บาทที่ 41
บาทที่ 41
พวกเขาเข้าพบกับเจ้าสำนักเซียนห้าธาตุซึ่งเมื่อได้รับแจ้งจากผู้อาวุโสแล้ว พวกเขาก็เรียกประชุมผู้อาวุโส ก่อนที่จะให้จินหลินเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังอีกรอบ
ข้อมูลนี้สร้างความตระหนกให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก เพราะว่านี่หมายความว่าคนจากทวีปมาร ทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกได้ส่งกองกำลังรุกรานมายังทวีปนี้แล้ว
ผู้อาวุโสหลายคนถูกส่งไปยังทะเลทรายเก้าพิโรธเพื่อตรวจหาข้อมูลตามที่พวกจินหลินได้แจ้งเบาะแสไว้ให้ แม้ว่าพวกเขาไม่พบตัวคนทวีปมาร แต่พวกเขาก็พบกลิ่นไอมาร
สำนักเซียนห้าธาตุได้ส่งข่าวสารไปยังสำนักต่างๆทั่วทวีป และก็พบว่ามีสำนักขนาดเล็กและกลางหลายสำนักที่ไม่ตอบกลับ สำนักต่างๆเหล่านี้เป็นสำนักที่อยู่ทางด้านตะวันตกของทวีป
ข่าวสารถูกส่งมาอย่างรวดเร็วว่าสำนักเซียนที่อยู่ทางด้านตะวันออกของทวีปนั้นถูกล้างสำนักไปเป็นจำนวนมาก และตอนนี้เกิดการปะทะที่สำนักเซียนเจ็ดเมฆา แต่ก็มีสำนักหลายสำนักได้เข้าร่วมต่อสู้
เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นอย่างเงียบๆเมื่อสองวันก่อนในช่วงเวลาที่พวกหงเซียวยังไม่ฟื้นคืนสติ
ทุกคนที่อยู่ในชั้นปฐมเซียนระดับห้าขึ้นไปของทุกสำนักถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยรบที่แนวหน้า ทิ้งผู้อาวุโสไว้บริหารสำนักเพียงสามคน
พวกหงเซียวทุกคนได้ถูกส่งให้ไปที่สนามรบด้วย
ชิวเยว่มีสีหน้าร้อนรน เมื่อนึกว่าสำนักของตนเองเป็นสมรภูมิรบ แต่อย่างไรก็ตามการจะแยกตัวไปนั้นก็อาจจะพบกับเหตุการณ์เหมือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีกก็เป็นไปได้ อีกทั้งการเดินทางด้วยยานบินของสำนักนั้นเร็วกว่าเดินทางด้วยตนเองเป็นอย่างมาก
สี่สาวที่เหลือพากันเข้าปลอบโยนเธอให้หายกังวล ขณะเดียวกันพวกเขาและเธอก็รีบเร่งสร้างผึ้งเซียน ขณะที่ภูษาเซียนนั้นต่างพากันโคจรพลังรวบรวมพลังเซียนเตรียมตัวต่อสู้ เช่นเดียวกันผึ้งเซียนของหงเซียวก็จัดสร้างชุดป้องกันใหม่ๆที่เหมาะสมกับการต่อสู้กับวิชามารอย่างเร่งรีบ
ครืน ครืน ครืน ยานบินสั่นสะเทือนเมื่อพวกเขาเข้ามาในเขตสนามรบซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางหลายร้อยตารางกิโลเมตรเหนือฟากฟ้า ลูกหลงจากการสู้กันของเซียนและมารปะทะเข้ากับม่านพลังของยานหลายต่อหลายครั้ง
การต่อสู้ส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้ของระดับมัชฌิมเซียนของทั้งสองฝ่าย จวบจนเมื่อเข้าไปใกล้กับสำนักจึงพบเห็นการต่อสู้ของระดับปฐมเซียน ซึ่งกินอาณาเขตน้อยกว่า
พื้นที่รอบบริเวณสำนักเซียนเจ็ดเมฆานั้น เป็นเทือกเขาน้อยใหญ่หุบเหวลึกล้ำป่าลึก กินพื้นที่กว่าหมื่นตารางกิโลเมตร สำนักเซียนเจ็ดเมฆานั้นเป็นยอดเขาเจ็ดยอดที่เรียงรายอยู่ใกล้กันและล้วนมีความสูงเสียดเมฆ
หงเซียวและห้าสาวงามสบตากันก่อนจะกระโดดออกไปจากยานบินเข้าสู่การรบหนึ่งที่บริเวณหน้าสำนักเซียนเจ็ดเมฆา ซึ่งตอนนี้เซียนหลายคนได้ตกเป็นรอง
แสงวาบเกิดขึ้นที่มุ่นมวยผมของซีชี่ ปิ่นปักผมของเธอเปล่งแสงเป็นลำยิงเข้าใส่ร่างของมารคนหนึ่งที่ขวางทางอยู่ เพราะว่าแสงอันตรายนี้พุ่งออกไปด้วยความเร็วแสง จึงไม่มีใครที่จะสามารถหลบได้
แสงนั้นตัดแขนมารนั้นขาดออกไปหนึ่งข้างพร้อมกับพลังมารที่ครอบร่างมารอยู่นั้นพลันสลายไปจนหมดสิ้น มารคนนั้นร้องเสียงโหยหวนขณะที่ร่วงลงไปสู่พื้นจากที่สูง เซียนที่กำลังต่อสู้ติดพันอยู่ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้เสียไป เขาใช้อาวุธฟาดทำลายร่างของมารนั้นทันที
ซีชี่ได้ถ่ายทอดวิชาเซียนโชติช่วงให้กับพวกเขา และถึงแม้ว่าจะไม่ได้สร้างภูษาเซียนโชติช่วงกันจนครบทุกคน แต่พวกเขาก็สามารถบังคับลำแสงของไข่มุกในร่างได้แล้ว
จินหลินซึ่งมีภูษาเซียนไม่กี่ผืนได้สร้างภูษาเซียนโชติช่วงตามซีชี่เมื่อเห็นพลังทำลายอันมากมายของภูษาเซียนนี้ และด้วยการให้ซีชี่ช่วยประจุพลังทำให้ภูษาเซียนของเธอมีความสามารถเทียบเท่ากับภูษาเซียนของซีชี่ทันที
จินหลินใช้พลังเซียนโชติช่วงของเธอผ่านแหวนที่นิ้ว แสงของมันตัดร่างมารตนหนึ่งขาดสะบั้น ผึ้งเซียนของซีชี่และจินหลินนั้นต่างพากันยิงแสงไปทั่ว สภาพที่มารกำลังได้เปรียบนั้นพลิกผันไปในทันใด
ภูษาเซียนนาคาพากันนั่งอยู่บนหลังของผึ้งเซียนที่มึความสามารถในการบิน แล้วเข้าโจมตีศัตรูโดยใช้ทั้งอาวุธระยะไกลและระยะประชิด ขึ้นกับว่าพวกเขามีอาวุธประเภทไหนกัน
นอกจากนี้แล้ว ซีชื่ยังใช้หิ่งห้อยของเธอจำนวนมากสร้างแสงทำลายล้างศัตรูอย่างได้ผล
ชิวเยว่เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สร้างภูษาเซียนโชติช่วงด้วย ดังนั้นเธอจึงอาละวาดได้ไม่ด้อยไปกว่าจินหลิน
พวกเขาเคลื่อนจากสมรภูมิหนึ่งไปยังอีกสมรภูมิหนึ่ง วิชามารที่อาวุธไม่ระคาย วิชาเซียนทั่วไปไม่อาจทำลาย แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับแสงของพวกเขาได้ เพราะว่าพวกเขาได้มีประสบการณ์การต่อสู้กับมารมาแล้ว ครั้งนี้พวกเขาจึงใช้วิชาที่เด่นในด้านการต่อสู้กับวิชามารมาใช้
“พวกเราถอยกลับเข้าไปในสำนักก่อน” หงเซียวกล่าวกับบรรดาหญิงสาว เมื่อเห็นพวกเธอเริ่มพลังร่อยหรอลง
วิชาเซียนโชติช่วงนั้นส่วนใหญ่แล้วกินพลังไม่มากนัก แต่การสร้างความเข้มข้นของพลังเฉพาะจุดนั้นกินพลังมหาศาล ถึงแม้ว่าพวกเธอจะมีภูษาเซียนช่วยโคจรพลังเซียน แต่ว่าก็ไม่ทันกับความต้องการใช้
ตอนนี้พวกเธอเหลือพลังไม่มากแล้ว หงเซียวจึงชักชวนพวกเธอเข้าไปในสำนักเพื่อพักผ่อน
สถานการณ์การรบหน้าสำนักเซียนเจ็ดเมฆาผ่อนคลายลง แต่ว่าการรบในจุดอื่นนั้นคนของสำนักเจ็ดเมฆาไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย และมารก็เริ่มส่งกำลังเสริมมาที่หน้าสำนักเจ็ดเมฆา ความได้เปรียบตรงหน้าสำนักดูจะอยู่ได้ไม่นาน
พวกเขาเข้าไปในสำนักเซียนเจ็ดเมฆา ยอดเขาหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด การสู้รบระหว่างเซียนนั้นปกติจะกินเวลายืดยาว พวกเขาพอมีเวลาที่จะพักฟื้นพลังอยู่บ้าง และอย่างน้อยผู้ที่ไม่ต้องพักก็คือภูษาเซียนนาคาที่สามารถต่อสู้ได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งผึ้งเซียนที่ใช้ร่างเพลิงกระสุนเพลิงก็ช่วยได้มากและไม่สิ้นเปลืองพลังเท่ากับพลังแสงของสำนักเซียนโชติช่วง
“เจ้าสำนักต้องการพบพวกเจ้าทุกคน” ศิษย์สำนักเซียนเจ็ดภูษาคนหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาหาพวกเขา พวกเขาได้แต่สบตากันฝืนยิ้มและติดตามศิษย์คนนั้นไปทันที
พวกเขาต้องบินข้ามยอดเขาไปยังยอดเขาหลักที่สูงที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ด และตรงเข้าไปในห้องประชุมขนาดใหญ่ตามหลังศิษย์คนนั้น
ที่นั่นเจ้าสำนักจากที่ต่างๆได้มารวมตัวกัน และกำลังถกถึงแผนการที่จะทำต่อไป
พวกเขาไปยืนรวมอยู่กับกลุ่มศิษย์กลุ่มหนึ่งที่ด้านข้างฟังเจ้าสำนักพูดถึงสิ่งที่กำลังทำกันอยู่
“การต่อสู้ที่ข้างนอกนั้นสำนักของพวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจต่อกรกับพวกมันได้ มีเพียงสำนักบางสำนักที่ฝึกวิชาเกี่ยวกับไฟ สายฟ้า และแสงสว่างเท่านั้นที่พอจะข่มพวกมันได้ การต่อสู้นี้พวกเราจะเพิ่มความได้เปรียบได้อย่างไร” เจ้าสำนักเซียนห้าธาตุกล่าว “กระทั่งสำนักเราก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าสำนักเรากว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์ฝึกเน้นด้านธาตุไฟ แต่ที่เหลือก็ไม่อาจทำอันตรายศัตรูได้ กำลังรบของเราไม่สามารถใช้งานได้ทั้งหมด”
เจ้าสำนักเซียนส่วนใหญ่เห็นพ้อง เพราะว่ามีเพียงบางส่วนที่สามารถต่อสู้ได้เปรียบ แต่ส่วนใหญ่ก็เหมือนเอามาถมจำนวนมากกว่า ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย แต่จะให้ดูดายนิ่งเฉย นั่นก็ไม่ใช่วิสัย ความเป็นความตายของพวกเขาจะฝากไว้ในมือคนอื่น
“ถ้าหากเราใช้อาวุธประเภทแสง ไฟ หรือสายฟ้าล่ะ” เจ้าสำนักเซียนสร้างสรรค์เอ่ยถาม
“นั่นก็ใช้ได้เหมือนกัน” เจ้าสำนักเซียนพรตเอ่ยตอบ “พวกเรามียันต์กระบี่แสง สามารถใช้ฟาดฟันพวกนั้นได้ แต่ว่ายันต์นั้นใช้ฟาดฟันได้เพียงครั้งเดียว”
“ถ้าเช่นนั้นสำนักเซียนสร้างสรรค์ของเราจะสร้างอาวุธให้พวกท่านเอง” เจ้าสำนักเซียนสร้างสรรค์กล่าวอย่างกระตือรือล้น
“ยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง สำนักเซียนโพ้นทะเลของพวกเราได้พบว่าศัตรูได้ส่งคนออกไปขอกำลังเสริม เพราะว่าพวกเราตื่นตัวก่อน ทำให้การลอบจู่โจมของพวกมันกลายเป็นการต่อสู้ประจันหน้า พอพวกมันเห็นว่าไม่ได้เปรียบก็เลยส่งคนออกไปเรียกกำลังเสริม” เจ้าสำนักหนึ่งกล่าว เขาแต่งกายเหมือนกับชาวประมงทั่วไป หงเซียวกับสาวๆพากันตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อว่าเซียนสำนักนี้จะมีชุดประจำสำนักแบบนี้
“มิน่าที่พวกมันดูเหมือนไม่โจมตีแตกหัก แต่พยายามต่อสู้ยืดเยื้อ นั่นก็คงเพื่อถ่วงเวลาให้กำลังเสริมมาถึง” เจ้าสำนักเซียนโชติช่วงกล่าวอย่างครุ่นคิด
“ถ้ากำลังเสริมของพวกมันมาถึง พวกเราคงย่อยยับแน่ เป็นไปได้ไหมที่เราจะไปขอกำลังเสริมจากทวีปอื่น” เจ้าสำนักเซียนห้าธาตุเอ่ยถาม
“เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อทวีปมารเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็น่าจะยกกำลังมาได้ในทันที แต่หากเราไปขอกำลังเสริม นอกจากระยะทางจะไกลกว่าแล้ว ก็ยังต้องคิดให้หนักว่าทวีปอื่นนั้นจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า อย่าว่าแต่ทวีปอื่นนั้นจะต้องเรียกประชุมสำนัก รวบรวมคนอีก” เจ้าสำนักเซียนโชติช่วงตอบ
“เรามีเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่ ก่อนที่ทวีปมารจะมาถึง” เจ้าสำนักสร้างสรรค์เอ่ยถาม
“น่าจะประมาณสองเดือน” เจ้าสำนักเซียนโพ้นทะเลเอ่ยตอบ
“เรียนท่านเจ้าสำนัก พวกเราพบร่องรอยไอมารในทะเลทรายเก้าพิโรธ” คนของสำนักเซียนสกุณาคนหนึ่งวิ่งปราดเข้ามาด้วยท่าทีตระหนก