เป็นคนถามต่อ
“เมื่อคืน หลังจากกูเผาหนังสือเล่มนั้น และหายป่วยนั่นแหละ”
พอผมพูดจบ ไอ้คีย์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา มองหน้าผมกลับ ทำหน้านิ่ง ๆ ของมันให้เครียดกว่าเดิม แล้วอ้าปากขึ้นพูดให้ผมพลอยเครียดตามมันไปด้วย
“เฮ้อ ทำไมชีวิตมึงมีแต่เรื่องซวย ๆ วะไอ้ชา กูก็พยายามคิดว่ามันคนละเล่มแล้วนะ แต่แบบนี้มันคือหนังสือเล่มเดียวกันกับที่พวกแม่มดตามฆ่ากันเพื่อหาอยู่แน่ ๆ แล้วมึงดันเอาหนังสือที่เขาแย่งกันจนถึงขนาดฆ่ากันตายมาเผา หึ ๆ กูเดาไม่ออกเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“กูควรทำไงดีวะคีย์” ผมถามมันไปเสียงอ่อย แบบนี้สักวันมันต้องมีคนมาตามล่าหาหนังสือจากผมแน่ ๆ ซึ่งถ้าวันนั้นผมไม่หัวร้อนเอามันไปเผา เรื่องมันคงจะง่ายกว่านี้
“รอพวกนั้นมาตามฆ่ามึงไง” ไอ้อิฐพูดขึ้นมาบ้าง ปากมึงเหรอนั่นไอ้อิฐ
ไอ้ ...
“มึงใจเย็นก่อนละกัน เดี๋ยวเย็นนี้กูลงไปปรึกษากับพวกท่านพญายมราชที่นรก หารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับไอ้หนังสือที่มึงเผา แต่พวกเขาคงจะช่วยอะไรมากไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของยมทูต มันเป็นเรื่องของคนที่ยังไม่ตายล้วน ๆ” ไอ้คีย์พูดต่อ ผมก็เพิ่งเข้าใจมาไม่นานนี้ ว่ายมทูตจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ ได้ฟังแบบนี้แล้วใจเสียชะมัด คนช่วยผมหายไปอีกหลายคนเลย
“แต่มึงเป็นเพื่อนกูนะ” ผมพูดออกไป
“เออดิ เพราะงี้ไง กูถึงปวดหัวกับมึงไปด้วยเนี่ย” ไอ้คีย์ตอบกลับมา เฮ้อ อย่างน้อยก็มีมันที่คอยเป็นแบคอัพให้
“พวกมึงก็ใจเย็น เดี๋ยวกูไปตามแฮร์รี่ พอตเตอร์ มาช่วย แต่ถ้าแฮร์รี่ ไม่ช่วย เดี๋ยวกูจะเสกคาถาผู้พิทักษ์ให้มึงเองExpecto Patronum !”
ฟิ้ง ! สายตาพิฆาตของผมกับไอ้คีย์พุ่งตรงไปหาไอ้อิฐ ไม่ขำโว้ย ไม่ตลกด้วย มันทำหน้าเจื่อน ๆ เอามือลูบผมตัวเองเล่น
“โทษทีว่ะ ไม่ขำเหรอ กูไม่อยากให้พวกมึงเครียด”
ในช่วงบ่ายของวันหลังจากเรียนเสร็จ ผมกับเพื่อน ๆ ก็ไปนั่งเล่นกันที่ห้องชมรม เห็นไอ้คีย์บอกว่าพี่ฟองนัดประชุมคนในชมรมวันนี้คุยเรื่องอะไรสักอย่าง โดยปกติชมรมขนหัวลุกจะมีนัดมีทติ้งเล่าเรื่อง หรือแชร์ประสบการณ์เรื่องผี เรื่องสยองขวัญทุกเย็นวันศุกร์ แต่วันนี้เรียกมาตั้งแต่วันจันทร์เลย คงจะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ ตอนนี้พี่ฟองได้กลายเป็นประธานชมรมอย่างเต็มตัว หลังจากไอ้พี่เชนประธานคนเก่าถูกจับลงนรกไปแล้ว พี่ฟองก็กลายมาเป็นคนดูแลเรื่องงบ เรื่องกิจกรรมต่าง ๆ ของทางชมรมแทน
เวลาเกือบห้าโมงเย็นตามที่ได้นัดหมาย พี่ฟองก็เดินเข้ามาภายในห้องชมรมพร้อมกับนักศึกษาชายคนหนึ่งที่หน้าตาดีพอสมควรเลยแหละ แต่ไม่เท่ากับผม หมอนี่เป็นลูกครึ่งครับ ครึ่งอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แยกไม่ค่อยจะออกซะด้วย ใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นคนอัธยาศัยดี เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้างมองไปรอบ ๆ ห้อง ที่ตอนนี้มีคนอยู่เกือบ 30 คน ทำไมผมมองแล้ว มันดูน่าหมั่นไส้จัง มันดูนิสัยคล้ายผมจนเกินไปแล้ว
ผมหันไปมองหน้าไอ้คีย์ประมาณว่ารู้จักคนที่พี่ฟองพามาด้วยหรือเปล่า ไอ้คีย์ก็ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
“ทุกคน นี่เป็นสมาชิกใหม่ของชมรมพวกเรา น้องแมทธิว ปี 1 จากนิติจ้า” พี่ฟองพูดขึ้น พร้อมแนะนำตัวให้กับคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนถูกแนะนำตัวยิ้มกว้างพลางทักทายคนที่นั่งอยู่ในห้อง ตามมาด้วยเสียงฮือฮาเพราะความหล่อของหมอนั่นที่น้อยกว่าผม จะว่าไปก็แปลก นึกยังไงเพิ่งจะมาเข้าชมรมเอาตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนวันเปิดโลกกิจกรรมถ้าอยากเข้ามาก็น่าจะสมัครมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วซิ
“งานดีอะ ทำไมตอนประกวดดาวเดือน ฉันไม่เห็นแมทนะ แบบนี้เป็นเดือนมหาลัยได้สบายเลย” เสียงใสข้างตัวผมดังขึ้นมา ทำให้ผมหันไปมองเจ้าตัวพร้อมกับทำหน้างอเรียกร้องความสนใจ มาชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้ามันเป็นอะไรที่รับไม่ได้จริง ๆ เชียว งานดีที่ดีกว่านั่งอยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ ไม่เห็นค่า
“งานดีอะไรของเธอไหม หน้าก็งั้น ๆ อะ ฉันหล่อกว่าตั้งเยอะ” ผมพูดออกไป
“มีมารยาทหน่อย เวลาพูดกับฉัน ลืมตาด้วย” ไหมย้อนกลับมา ดูดิ๊ ดูดิ วันที่ป่วยไม่น่าใจดีให้รอดไปได้เลย
“ลืมแล้ว ถึงตาจะเล็ก แต่อย่างอื่นไม่เล็กนะครับ”
“อะไร ทะลึ่ง” ไหมพูดต่อ
“ตัวไง ตัวไม่เล็ก ตัวใหญ่” ผมพูดออกไปพร้อมหัวเราะขำที่ได้แกล้งแหย่ไหมได้สำเร็จ
ผมกับเพื่อน ๆ นั่งคุยเล่นกันสักพัก อยู่ ๆ ร่างสูงของแมทธิวก็เดินตรงเข้ามาหากลุ่มของพวกเรา คนเดินมาหายิ้มกว้างจนผมอดหมั่นไส้อีกรอบไม่ได้ จะยิ้มอะไรนักหนาวะ ทำหน้านิ่ง ๆ แบบไอ้คีย์บ้างก็ได้ แล้วดูไหม มองซะเคลิ้มเชียว มันใช่เรื่องปะเนี่ย โอ๊ย หงุดหงิดโว้ย
“สวัสดีพวกนาย ชื่ออะไรกันบ้าง” แมทธิวพูดพร้อมนั่งลงตรงกลุ่มของพวกเรา เจ้าตัวหันมองพวกเราทีละคนแล้วไปหยุดที่ไอ้อิฐเป็นคนสุดท้าย
“นี่ ไหม คีย์ ชาบู ส่วนฉันชื่ออิฐ” ไอ้อิฐเป็นคนตอบออกไป
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธี ผมก็รู้สึกว่าไอ้แมทมันพูดมาก พูดไม่มีหยุดเลย ส่วนพวกเพื่อนผมก็ขำเออออไปกับเรื่องที่มันพูดด้วย อะไรจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายดายขนาดนั้น
“ว่าแต่ เอ่อ นาย ... ชาบู ฉันขอไอดีไลน์นายไว้หน่อยได้ไหม” แมทพูดออกมาพร้อมหันหน้ามาทางผม
อึ้งซิ ... ผมเป็นคนเดียวที่คุยกับมันแค่สามสี่ประโยค แต่กลับมาขอไลน์ผม จะเอาไปทำไมวะ หรือว่าไอ้แมทมัน … มันชอบผู้ชาย
“Shabu6969”
เปล่านั่นไม่ใช่เสียงผม แต่เป็นเสียงของไอ้อิฐที่พูดออกมาพร้อมกับทำท่ากลั้นหัวเราะ มันแกล้งผม ! ไอ้เพื่อนชั่ว !
“เป็นไงงานดีของเธอไหม ตอนนี้ยังจะงานดีอยู่ปะ” ผมหันไปถามไหมขณะที่พวกเรากำลังเดินลงจากตึกของห้องชมรมเพื่อไปลานจอดรถ
“แหม ก็ยังดีอยู่นะ แล้วหวั่นไหวบ้างรึยังอะ มีขอลงขอไลน์กันด้วย” ไหมตอบผมพร้อมกับหัวเราะ
“หวั่นไหวบ้าอะไรล่ะ สเปคฉันผู้หญิงโว้ย ที่สำคัญต้องปากจัด ๆ ตัวสูง ๆ ผมยาว ๆ หน้าหวาน ๆ หุ่นเหมือนนางแบบ” ผมพูดออกไปพลางเอามือไปท้าวไหล่ไหมเล่นให้เจ้าตัวรู้ว่าคนที่ผมพูดถึงอยู่คือตัวเอง ถึงไหมจะสูง แต่ก็เตี้ยกว่าผมอยู่ดี เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับเอาข้อศอกมากระทุ้งที่เอวผมให้เอามือออกจากไหล่เธอ
“เพื่อนเล่นเหรอ”
“โอเค ๆ ยอม” ผมยิ้มขำแกล้งยกมือสองข้างขึ้นประมาณว่ายอมแพ้
“แต่เขาดูจะชอบมึงมากนะ ขนาดมึงไม่ค่อยพูดกับเขา ไลน์ยังขอแต่ไลน์มึงเลย พวกกูสามคนนี่เหมือนเป็นอากาศอะ” ไอ้อิฐที่เดินข้าง ๆ ไอ้คีย์มาพูดต่อ
“ขยี้จังมึงไอ้อิฐ เดี๋ยวจะโดน เอาไอดีไลน์กูไปให้มัน กูยังไม่ได้จัดการเลยนะ”
“กูไม่กลัว”
“แต่กูกลับรู้สึกว่ามันแปลก ๆ ว่ะ” ไอ้คีย์เป็นคนพูดออกมาบ้าง
“ยังไงวะไอ้คีย์”
“แมทมันดูเข้ามาตี้ซี้กลุ่มพวกเรากลุ่มเดียวยังไงไม่รู้ โดยเฉพาะมึงไอ้ชา”
“จริงของมึง” ผมพูดไปตามที่สังเกตได้เหมือนกัน แมทมันดูเป็นคนขี้เล่น อัธยาศัยดีคุยกับทุกคนคล้ายผม แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ผมรู้สึกมันมีความลับอะไรบางอย่าง และดูเหมือนจะต้องการเข้าหาผมเป็นพิเศษ
“หรือว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องหนังสือที่มึงเผาวะ แถมมันอยู่ดี ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิตมึง กูแอบถามฟองว่ารู้จักไอ้แมทนี่มาก่อนหรือเปล่าฟองก็บอกว่าไม่ บอกว่าไอ้แมทเพิ่งอยากเข้าชมรมนี้เพราะมีรุ่นพี่ที่รู้จักชักชวน กูว่าไม่เมคเซ้นส์เลยว่ะ นี่มันเทอมสองแล้วนะ จะเพิ่งมาอยากเข้าอะไรตอนนี้”
“พวกแกพูดเรื่องอะไรกัน ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย งงไปหมดละ” ไหมพูดขึ้นมา ผมหันไปมองหน้าเพื่อนอีกสองคนก่อนหันกลับไปมองไหม
“มึงเล่าเลยไอ้ชา”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ไหม ...”
ว่าแล้วผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้กับไหมฟัง ทุกวันนี้มีเพื่อนเป็นยมทูตมันก็น่าตกใจมากพออยู่แล้ว ถ้าไหมรู้ว่าผมได้พลังอะไรมา คงไม่น่าจะทำให้ชีวิตพวกเราที่เป็นอยู่วุ่นวายไปมากกว่านี้หรอกมั้ง
ภายในคอนโดหรูใจกลางเมือง เด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังนั่งคุยอยู่กับคนเป็นน้าซึ่งแวะมาถามข่าวคราวที่เกิดขึ้น ใบหน้าสวยจัดแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเต็มไปด้วยความสนใจในสิ่งที่หลานของตัวเองพูดขึ้น
“เป็นไงบ้างแมท เข้าไปหาคนคนนั้นหรือยัง” เจ้าของร่างสวยพูด
“ผมเข้าไปทำความรู้จักกับเขาแล้วครับน้า” เด็กหนุ่มตอบออกไป
“แล้วคิดว่าจะทำยังไงต่อ”
“คงต้องใช้คาถาความฝันหลอกถามว่าตอนนี้หนังสืออยู่ที่ไหน แล้วเราค่อยเข้าไปตามหากลับมาครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาทิ้งไปแล้วหรือยัง ไม่งั้นเราคงจะเสียเวลาเปล่า แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้ว่าหนังสืออยู่ที่ไหน เพราะหมอนั่นเป็นเบาะแสสุดท้ายที่แม่ผมทิ้งเอาไว้”
เขาคิดไว้ว่าคงต้องใช้วิธีนี้ พลังวิเศษของเขาเองก็มีจำกัดเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าการเป็นพ่อมดแม่มดแล้วจะสามารถสะกดจิต หายตัว ลอยได้ หรือควบคุมคนอื่น ๆ เหมือนในหนัง ในโลกของความเป็นจริงทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย เช่นการทำพิธีต่าง ๆ ก็ต้องมีเครื่องสังเวย หรือสมุนไพร สิ่งของที่จำเป็น ส่วนพลังที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ได้มาทางสายเลือดเช่นพวกควบคุมสิ่งของ บังคับธาตุทั้งสี่ตามธรรมชาติได้นิดหน่อยก็แค่นั้น
“น้าว่าแม่เราต้องมีคาถาให้มันกลับไปอยู่กับเขาก่อนให้ไปนั่นแหละ ไม่น่าจะหายไปไหนได้หรอก” คนเป็นน้าพูด
“ที่ผมไม่แน่ใจเพราะเขาดูปกติเอามาก ๆ น้าอย่าลืมนะครับ มนุษย์ธรรมดาอยู่กับหนังสือเล่มนั้น อาจเป็นบ้าเอาง่าย ๆ เพราะมันจะทำให้เห็นภาพอดีตของเหตุการณ์เมื่อหลายร้อยปีก่อนของบรรพบุรุษเรา อีกอย่างหนังสือเล่มนั้นมันเชื่อมต่อกับทางฝั่งนั้นด้วย ผมเลยคิดว่าเขาอาจจะทิ้งมันไปแล้ว”
“เรื่องนั้นอย่าเพิ่งคิดเลยว่าเขาทิ้งมันไปแล้วหรือเปล่า ว่าแต่เราได้ของที่จะทำพิธีมาแล้วเหรอ”
“ครับ ผมได้ของ ของคนที่หมอนั่นชอบแล้วครับ คืนนี้ผมจะเข้าไปในความฝันเขา” เด็กหนุ่มตอบกลับไปพลางยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา หมอนั่นดูนิสัยคล้ายเขาชะมัด บางทีเขาก็อิจฉาที่ชีวิตคนคนนั้นมีทั้งเพื่อน มีทั้งคนรัก แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ ครอบครัวที่เหลืออยู่คงจะมีน้าเพียงคนเดียว
ตระกูลแม่มดขาวอันเก่าแก่ ...
“ไหม พอดีฉันไม่ได้เอาปากกามาน่ะ พี่ฟองให้ไปเซนต์เอกสารอะไรนิดหน่อย ขอยืมของเธอหน่อยได้ไหม”
“เป็นนักศึกษายังไง ปากกาไม่มีติดตัว” เสียงทุ้มห้าวของคนที่นั่งข้างตัวเจ้าของปากกาดังขึ้นเหน็บแนมเขา
“ว่าแต่คนอื่น ทุกวันนี้แกยังยืมลิควิดฉันอยู่เลยชา อะนี่ เอาไปซิแมท”
“ไหม เธอเข้าข้างคนอื่นได้ไงเนี่ย นี่ชาไง ชาเอง”
“เฮ้ ไม่เป็นไรหรอกไหม ชาก็พูดถูก อย่ามาทะเลาะกันเพราะฉันเลย”
“มานี่มา มากินนี่เร็ว เมี้ยว ๆ” เด็กหนุ่มร้องเรียกแมวตัวสีดำที่นอนอยู่กับพื้นบริเวณทีวี แมวดำที่ดวงตาหายไปหนึ่งข้างเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้านายมันพูด ร่างของมันเดินเยื้องย่างเข้ามาก่อนคลอเคลียที่ขาของเจ้านาย เด็กหนุ่มเทอาหารแมวในถุงลงถาดอาหารของมัน ก่อนแมวตัวนั้นจะหันไปสนใจกับอาหารที่เจ้านายมันเทให้แทน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปรอบห้องอย่างเบื่อหน่าย น้าของเขาได้กลับออกไปแล้ว มีเพียงตัวเขาคนเดียวที่อยู่ในคอนโดที่กว้างขวางแห่งนี้ ภายนอกเขาอาจจะดูเหมือนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีเพื่อนในมหาวิทยาลัยเยอะแยะ แต่จริง ๆ แล้วมันเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกมามากกว่า หลายสิ่งที่ควรจะมีมันขาดหายไปเพียงเพราะความลับของตระกูล ญาติพี่น้องที่มีก็ล้มหายตายจากไปจนเกือบหมดเพราะถูกตามฆ่า เด็กหนุ่มหันไปมองหาสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวที่อยู่ภายในห้องเขาก่อนพูดออกมาเบา ๆ
“คงจะมีแต่แกล่ะมั้ง ที่จะอยู่กับฉันไม่หายไปไหน”