ตอนที่แล้วอารัมภบท (บท0) : รถม้าที่แล่นผ่านหมู่บ้านป่ากวาง  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 2 ชายชราหนึ่งคนและชายหนุ่มอีกหนึ่งคนภายใต้ฝนฤดูใบไม้ผลิ

เล่มที่ 1 บทที่ 1 มุ่งหน้าขึ้นเหนือ


สายลมอันรุนแรงพัดผ่านเมืองกวางตะวันออก

ปีนี้มีฝนตกน้อยกว่าปีก่อนๆ, ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำไมถึงแม้สายลมอันรุนแรงจะผ่านพ้นไปแล้ว, แต่ท้องฟ้าเหนือเมืองที่ห่างไกลนี้ก็ยังคงค่อนข้างมืดครึ้ม

มีรถม้าธรรมดาๆคันนึงเพิ่งจะออกเดินทางจากโรงเตี๊ยมทางฝั่งตะวันตกของเมืองกวางตะวันออก หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ, ในที่สุดมันก็เดินทางผ่านเมืองกวางตะวันออก, โดยออกทางประตูตะวันออก จากนั้นมันก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออกต่อ, และค่อยๆหายไปจากระยะสายตาของเหล่าพลหอกที่ยืนประจำการอยู่บนหอสังเกตุการณ์ของเมืองนี้

นอกจากคนขับรถม้าที่เป็นหญิงสาววัยประมาณสิบห้าสิบหกปี, รถม้าคันนี้ก็ไม่มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจของพวกทหารเลย

ส่วนงานราชการในเมืองกวางตะวันออกนั้นเป็นเหมือนกับเมืองชั้นในของที่นี่  มีกำแพงที่ทำจากอิฐล้อมรอบเมืองนี้เอาไว้, มันมีความสูงทอดยาวขึ้นไปบนฟ้า 5 จั้ง (ประมาณ 12.5 เมตร) โดยส่วนงานราชการที่ทำหน้าที่บริหารงานเมืองนั้นใช้พื้นที่แค่สามตึกทางเหนือเพียงเท่านั้น, ซึ่งพื้นที่ส่วนที่เหลือจะถูกนำไปใช้ทำเป็นค่ายทหารและสนามฝึกซ้อม

เมืองนี้ไม่มีลักษณะอะไรที่โดดเด่น ตั้งแต่ที่อาณาจักรหยุนฉินก่อตั้งเป็นประเทศ, รูปแบบของส่วนงานราชการทั้งหมดก็จะมีการวางโครงสร้างประมาณนี้, มีแค่ขนาดเท่านั้นที่ส่วนงานราชการของภูมิภาคนั้นๆจะเป็นคนกำหนด

สำนักงานของเจ้าเมืองตั้งอยู่ตรงพื้นที่ใจกลางเขตเหนือของส่วนงานราชการเมืองกวางตะวันออก ซึ่งตอนนี้, มีเทียนสีแดงขนาดยักษ์มากมายถูกจุดเอาไว้อยู่

เทียนยักษ์สีแดงพวกนี้เป็นสิ่งที่ช่วยขับไล่ความมืดออกจากห้องโถงที่ถูกปกคลุมด้วยกระเบื้องสีเขียวสดใส อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่เปลวเพลิงส่องมาที่ใบหน้าของซีปิง, มันก็สะท้อนสภาพจิตใจอันปั่นป่วนไม่รู้จบของเขาออกมาอย่างแม่นยำ

ในฐานะผู้ที่มีอำนาจสูงสุดเหนือประชากรสี่ล้านคนของเมืองกวางตะวันออก, ร่างเล็กๆและสีหน้าที่แสดงออกมาจากใบหน้าเรียวๆของ หลี่ ซีปิงนั้นไม่มีอาการตื่นตกใจเลย

ชุดคลุมสีเทาที่เขาสวมใส่ตามปกตินั้นมีคราบน้ำมันเปื้อนอยู่ อย่างไรก็ตาม, ณ เวลานี้, กลิ่นอายของเลือดเหล็กที่หนักพอๆกับภูผา, และรุนแรงจนถึงจุดที่ทำให้คนอื่นหายใจกันแทบไม่ออก, กำลังแผ่ออกมาจากร่างของชายชราที่ดูน่าเคารพผู้นี้

“ตะ ใต้เท้าครับ...” ชายวัยกลางคนคิ้วหนาผู้หนึ่ง, ที่ยืนท่าตัวตรงอย่างเป็นสง่า, สวมชุดเกราะหนังแบบอ่อนสีดำรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เงียบสงบเป็นเวลานานและความรู้สึกที่ค่อนข้างจะกดดันเช่นนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างที่จะทนรับได้ยาก, แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้แค่เรียกผู้บัญชาการสูงสุดด้วยความเคารพ, เขาทำได้แค่พูดว่า ‘ใต้เท้าครับ’ เพียงเท่านั้น ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรอีก, คิ้วของหลี่ ซีปิงก็กระตุกขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ, และหลังจากที่ถอนหายใจออกมา, เขาก็มองไปที่ชายวัยกลางคนคิ้วหนาผู้นี้ “พาตัวจาง เจิ๋นตงไปให้ชายหน้าบากหลิวซะ, พาเขาไปที่สระธาราทมิฬ”

“สระธาราทมิฬหรอครับ?” ชายวัยกลางคนคิ้วหนาเหยียดตัวตรงตามนิสัย, แต่ความตกใจก็ยังคงแสดงออกมาบนใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด เขาถามด้วยความลังเลเล็กน้อย “ใต้เท้า, ทำแบบนี้มันไม่ดูรุนแรงเกินไปหน่อยหรอครับ?”

“รุนแรงงั้นรึ?” ใบหน้าของหลี่ ซีปิงขุ่นมัว ความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในทันทีนี้, มันเกือบจะเหมือนกลับคลื่นแห่งความกระหายเลือดลูกใหญ่ที่สาดใส่ห้องโถงแห่งนี้ “พวกเราสองคนเคยต่อสู้กันที่ชายแดนมาเป็นเวลากว่าสองปีเจ้าก็น่าจะรู้นี่, ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว, ต่อให้ไม่มีคำสั่งจากพวกระดับสูง, ข้าเนี่ยแหล่ะที่จะเป็นคนโยนเขาเข้าคุกและสั่งประหารชีวิตเขาโดยตรงเลย!” หลี่ ซีปิงมองชายวัยกลางคนคิ้วหนาและตำหนิด้วยน้ำเสียงดุดัน “โรคร้ายจำเป็นต้องใช้ยาแรงในการรักษา, หัดใช้เวลาคิดซะบ้างว่าตอนนี้อาณาจักรหยุนฉินอยู่ในยุคสมัยแบบไหน!? ถ้าเขาไม่ถูกส่งไปยังที่แบบนั้น, ไม่เพียงแค่ความโกรธของคนๆนั้นจะไม่ทุเลาลง, แต่ในตอนที่เวลามาถึง, ความตายของเขาก็มีแต่จะโหดร้ายขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น, แม้กระทั่งชีวิตของพวกเราก็อาจจะต้องจบสิ้นเพราะเขาเหมือนกัน!”

ชายวัยกลางคนคิ้วหนารู้สึกขนลุกไปทั้งตัวในทันที เขาเข้าใจในความเด็ดขาดของหลี่ ซีปิง, ที่เคยดิ้นรนอย่างไม่รู้จบในสถานที่อย่างกองทัพชายแดนของหุบเขามังกรอสรพิษเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม, ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ทหารวัยกลางคนผู้นี้ประจำการอยู่ในเมืองกวางตะวันออกนั้น, เขาไม่เคยเห็นหลี่ ซีปิงแสดงสีหน้าอึมครึม, และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย

“สตรีนางนั้นเป็นใครกันแน่ครับ, เหตุใดแม้กระทั่งสาวใช้ประจำตัวถึงมีลักษณะการแสดงออกเช่นนั้นได้?” เขาพยักหน้า, และอดถามออกมาไม่ได้

“สาวใช้หรอ?” หลี่ ซีปิง หัวเราะด้วยความเย็นชาในทันที, และสายตาของเขาก็เย็นยะเยือกขึ้น “เจ้าเคยอยู่ในกองทัพชายแดนมาก่อน, เจ้าก็น่าจะรู้นะว่ายิ่งเจ้ารู้หน่อยเท่าไหร่, เจ้าก็จะคิดต่อยอดไปได้น้อยเท่านั้น, ซึ่งนั่นจะช่วยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น”

“ขะ เข้าใจแล้วครับท่านใต้เท้า” ชายวัยกลางคนคิ้วหนาตัวสั่นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็โค้งคำนับ, เตรียมตัวที่จะออกไป, แต่ในตอนนั้นเอง, หลี่ ซีปิงก็พึมพำกับตัวเองแล้วพูดออกมา “เจ้าช่วยจัดเตรียมบางอย่างให้ข้าหน่อย ไปบอกให้ลุงหลิวเตรียมรถม้า, ข้าจะเดินทางไปหมู่บ้านป่ากวางด้วยตัวเอง”

ชายวัยกลางคนคิ้วหนามองมาด้วยสายตาเหม่อลอยเป็นเวลาพักนึง, และสายตาที่ตื่นตกใจอยู่แล้วของเขาก็รุนแรงขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้, เขาไม่พูดอะไรมาก หลังจากทำความเคารพ, เขาก็รีบเดินจากไป

ในตอนที่ชายวัยกลางคนคิ้วหนาเดินออกไปพ้นทางเข้าส่วนบริหารงานเมืองแล้ว, หลี่ ซีปิง ก็ยกแก้วชาที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเขาขึ้นมา, แต่ว่ามือของเขาก็หยุดอยู่ที่กลางอากาศเป็นเวลาพักนึง ซึ่งในช่วงเวลานี้เอง, เขาก็ไม่สามารถควบคุมความโกรธที่เก็บเอาไว้ข้างในได้อีก, ด้วยเสียงเพล้ง, แก้วชาก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ

ไม่มีอะไรชวนให้รู้สึกโมโหไปมากกว่าการเห็นสหายคนนึงที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากลายเป็นพวกเลวทราม, แถมเขายังต้องเป็นคนส่งเพื่อนคนนั้นไปยังเส้นทางแห่งความตายด้วยตัวเองอีก แม้กระทั่งหลี่ ซีปิง, ที่ตลอดเวลาที่อยู่ในกองทัพชายแดนนั้นเป็นคนที่มีอารมณ์เย็นจนถึงจุดที่ต่อให้มีคนมาถุยน้ำลายใส่หน้าก็ไม่สะทกสะท้าน, ก็ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้, หน้าอกของในตอนนี้เขากำลังเต้นตุ๊บๆอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม, หลังจากผ่านไปพักนึง, ความโกรธที่ไม่สามารถอธิบายได้ในตัวเขาก็ทุเลาลง จากนั้นเขาก็ไม่คิดแม้แต่จะเปลี่ยนชุดคลุมสีเทาที่เปื้อนน้ำชาเล็กน้อย, และรีบเดินตรงออกไปจากสำนักงานเมือง

ในตอนที่เขาก้าวออกไปจากประตู, ทหารสองคนที่สวมชุดคลุมสีเหลืองก็เข้ามาในตึกส่วนบริหารงานเมือง, และรีบทำความสะอาดในทันที, ส่วนตัวเขานั้นได้เดินไปขึ้นรถม้าที่จัดเตรียมเอาไว้ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว

รถม้าคันนี้มีคนขับเป็นชายชราผมหงอก พวกเขาออกไปจากเมืองกวางตะวันออก, ผ่านหมู่บ้านคุกอีกกาและทุ่งหญ้าสามสิบลี้, ตลอดไปจนถึงทางข้ามธาราทมิฬ, และในที่สุดก็เข้าไปที่หมู่บ้านป่ากวาง

หลังจากนั้นไม่นาน, หลี่ ซีปิงที่สวมชุดคลุมสีเทาหม่นๆ, ก็ลงที่หมู่บ้านป่ากวาง, เขาเดินเท้าไปยังเนินเขาที่รถม้าของหญิงสาวเคยผ่านเมื่อหลายวันก่อน หลังจากนั้นเจ้าเมืองที่หน้าตาดูแก่กว่าอายุจริงผู้นี้ก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า เขาหักกิ่งไม้ที่เจอในระหว่างทางออกมาท่อนนึง, และใช้มันช่วยพยุงในขณะที่เดินตรงไปยังหมู่บ้านเล็กๆอีกแห่งนึงอย่างช้าๆ ยิ่งเขาเดินไปได้ไกลเท่าไหร่, หลังของเขาก็ยิ่งตรงขึ้นเท่านั้น, และท่อนไม้ในมือของเขาเองก็ดูเหมือนคมดาบที่ถูกลากไปตามพื้นดินเรื่อยๆ, แถมมันยังเป็นดาบที่คมกริบซะด้วย

...

รถม้าเจ้าเมืองที่ชายชราผมหงอกขับมานั้นหยุดอยู่ที่หมู่บ้านป่ากวางเป็นเวลาหนึ่งวัน ในช่วงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น, มันก็ค่อยๆออกไปจากหมู่บ้านป่ากวางอย่างช้าๆ

มีชายวัยกลางคนอ้วนท้วมและผู้หญิงหน้าตาดีคนนึงกำลังจับมือเด็กสาวหน้าตาน่ารักเอาไว้และเฝ้ามองรถม้าแล่นแผ่นไปจนถึงทางออกของหมู่บ้าน, ดวงตาของพวกเขาทุกคนเป็นสีแดงก่ำ มีสุนัขเฒ่าตัวสีเหลืองอยู่ข้างหลังพวกเขาทั้งสามคนด้วย

หลิน ฉี นั่งอยู่ข้างในรถม้าบนเบาะไหมนุ่มๆ, และโบกมือให้ทั้งสามคนและสุนัขเฒ่าสีเหลืองอย่างต่อเนื่อง, ดวงตาของเขาเองก็เป็นสีแดงก่ำ “ท่านพ่อ, ท่านแม่, น้องพี่, ทุกคนกลับบ้านไปได้แล้ว! ท่านพ่อ, ขวดเหล้าทั้งหลายที่หายไปข้าเป็นคนเอาไปซ่อนที่ใต้เตียงของข้าเองหล่ะ, ตอนนี้มันน่าจะถูกบ่มจนได้ที่แล้ว! ถ้าท่านคิดถึงข้า, ก็จิบมันทุกวันนะ! ส่วนท่านแม่, ท่านต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี, ระวังอย่าให้ป่วยนะครับ! แล้วก็น้องพี่, เจ้าต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังท่านพ่อกับท่านแม่นะ, พี่จะเอาของที่น่าสนใจกลับมาให้เจ้าด้วยในตอนที่กลับมา! อ้อเกือบลืม, เจ้าเหลือง, แกอย่าไปวิ่งไล่นกสองตัวหล่ะ!”

“ฮือออ...” ตอนแรก, หลิน เฉียนยังปกติดี, แต่พอเธอได้ฟังคำบอกลาของ หลิน ฉี, และเห็นรถม้าเร่งความเร็วขึ้น, ปากของเธอก็สั่น, และร้องไห้ออกมาเสียงดัง

มีน้ำตาไหลออกมาอาบใบหน้าของหญิงหน้าตาดีด้วยเช่นกัน

“เจ้าลูกเวร!” ชายวัยกลางคนอ้วนท้วมที่มีลักษณะเหมือนกับพ่อค้าดูเหมือนกำลังตะโกนด่าหลิน ฉี, แต่หลังจากจบประโยคเดียวนี้, เขาก็แอบเช็ดน้ำตาที่หางตา ในขณะที่เฝ้ามองรถม้าค่อยๆเคลื่อนออกไป, และทันใดนั้นเองขาก็พูดออกมาต่อ “ลูกพ่อ, นับจากนี้ไปห้ามพูดอะไรไร้สาระอีกนะ! จำเอาไว้โลกภายนอกมันไม่เหมือนกับหมู่บ้านป่ากวาง!”

‘ท่านพ่อ, ตลอดชีวิตของท่าน, ท่านเคยเดินทางไกลสุดแค่เมืองข้างๆไม่ใช่หรอ?’ ถ้าเป็นปกติ, หลิน ฉี คงจะพูดออกมาแบบนี้ แต่วันนี้, เขากลับพยักหน้า, และตะโกนออกมาด้วยพลังเสียงที่ทั้งสามคนสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน “เข้าใจแล้วครับ, ท่านพ่อ”

“เจ้าลูกเวรเอ้ย” พ่อค้าวัยกลางคนพึมพำออกมา, ตอนนี้ดวงตาของเขาคลอไปด้วยน้ำตา

รถม้ามุ่งหน้าไปทางเหนืออย่างต่อเนื่อง และในที่สุด, ผู้ใหญ่สองคน, เด็กอีกหนึ่งคน, และสุนัขเฒ่าสีเหลืองก็มองไม่เห็นรถม้าอีกต่อไป หลิน ฉี ดึงผ้าม่านของรถม้าลงในตอนที่มองไม่เห็นหมู่บ้านป่ากวางแล้ว เขาถอนหายใจอีกมาอีกครั้งนึง, และจากนั้นก็เอนตัวพิงพนักนุ่มๆของรถม้า

แม้ว่าเขาจะไม่เคยออกจากหมู่บ้านป่ากวางมาก่อน, แต่เขาก็ไม่ได้รีบมองดูทัศนียภาพตามข้างทาง เขาเข้าใจดีว่าด้วยความเร็วของรถม้าคันนี้, ในโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้, เขาจะได้เห็นสถานที่ต่างๆมากมายในอีกหลายสัปดาห์ถัดจากนี้จนทำให้เขารู้สึกเอียนอย่างแน่นอน

แม้ว่าเมื่อสองสามปีก่อน, เขาจะหลอมรวมกับโลกนี้อย่างสมบูรณ์, และยอมรับในตัวตนใหม่นี้แล้ว, แต่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้เขาอดนึกถึงชีวิตก่อนไม่ได้

ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยออกเดินทางไกลก็คือตอนเข้าโรงเรียน ในตอนนั้น, เขาขึ้นรถไฟ, ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในโลกนี้ไม่มีทางเข้าใจ พ่อของเขา, ที่มักจะง่วนอยู่กับธุรกิจชาของตัวเอง, ได้ให้เงินเขารวดเดียวสำหรับใช้ชีวิตสี่ปี, ในขณะที่แม่ของเขา, ที่รู้จักแค่วิธีถลุงเงินไปกับการพนัน, ก็แยกทางกับพ่อของเขาเป็นเวลาห้าหรือหกปีแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ที่ไหน, และเธอก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

สิ่งที่ไม่สามารถบรรลุได้นั้นจะดูมีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำไมในตอนที่เขาพบว่าตัวเองได้มาถึงโลกใหม่นี้, และกลายเป็นคนอื่น, แถมยังได้รับความสามารถพิเศษบางอย่างมาด้วย, เขาก็ไม่เหมือนกับเด็กชาวบ้านที่กำลังจะออกจากเมืองเล็กๆ, และกำลังจะได้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรก, มันเหมือนกับว่าเขากำลังได้สัมผัสกับภาระหน้าที่ที่สั่นคลอนโลกมากกว่า แม้กระทั่งอาณาจักรหยุนฉินเอง, ความเข้าใจของเขาก็จำกัดอยู่แค่ว่านี่คืออาณาจักรที่ทรงอำนาจอาณาจักรนึงที่กฎหมายค่อนข้างเข้มงวด, อาณาเขตของอาณาจักรนี้แทบจะครอบคลุมทวีปกลางทั้งหมด, โดยการจัดการพื้นที่จะแบ่งเป็นหมู่บ้าน, เมือง, แคว้น, มณฑล

ครอบครัวครอบครัวนึงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร, มีคุณพ่อที่ฉลาดหลักแหลมและเจ้าเล่ห์ในตอนที่ทำธุรกิจ, แต่ก็ยอมลงทุนคุกเข่าในวิหารถึงสองวันสองคืนในขณะที่สวดภาวนาให้ลูกชายของตัวเองหายป่วย, แถมยังยอมบนบานถึงขั้นจะบริจาคสมบัติส่วนนึงของตระกูลให้ด้วยซ้ำ, นอกจากนี้ก็ยังมีน้องสาวที่ทั้งฉลาด, น่ารักและเชื่อฟัง, คุณแม่ที่ถึงภายนอกจะดูเข้มงวด, แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่ใจดีมากอยู่, พวกเขาทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองเล็กๆแห่งนี้; พูดตามตรงเขารู้สึกพึงพอใจกับรูปแบบการใช้ชีวิตเช่นนี้มาก

อย่างไรก็ตาม, รถม้าทั้งสองคันที่เขาได้เจอมาติดๆกันนี้, ก็ได้ทำลายรูปแบบการใช้ชีวิตที่แสนสงบสุขและน่าพึงพอใจของเขา

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้สถานะของหญิงสาวที่เด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ, แต่เขามั่นใจว่าเธอจะต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับรถม้าคันนี้แน่ๆ

สำนักหลวนขจีหรอ, มันเป็นที่แบบไหนกันนะ?

ในทันทีที่เขานึกถึงหญิงสาวเมื่อวันก่อนที่มักจะมีสีหน้าจริงจังตลอดเวลา, หลิน ฉีก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมาในทันที

จากนั้น, เขาก็หยิบกระสอบผ้าที่ทั้งยาวทั้งแคบที่อยู่ข้างหลังเขาออกมา, แล้วเปิดปากถุง

ข้างในนั้นมีมีดเล่มนึงที่ถูกลับจนคม, และส่องประกายเหมือนกับเกล็ดหิมะ

เขาหยิบเจ้ามีดอันวาววับนี้ขึ้นมา, โดยซ่อนมันเอาไว้ในแขนเสื้อ, จากนั้นเขาก็ใช้มันฉีกผ้าม่านของรถม้าที่อยู่ข้างหน้าอย่างนุ่มนวล

ผมของชายชรามีสีค่อนข้างเทา, จากที่ดูแล้วมันไม่ได้ผ่านการหวีมาเลย, มันถูกปล่อยเอาไว้จนพันกันยุ่งเหมือนกับลูกปุยฝ้าย ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่ขึ้นบ้างลงบ้างอยู่นั้น, อันที่จริงชายชราที่นั่งข้างหน้ารถม้า, โดยหันหลังให้หลิน ฉีคนนี้, กำลังงีบหลับอยู่

หลิน ฉี เฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆเป็นเวลาพักนึง, และจากนั้นเขาก็ทำการเคลื่อนไหวที่ยากจะเข้าใจออกมา

ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง, เขาค่อยๆขยับมีดไปที่หลังของชายชราอย่างเงียบๆด้วยความสงสัยและความคาดหวัง

ซู่ววว!

บรรยากาศรอบรถม้าเย็นลงอย่างกระทันหัน  ชายชราคนนี้ไม่ได้หันกลับมา, แต่หัวใจของหลิน ฉีก็เริ่มเต้นรัวอย่างกระทันหัน, คลื่นความหนาวเหน็บจนแสบผิวได้แพร่กระจายไปทั่วร่างของเขาในทันที มันยากที่จะมองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ร่างกายของเขาถูกซัดปลิวออกไปจากรถม้า, แล้วกระแทกเข้ากับต้นไม้เตี้ยๆที่อยู่ข้างถนนอย่างรุนแรง, การถูกซัดออกมานี้มันทำให้เขาหายใจลำบากด้วย ทั่วทั้งร่างของเขารู้สึกเหมือนกับว่ามันพังไปหมด, และทำให้เขาอยู่ในสภาพที่อ่อนเปลี้ยมากๆ

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” รถม้าหยุดลง ชายชราผมหงอกมองหลิน ฉีที่อยู่ในสภาพค่อนข้างเละเทะจากการถูกซัด, สีหน้าของเขามีเพียงแค่ความเย็นชา มีดที่ก่อนหน้านี้อยู่ในมือของหลิน ฉี ก็ถูกบีบอยู่ระหว่างสองนิ้วของเขา, ซึ่งทำให้ตอนนี้มันงอจนเกิดเป็นมุมแปลกๆ

แฮกๆ!

ในที่สุดหลิน ฉีก็สามารถสูดอากาศเข้าไปได้ด้วยความยากลำบาก เขาพ่นใบไม้แห้งกับเศษดินออกมาจากปากของเขา, และในตอนที่เขาได้เผชิญกับสีหน้าอันเย็นชาของชายชราผู้นี้, มันก็เหมือนกับว่าเขาได้คำตอบที่ต้องการแล้ว, เขาพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีจอมยุทธอยู่จริงๆสินะ, แถมไม่ใช่ระดับธรรมดาซะด้วย!”

“ท่านบินได้ไหม? มีดาบบินได้รึเปล่า? แล้วเวทมนตร์หล่ะ?” ภายใต้สายตาตกตะลึงของชายชราผมหงอก, ชายหนุ่มที่ใบหน้าช้ำไปด้วยเลือดก็สามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยความยากลำบาก, และถามเขาด้วยความกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุด

“กลับมาขึ้นรถม้าซะ ถ้าเจ้าลองทำแบบนั้นอีก, ข้าจะหักแขนเจ้าทิ้ง” หลังจากที่ชายชราเขม่นตาตรวจดูสภาพของหลิน ฉี เขาก็หันกลับ, แล้วพูดออกมาเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเด็ดขาด

หลิน ฉีที่ไม่ได้ตอบกลับไปส่ายหัวอย่างจนปัญญา, และจากนั้นเขาก็พูดออกมาเบาๆ

“จงหวนกลับ”

จากนั้น, หลิน ฉีก็กลับมาอยู่ข้างในรถม้าจริงๆ, กลับไปยังตอนแรกที่เขาเอามีดออกมาจากกระสอบผ้า เขายังคงนั่งพิงพำนักนุ่มๆ, ด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด, และไม่มีบาดแผลที่หน้าเลยแม้แต่น้อย

มีดที่ถูกงอจนเสียรูปไปแล้วเองก็กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ข้างในกระสอบผ้าของเขา, ในขณะที่ชายชราที่ปล่อยจิตสังหารอันน่าอึดอัด, และกลิ่นอายเลือดที่เหมือนกับภูเขาศพผสมทะเลเลือดออกมาเมื่อสักครู่นี้ก็ยังคงเป็นแค่ชายชราธรรมดาคนนึง, ที่งีบหลับเป็นพักๆอยู่ข้างหน้ารถม้า, โดยไร้ซึ่งอันตรายอย่างสมบูรณ์

ด้วยบรรยากาศที่สดใสและงดงามของฤดูใบไม้ผลิ, รถม้าคันนี้ก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือตามปกติเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรเลย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด