คาถาที่ 6 : ผู้ดูแลหนังสือ
หายไปสักพัก
ร่างของไหมก็กลับมายืนข้างเตียงผมพร้อมกับผ้าขนผืนเล็กและขันพลาสติกที่มีน้ำอยู่ภายใน เห็นแล้วสยองยังไงไม่รู้ ผมเกลียดเวลาที่ตัวเองป่วยเป็นไข้มากที่สุด ตั้งแต่ตอนเด็กแล้ว ไม่โอเคกับการเช็ดตัวด้วย มันหนาว มันทรมาน อยากแค่กินยาแล้วนอนอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ เลยไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่เห็นว่าคนเช็ดตัวให้เป็นไหมเลยยอม แต่ก็ยังไม่อยากสัมผัสโดนอะไรเย็น ๆ อยู่ดี
“หนาวอะไหม ไม่เช็ดตัวได้ปะ” ผมพูดออกไป พลางยื้อผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ไว้แน่น
“ก็เป็นไข้ มันก็ต้องหนาวดิ อย่ามาดื้อ” ไหมตอบผมกลับมาพร้อมกับดึงเกราะป้องกันตัวผมออก
ยื้อยุดอยู่สักพัก ในที่สุดร่างเปลือยท่อนบนของผมก็ปรากฏแก่สายตาของไหม โชคดีที่พักหลังได้เข้าฟิตเนสฟิตหุ่นเอาไว้บ้าง ไม่งั้นได้โชว์พุงวันแพ็คให้ไหมดูแน่ ๆ ผมคงเสียคะแนนน่าดู
ผ้าผืนบางที่ถูกจุ่มน้ำหมาด ๆ ค่อย ๆ เช็ดลงมาตามแผงอก และลำตัวผมเรื่อย ๆ ขนลุก หนาวโว้ย ถ้าผมไม่ได้เป็นไข้นะ จะยอมให้จับ ให้เช็ดทุกส่วนเลย แต่จะว่าไปตอนนี้มันก็เคลิ้มดีนะ
“นี่อาบน้ำบ้างปะเนี่ย เช็ดทีขี้ไคลออกมาเต็มเลย”
โห ไหมก็พูดเกินไป อะไรจะขนาดนั้น ผมไม่ได้เป็นคนซกมกมากมายซะหน่อย
“อาบดิ โอ๊ย ! จะเช็ดให้เนื้อหลุดหรือไง มือหนักชะมัด” ผมร้องออกมา เมื่ออยู่ดี ๆ ผ้าที่ใช้เช็ดตัวผมก็เสียดสีกับเนื้อจนเกิดเป็นรอยแดงเหมือนคนเช็ดหมั่นไส้ เจ้าตัวคงอยากเอาคืนผมที่ไปแกล้งเขาก่อนหน้านี้
ทนหนาวเกือบห้านาที ไหมก็เช็ดตัวให้ผมเสร็จจนได้ เจ้าตัวหยิบผ้าใส่ลงไปในขัน ทำท่าจะลุกเอาข้าวของที่เช็ดตัวไปเก็บแต่ผมดึงมือไหมไว้ก่อน
“เสร็จแล้ว มีไรอีก” ไหมพูดออกมา
“แล้วข้างล่างอะ ไม่เช็ดให้เหรอ” ผมแกล้งพูดออกไป
“ไอ้ทะลึ่ง !”
แล้วปากผมก็หาเรื่องเจ็บตัวให้กับตัวเองอีกจนได้ ฝ่ามือไหมทุบมากลางท้องดังบึก เกร็งแทบไม่ทัน ผมหัวเราะขำที่ได้แกล้งคนที่เพิ่งเดินออกไปได้สำเร็จอีกครั้ง บางทีการที่ได้อยู่กับไหมมันก็ทำให้ผมลืมเรื่องราวหลอน ๆ ไปจนหมด รู้สึกดีจนเหมือนกำลังจะหายป่วยเลย
คีย์กับอิฐเข้ามาพร้อมกันพอดีในตอนเกือบบ่ายโมง นี่ผมเกือบลืมเรื่องหิวไปแล้วนะเนี่ย ไม่รู้ไอ้อิฐมันไปซื้อของถึงไหนกัน กว่าจะกลับมาได้ พวกเราขึ้นมานั่งกินข้าวกลางวันบนห้องของผม เพราะผมบอกไม่มีแรงจะลงไปชั้นล่างอีกแล้ว ซึ่งอาการไข้ที่เป็นอยู่ มันก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยแล้วแหละ ไม่ค่อยมึนหัวแล้ว หลังจากผ่านคืนนี้ไปก็น่าจะหาย ไหมเข้ามาแตะหน้าผากผมอีกครั้งหลังจากพวกเราทานข้าวเสร็จ เจ้าตัวบอกว่าไม่ร้อนเหมือนตอนแรกแล้ว สงสัยคงเป็นเพราะผมได้พยาบาลดีด้วยล่ะมั้ง ร่างกายมันถึงได้ฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้
“สรุปมึงเผาไปแล้วใช่ปะ” คีย์พูดขึ้น หลังจากผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้มันฟังเหมือนที่เล่าให้ไอ้อิฐฟัง
“อื้ม” ผมตอบมันไป ดูมันทำหน้าเป็นกังวล มีอะไรอีกวะ
“กูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ของต่างประเทศ หรือพิธีกรรมอะไรแปลก ๆ ที่มึงเล่าหรอกนะ ตอนแรกกูคิดว่ามึงหลอนไปเองซะอีกเพราะดูหนัง แต่ตอนนี้กูเชื่อสิ่งที่มึงพูดแล้วว่ามีจริง กูว่าหนังสือเล่มนั้นมันน่าจะเกี่ยวกับพวกแม่มดอะ ที่กูลงไปประชุมเขาก็พูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ แล้วทางต่างประเทศเขาก็ให้ยมทูตในไทยช่วยตรวจสอบด้วย”
“เดี๋ยวนะ กูงง แม่มดอะไรของมึง แล้วเกี่ยวอะไรกับหนังสือที่กูเก็บได้” ผมถามออกไป เหมือนจะฟังที่มันพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร ประโยคท้าย ๆ เหมือนมันพูดให้ตัวเองเข้าใจคนเดียวมากกว่า
“คืองี้ การประชุมเมื่อวานมันเกี่ยวข้องกับการตายของชาวต่างชาติที่เป็นข่าวดังเมื่อสองอาทิตย์ก่อน วิญญาณของผู้หญิงที่ตายไม่ได้กลับไปหายมทูตในประเทศเขา ถ้าจะให้กูเปรียบเทียบ ก็คงเหมือนคนที่ตายโดยถูกคุณไสยเล่นงานแล้วดวงวิญญาณกลายไปเป็นทาสของพวกหมอผีอะไรแบบนั้น แต่ยมทูตต่างประเทศเขาบอกว่าเป็นการกระทำของพวกแม่มด”
“แล้วเรื่องหนังสือที่กูเล่าให้มึงฟังมันเกี่ยวอะไรด้วยอะ” ผมถามต่อ
“ก็ตามที่ยมทูตต่างประเทศเขาบอกมา การตายแบบผิดธรรมชาติแบบนี้มักเกิดจากพวกแม่มดต่อสู้กัน มันมีแม่มดสองกลุ่มต่างตามฆ่ากันเพื่อตามหาหนังสือเล่มหนึ่งมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ยมทูตไม่ได้เข้าไปยุ่งเนื่องจากไม่ใช่เรื่องของยมทูต พวกเขายุ่งแต่กับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น” ไอ้คีย์ตอบผมกลับมา
“นี่มึงคิดว่า ไอ้เล่มที่กูเก็บได้มันคือเล่มเดียวกันกับเรื่องที่มึงไปประชุมมาเหรอ” ผมพูดออกไป ในใจตอนนี้ขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย ผมไม่อยากเข้าไปพัวพันกับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบไอ้คีย์ ทุกวันนี้ชีวิตก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว
“ก็ไม่แน่ มึงเคยบอกว่าคนที่ชนมึงแล้วทิ้งหนังสือเล่มนี้ไว้ไม่ใช่คนไทยหนิ”
ไอ้คีย์ ! กูเกลียดมึง มึงทำให้กูคิดมากเลยเนี่ย
“จริงด้วยว่ะ แล้วกูจะถูกตามฆ่าใช่ไหมเนี่ย” ผมพูดออกไปอย่างสติแตก หรือว่าไอ้พวกคนประหลาดที่ผมเห็นในความฝันมันคือพวกพ่อมดแม่มด พวกมันมีอยู่จริง !
“เฮ้ย มึงอย่าเพิ่งคิดมาก มึงคงไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นหรอก” ไอ้คีย์พูดขึ้นมาเบา ๆ เหมือนปลอบใจผม แต่น้ำเสียงมันดูไม่ได้มั่นใจเลยด้วยซ้ำ นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย และที่สำคัญถ้ามันเป็นเล่มเดียวกันจริง … ผมเผาไอ้หนังสือที่เขาแย่งกันเป็นร้อยปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เที่ยงคืน
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะคอแห้งหิวน้ำ อาการไข้เหมือนจะหายไปแล้ว แต่ความขี้เกียจของผมยังคงอยู่ แทบไม่อยากลุกจากเตียงไปเอาน้ำมากินเลย ทั้ง ๆ ที่มันก็วางไว้อยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสือในห้องนั่นแหละ ม๊าเอาขึ้นมาวางไว้ให้ผมหลังจากกลับมาจากเที่ยว พวกเพื่อน ๆ ก็กลับหอกันไปหมดแล้ว ผมบอกพวกมันว่าอยากนอนอยู่บ้านอีกคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปมหาวิทยาลัยเพราะมีเรียนตอนบ่ายพอดี น่าจะไปเองไหว
ย้อนกลับมาตอนนี้ ตาผมยังไม่ลืมเลย แต่อยากกินน้ำอะ
ถ้าแก้วน้ำมันลอยมาหาผมตรงเตียงได้ก็คงจะดี …
คิดแล้วก็ถอนหายใจก่อนดันตัวเองลุกขึ้น ผมลืมตาปรับสายตาให้เข้ากับความมืดสักพักก่อนเปิดโคมไฟข้างเตียงนอน พอผมหันกลับมาเจอภาพตรงหน้า ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมเด้งตัวลุกจากเตียงขึ้นมาทันที
กะ…แก้วน้ำลอยได้
ตุบ ! น้ำหกเลอะที่นอนผมพร้อมกับแก้วน้ำที่หล่นลงมาบนเตียง
นะ … นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับตัวผมอีกแล้วเนี่ย !
ภายในห้องหนึ่งของคอนโดหรูใจกลางเมือง ร่างของเด็กหนุ่มลูกครึ่งไทยกำลังยืนเหม่อมองออกไปด้านนอกของห้องผ่านกระจกใสบานใหญ่ ใบหน้าที่ประกอบไปด้วยสองเชื้อชาติดูเข้ากันอย่างประหลาดจนคนมองอาจจะหลงเสน่ห์เจ้าตัวเอาง่าย ๆ บุคลิกภายนอกดูเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดีและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แต่ ณ เวลานี้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยจากการจากไปของผู้เป็นแม่
เขาเคยเสียพ่อไปคนแล้วตอนที่ยังอยู่ด้วยกันที่อเมริกาเมื่อสิบกว่าปีก่อน เหตุผลเพียงเพราะแม่เลือกที่จะปกป้องของสำคัญที่ตระกูลของเขาได้เก็บรักษาเอาไว้จากอีกฝ่ายที่ต้องการมัน หลังจากนั้นเขาและแม่จึงย้ายหนีมาที่บ้านเกิดของพ่อที่ประเทศไทยจนเกือบสิบปี ไม่คิดเลยว่าในที่สุดฝ่ายนั้นก็ตามหาครอบครัวเขาจนเจอ และทำให้แม่ของเขากลายเป็นอีกคนที่ต้องตาย
สาเหตุเป็นเพียงเพราะหนังสือบ้า ๆ นั่นเล่มเดียว ...
เสียงกดกริ่งที่ดังขึ้นมา ทำให้สายตาที่เหม่อมองอะไรเรื่อยเปื่อยนอกห้องละสายตาจากภาพตรงหน้า เจ้าตัวหมุนตัวกลับก่อนเดินไปที่ประตูห้องเพื่อเปิดประตูให้กับคนที่มา ไม่ลืมที่จะส่องตาแมวที่ประตูดูว่าไม่ใช่บุคคลที่จะมาตามล่าเขาเพราะหนังสือเล่มนั้นอีก
บุคคลที่เดินเข้ามาภายในห้องเป็นหญิงชาวต่างชาติวัยสามสิบต้น ๆ ใบหน้าจัดว่าหน้าตาดีทีเดียว แต่สีหน้าของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาไม่ค่อยดูดีตามหน้าตาเท่าไร เจ้าตัวเดินมานั่งลงบนโซฟากลางห้อง ก่อนหยิบของอะไรบางอย่างจากกระเป๋าถือของต้นเองขึ้นมา
“นี่เป็นของที่แม่เราซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ตัวเอง น้าเพิ่งหาเจอเมื่อวานก่อน ทีนี้เราน่าจะได้เบาะแสของหนังสือเล่มนั้นบ้างล่ะ” หญิงวัยสามสิบต้น ๆ พูดออกมา พร้อมยื่นสิ่งที่ได้มาให้กับเด็กหนุ่มลูกครึ่งผู้เป็นหลาน
“นี่มันเศษทิชชูเปื้อนเลือดหนิครับ” เด็กหนุ่มลูกครึ่งรับมาพร้อมทำหน้าสงสัย ไม่เข้าใจว่าเศษทิชชูเปื้อนเลือดนี่เกี่ยวอะไรด้วยกับการตามหาหนังสือที่แม่ของเขาได้เคยดูแลไว้
“มันคงสำคัญน่าดู เจ้าตัวถึงได้เก็บเอาไว้ และมันไม่น่าจะใช่เลือดของแม่เราด้วย น้าตรวจสอบแล้ว” คนถูกถามตอบกลับมา
“นี่น้ากำลังจะบอกว่าเราต้องตามหาเจ้าของเลือดนี่เหรอครับ”
“ใช่ ก่อนที่คนพวกนั้นมันจะหาเจอก่อนเรา”
“น้าครับ ผมไม่เข้าใจ ทำไมตระกูลเราต้องปกป้องหนังสือเล่มนั้นด้วย พ่อแม่ผมทั้งคู่ก็ตายไปแล้วเพราะไอ้หนังสือนั่น เราปล่อย ๆ มันไปไม่ได้เหรอครับ ไม่ต้องไปตามหาหรอก ปล่อยให้ฝ่ายนู้นมันตามหาแล้วเอาไปก็ได้” เด็กหนุ่มพูด เขาอยากจะพอสักทีกับเรื่องพวกนี้ อยากจะใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนคนทั่วไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่ต้องมาถูกตามล่าแบบนี้
“ไม่ได้ ! มันเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องเก็บรักษาหนังสือนั่นไว้ไม่ให้พวกมันเอาไปได้”
ประโยคแรกดังขึ้นมาจนเกือบกลายเป็นเสียงตวาด ส่วนประโยคหลังเมื่อเห็นคนเป็นหลานก้มหน้า เจ้าตัวจึงลดระดับเสียงของตัวเองลงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอาจจะใส่อารมณ์มากจนเกินไป
“เราก็รู้ ว่าน้าไม่มีพลังเวทมนตร์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเหมือนเรา ไม่งั้นน้าคงทำเองไปแล้ว” คนเป็นน้าพูดต่อ
“แต่การที่จะตามหาใครสักคนจากเลือด เราต้องใช้มนต์ดำนะครับ” เด็กหนุ่มพูดออกไป เขาไม่ค่อยอยากทำเรื่องแบบนี้สักเท่าไรนัก การใช้มนต์ดำต้องมีการฆ่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ที่สำคัญเขารู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่ต้องทำเรื่องแบบนี้
“เราไม่มีทางเลือก เตรียมของให้พร้อม คืนนี้เราจะลงมือกัน ยิ่งหาคนเอาหนังสือไปได้เร็วเท่าไร เราจะได้ไปจากประเทศนี้เร็วขึ้นเท่านั้น”
เด็กหนุ่มลูกครึ่งถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ในชีวิตนี้เขาจะต้องหนีไปไหนอีก เมื่อไรเรื่องพวกนี้มันจะจบลงสักที
ทิชชูแผ่นหนึ่งที่มีคราบเลือดติดอยู่ถูกวางไว้ท่ามกลางแท่งเทียนนับสิบแท่งที่เปลวไฟลุกไสวล้อมรอบมัน ร่างของเด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องไปที่กระดาษทิชชูเปื้อนเลือดแผ่นนั้นอย่างแน่วแน่พร้อมกับพึมพำคาถาอะไรบางอย่างออกมา ตรงหน้าของเจ้าตัวมีจานวางอยู่พร้อมกับลูกตาของสัตว์อยู่บนนั้น มันเป็นดวงตาของแมวจรจัดโชคร้ายที่น้าเขาจับมันได้ด้านล่างของคอนโด วัตถุดิบสำคัญในการตามหาเจ้าของเลือดบนกระดาษทิชชู
หลังจากคาถาถูกท่องจนเสร็จ มือขวาของเขาก็หยิบมีดด้ามเล็กขึ้นมา ก่อนจะกรีดไปที่อุ้งมือของตนเอง เจ้าตัววางมีดลงก่อนยื่นมือข้างที่กรีดไปหาจานที่วางอยู่ตรงหน้า เลือดค่อย ๆ ไหลออกมาลงสู่จานใบนั้น เลือดชุ่มไปทั่วดวงตาของแมว
อยู่ ๆ เปลือกตาของผู้ทำพิธีก็ค่อย ๆ ปิดหลง ก่อนจะเปิดขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงตาขาวของเจ้าตัวเท่านั้น ตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยปรากฏอยู่ได้หายไปแล้ว นั่นหมายความว่าสิ่งที่เขาทำมันได้ผลแม้จะไม่เคยลองใช้คาถานี้มาก่อนก็ตาม
ภาพของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ปรากฏขึ้นมาในความคิดของผู้ทำพิธี ร่างนั้นกำลังยืนอยู่ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าเหมือนรอคอยใครบางคน ไม่นานหญิงวัยกลางคนก็วิ่งมาชนเขา หญิงคนนั้นคือแม่ของเขานั่นเอง เด็กหนุ่มที่โดนชนล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง จนมือขูดกับพื้นคอนกรีตทำให้เลือดไหลออกมาเล็กน้อย แม่ของเขาจึงหยิบทิชชูจากกระเป๋าถือของตัวเองมาเช็ดให้แล้วขอโทษขอโพย หลังจากนั้น แม่ก็จงใจทิ้งถุงหิ้วที่ใส่หนังสือไว้ให้คนคนนั้น
เขากำลังจดจำรายละเอียดหน้าตาของคนที่เอาหนังสือไป เขาต้องการข้อมูลมากกว่านี้ คาถาที่ใช้จะเห็นได้เฉพาะเรื่องราวในอดีตจนถึงช่วงที่เลือดไหลออกมาเท่านั้น มันต้องมีมากกว่านี้ซิ ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นมากมายถาโถมเข้ามาในความคิด ก่อนที่เขาจะเลือกมาหนึ่งภาพที่น่าจะได้ข้อมูลมากที่สุด ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังเดินมากับกลุ่มเพื่อนนักศึกษา ภาพซูมเข้าไปใกล้ที่บริเวณหัวเข็มขัดของเจ้าตัวทำให้ทราบถึงมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ และเขาโชคดีไปอีกที่เพื่อนอีกคนของเด็กหนุ่มคนนั้นใส่เสื้อคลุมของคณะ
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะตามหาคนคนนั้นแล้ว ...
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของผู้ทำพิธี
ร่างของผู้ทำพิธีปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ก่อนลืมขึ้นมาใหม่ คราวนี้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาได้กลับมาแล้ว คนถูกถามหันกลับไปมองคนถามแล้วพูดขึ้น
“ผมเห็นหน้าเจ้าของเลือดแล้วครับ” เขาพูด
“ดีมาก เราจะได้เอาหนังสือนั่นกลับมาสักที ก่อนที่ฝ่ายนั้นมันจะได้ไป เขาเป็นใคร ได้รายละเอียดมาไหม” คนถามถามต่อ
“เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม อยู่คณะวิศวะ”
“ไปหาทางตีสนิทแล้วเอาหนังสือนั่นกลับมา เข้าใจไหม”
“ครับน้า”
เมี้ยว … เสียงร้องของแมวดังขึ้นมา ก่อนที่มันจะเดินเยื้องย่างเข้ามาใกล้บริเวณที่เขาใช้ทำพิธี เด็กหนุ่มลูกครึ่งหันไปมองมัน ใช้ผ้าที่วางอยู่ข้างตัวพันแผลที่กรีดไว้ที่อุ้งมือตัวเอง ก่อนจับตัวแมวตัวนั้นมาอุ้มไว้บนตัก
“ฉันขอโทษนะที่เอาตาแกไปหนึ่งข้าง” เด็กหนุ่มพูดอย่างอ่อนโยน รู้สึกสงสารแมวตัวนั้นจับใจ
“แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปนี้ฉันจะดูแลแกเอง”
เมี้ยว … เสียงร้องของแมวสีดำดังขึ้นมาอีกครั้งคล้ายตอบรับ ก่อนตัวมันจะเอาตัวเองคลอเคลียกับร่างเจ้านายคนใหม่ ดวงตาข้างหนึ่งของมันลึกกลวงโบว๋อย่างน่ากลัว และยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา แต่ดูมันยังคงเป็นมิตรไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย
“นี่แกไม่ได้ฆ่ามันเหรอ ใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอาได้ ตามันหายไปแบบนี้” คนเป็นน้าพูดขึ้น
“ผมทำไม่ลงหรอกน้า แค่นี้มันก็แย่มากพอแล้ว” เด็กหนุ่มบอกกลับไป
“ตามใจ เลี้ยงมันไว้ดี ๆ อย่าให้ออกไปเพ่นพ่านละกัน”
“ครับ”