บทที่ 269 ชัยชนะ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ปึง ปึง ปึง!”
เสียงเดินทัพดังสะเทือนมาจากทางตะวันตกของเมืองเทียนชิง กองทัพสัตว์อสูรกำลังจะเคลื่อนทัพมาถึง กองทัพทหารนับหมื่นที่เรียงรายอยู่บนกำแพงเมืองเริ่มตึงเครียดในขณะที่ทุกคนพากันมองไปทางทิศตะวันตก
ทางตะวันตกของเมืองเทียนชิงนั้นเป็นที่ราบ จึงทำให้มองเห็นขบวนทัพสีดำที่สุดเส้นขอบฟ้าได้อย่างชัดเจนและใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าขบวนทัพก็แปรเปลี่ยนสภาพเป็นเมฆทมิฬ สัตว์อสูรประเภทสัตว์ปีกเคลื่อนทัพมาแล้ว เมฆทมิฬเริ่มปกคลุมไปทั่วพื้นดิน
ในขณะนั้นมันเป็นช่วงบ่าย แต่ท้องฟ้าก็มืดมนเพราะกลุ่มสัตว์อสูรเหล่านี้ กลิ่นอายของสัตว์อสูรนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในเมืองรู้สึกถึงความตายที่กำลังจะมาถึง
“โบร๋ว โบร๋วว!”
“โฮ่ว โฮว!”
“แกว๊ก แกว๊ก!”
สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนคำรามออกมา ทำให้คนธรรมดาต่างพากันตัวแข็งทื่อ คนส่วนใหญ่แทบพากันขาอ่อน ในขณะที่บางคนเริ่มหาที่หลบ กองทัพสัตว์อสูรกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างรวดเร็วและหากผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถสกัดกั้นกองทัพได้ พวกเขาจะต้องหนีไปที่ไหน?
“ฟึ่บ!”
ในบรรดาสัตว์อสูรนั้นมีสตรีชั้นสูงที่แต่งกายด้วยชุดสีชมพูขณะที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ นางไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายออกมาและไม่ได้เผยสิ่งใดบนใบหน้าของนาง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของจิตสังหาร แต่เพียงแค่การปรากฏตัวของนางก็ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเหล่าพลทหารและแม่ทัพทุกคนบนกำแพงเมืองเป็นอย่างมาก
นางใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวในการกำจัดซูผิงผิง ความประทับใจที่จักรพรรดินีได้มอบให้กับทุกคนนั้นคือการที่นางเป็นอสูรร้ายที่น่าเกรงกลัวที่สุดและเป็นสิ่งที่ผู้คนจะจดจำไม่จางหาย
“จักรพรรดินีสัตว์อสูร! ข้าคือผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งจักรวรรดิมังกรเวหา องค์หญิงหลิงเสวี่ย!”
หลิงเสวี่ยอยู่ในชุดคลุมวิหค นางเดินขึ้นไปยังกำแพงเมืองอย่างสง่างามขณะที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว นางยืนอยู่เหนือประตูเมือง
นางกำลังถือคทาที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจขององค์จักรพรรดิ และแกว่งมันขึ้นสูงในขณะที่ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอบบาง “จักรพรรดินีสัตว์อสูร ข้าคิดว่าท่านต้องเดาได้บ้างแล้วว่าที่บุตรสาวของท่านถูกใครบางคนลักพาตัวไป ด้วยแรงจูงใจที่ต้องการใช้กองทัพสัตว์อสูรของท่านบุกเมืองเทียนชิง ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าได้ตามหาตัวบุตรสาวของท่านแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการช่วยเหลือ ข้าหวังว่าท่านจะให้เวลาข้าอีกสักหน่อย”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรโบกมือของนาง ซึ่งบ่งบอกกองทัพสัตว์อสูรให้ตั้งแถวทัพกันอย่างเป็นระเบียบห่างจากตัวเมืองไปสามสิบกิโลเมตร จากนั้นนางก็มองไปยังหลิงเสวี่ยได้ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ในขณะที่กล่าว “ข้าไม่สนใจแผนการของพวกมนุษย์ ข้าแค่ต้องการเห็นหน้าลูกสาวของข้า และผู้ใดที่มันกล้าแตะต้องลูกข้า พวกมันต้องตาย!”
“เจ้ากล่าวว่ามีใครบางคนพยายามป้ายสีจักรวรรดิมังกรเวหาของเจ้า เช่นนั้นก็จงหาหลักฐานมาและข้าจะช่วยเจ้าทำลายอาณาจักรนั้นทันที! แต่หากเจ้าไม่มีหลักฐานใดๆ... เช่นนั้นก็หุบปาก! ลูกสาวของข้าหยุดอยู่ที่เมืองเทียนชิงมาหลายวันแล้วและด้วยผู้เชี่ยวชาญมากมายก็ยังคงไม่สามมารถหาตัวนางพบ? มันเป็นไปได้หรือ? เหอะๆ จักรวรรดิมังกรเวหาของเจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น... เจ้าต้องอพยพออกจากเมืองเทียนชิงเดี๋ยวนี้ หรือไม่เจ้าทุกคนก็จงตายซะ! โจมตี!”
เมื่อจักรพรรดินีสัตว์อสูรออกคำสั่ง ราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดก็ปลดปล่อยกลิ่นอายที่โหดเหี้ยมออกมาทันทีในขณะที่พวกมันคำรามและพุ่งไปยังเมือง สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนก็ตามหลังมาติดๆ
“เตรียมต่อสู้!”
หลิงเสวี่ยถอนหายใจอย่างไร้จุดหมายในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแห่ลงมาจากกำแพงเมืองพร้อมกับเหล่าทหาร
นางเข้าใจว่าจักรพรรดินีหมายถึงอะไร มันไม่สำคัญว่าจักรวรรดิมังกรเวหาจะเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวจิ้งจอกน้อยหรือไม่ แต่เมืองเทียนชิงก็จะถูกทำลายอย่างไร้ความปราณีใดๆอยู่ดี! จักรพรรดินีสัตว์อสูรต้องการใช้ความพินาศของเมืองเทียนชิงเพื่อประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของนางต่อมวลมนุษยชาติ ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องลูกสาวของนาง พวกมันจะต้องได้รับความแค้นจากนางอย่างสาสม! เมื่อมนุษย์กล้าทำลายสัญญาเลือด นางก็จะรวบรวมกองกำลังสัตว์อสูรด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่นางมี
อพยพ?
เหล่าประชาชนนั้นอาจอพยพไปได้ แต่หลิงเสวี่ย, เหล่าขุนนางและทัพทหารของเมืองเทียนชิงไม่สามารถอพยพไปไหนได้ พวกเขาไม่มีที่ไป หากปราศจากเมืองเทียนชิง จักรวรรดิมังกรเวหาก็จะล่มสลาย หากไม่มีราชสำนัก พวกเขาก็เป็นเพียงวัชพืชที่ไม่มีราก ไม่มีขั้วอำนาจใดที่จะมอบที่ลี้ภัยให้พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาทำได้เพียงเผชิญหน้ากับความตายและฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องตายในสนามรบ
“ฟึ่บ ฟึ่บ ฟั่บ!”
ร่างนับไม่ถ้วนเหาะออกจากพระราชวังและทุกคนนั้นสวมชุดเกราะและหมวกเกราะสีดำ พร้อมดาบสีดำที่เปล่งแสงและประกายเย็นเยียบออกมาซึ่งนั่นเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ทั้งหมด
ที่สำคัญที่สุด...ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้แท้จริงแล้วนั้นอยู่เหนือกว่าขั้นที่ห้าของขอบเขตเสินโหยว ในพริบตาเดียวก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมากว่าพันคน ซึ่งทำให้สายลับจากอาณาจักรต่างๆเกิดความอลหม่าน
ในที่สุดไพ่ตายของจักรวรรดิมังกรเวหาก็ถูกนำออกมาใช้ในเวลาเช่นนี้ หลังจากฟื้นฟูมานานนับหมื่นปี การรับและเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญมากมายนี้ สุดท้ายแล้วก็ถูกการจู่โจมของกองทัพสัตว์อสูรบังคับให้ต้องนำคนเหล่านี้ออกมา
“จัรพรรดินีสัตว์อสูร ออกมาสู้กับชายแก่ผู้นี้!”
ทันใดนั้น เสียงที่ดังกึกก้องทำให้ทั้งเมืองสั่นสะเทือน เสียงนี้อาจฟังดูเก่าแก่และไม่ดังมาก แต่มันก็ดังก้องในใจทุกคนราวกับเป็นผู้ที่มาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มันมีพลังที่อธิบายออกมาไม่ได้ซึ่งทำให้จิตใจของทุกคนสงบลงและทำให้ทุกคนคำนับได้
“ในที่สุด บรรพบุรุษก็ออกจากบำเพ็ญ!”
ดวงตาของหลิงเสวี่ยส่องสว่างและเปล่งประกาย เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่คอยคุ้มกันนางก็ล้วนมีความปีติยินดีเช่นกัน
ผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิมังกรเวหายังไม่ตาย?
บุคคลนี้ได้บรรลุขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกังมากว่าร้อยปีแล้วและอยู่ในจุดสูงยอดของนักสู้ทั้งมวล หลังจากเขาหายลับไปเป็นร้อยปี ทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว มิฉะนั้นสุ่ยโย่วหลานคงไม่ได้เป็นนักสู้อันดับหนึ่งเช่นนี้
“ฟึ่บ!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นสวมชุดคลุมลายมังกรพุ่งตรงออกมาจากพระราชวัง กลิ่นอายของเขาล้อมไปทั้งเมืองเทียนชิงดั่งเช่นดวงอาทิตย์และดวงจันทราที่ไม่มีผู้ใดกล้ามองเขาตรงๆ ร่างของเขาทอประกายไปด้วยแสงสีเหลืองในขณะที่เขาเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขาเป็นดวงอาทิตย์ขึ้น
“ฮึ่ม!”
จักรพรรดินีส่งเสียงออกมาอย่างเยือกเย็นพร้อมคลื่นมือของนาง แขนเสื้อของนางสั่นไหวขณะที่นางลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆออกมา ในไม่ช้าพวกเขาทั้งสองก็กลายเป็นจุดสีดำและหายลับไป
“ทหารทุกคน โจมตี!”
หลิงเสวี่ยตะโกนออกมาพร้อมคทาที่อยู่ในมือ ในใจของนางนั้น บรรพบุรุษของจักรวรรดิเปรียบเสมือนดั่งเทพเจ้า ตราบใดที่เขาปรากฏตัว เขาอาจจะไม่สามารถฆ่าหรือทำร้ายจักรพรรดินีได้ แต่อย่างน้อยๆเขาก็คงจะสามารถต่อกรกับราชันสัตว์อสูรได้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกังเมื่อร้อยปีก่อนแล้วดังนั้นหากเขาปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเป็นนี้ มันเป็นไปได้มากว่าเขาจะบุกทะลวงขั้นสูงสุดและเข้าสู่ขอบเขตเทียนจุนแล้ว
“เทียนจุน...”
เมื่อคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ หลิงเสวี่ยก็อารมณ์ดีมาก หากเขาบรรลุขอบเขตเทียนจุนจริงๆ จักรวรรดิมังกรเวหาอาจสามารถกำจัดอาณาจักรทั้งหกและพิชิตโลกได้ และฟื้นฟูความรุ่งโรจน์กลับคืนมาได้
“ฆ่า!”
กองทัพผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวรุดหน้าไปยังกลุ่มสัตว์อสูร ผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวนับไม่ถ้วนนั้นตรงไปยังราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปด
ราชันสัตว์อสูรระดับสี่นั้นเปรียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง แต่สัตว์อสูรนั้นก็ยังคงเป็นสัตว์อสูร พวกมันใช้ได้เพียงวิชาอสูรเท่านั้น พวกมันไม่มีพลังพิเศษเหมือนมนุษย์และไม่สามารถใช้สิ่งประดิษฐ์ได้เช่นกัน จักรวรรดิมังกรเวหานั้นมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดกว่าร้อยคน และเหนือกว่าขั้นที่ห้ากว่าพันคน และยังมีทหารอีกนับหมื่น ตราบใดที่บรรพบุรุษจักรวรรดิมังกรเวหาสามารถยับยั้งจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้ กองกำลังของพวกเขาก็จะสามารถบีบกองทัพสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดาย
อย่างที่คาดไว้!
จักรวรรดิมีผู้เชี่ยวชาญมากเกินไป และทุกคนมีสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ รากฐานของจักรวรรดินั้นถูกฝังไว้ลึก เมื่อราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดได้ถูกควบคุมไว้ สัตว์อสูรระดับสองและสามต่างถูกเข่นฆ่าไป เหล่าผู้เชี่ยวชาญขั้นที่เจ็ดและแปดซึ่งมีสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์สามารถจัดการกับสัตว์อสูรระดับสามได้โดยไม่มีแรงกดดันใดๆและสามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับสองในไม่กี่วินาที
“บูม บูม บูมม!”
มีการระเบิดที่น่าตกใจสะท้อนออกมาเหนือท้องฟ้าในทันที กลิ่นอายที่น่ากลัวถูกส่งลงมาเหนือท้องฟ้ากว่าหมื่นกิโลเมตร หมู่เมฆบนท้องฟ้าถูกฉีกขาดราวกับสวรรค์กำลังจะถล่มลงมา ทำให้ความกลัวและกังวลใจของประชาชนธรรมดาที่เผชิญหน้ากับภัยพิบัติในครั้งนี้แทบหายใจไม่ออก
ชัยชนะในครั้งนี้ดูเหมือนจะเอนไปทางจักรวรรดิมังกรเวหา!
หลิงเสวี่ยที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเผยความดีใจออกมาบนใบหน้าอันสวยงามของนาง จากที่ดูแล้ว บรรพบุรุษนั้นสามารถต่อกรกับจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้อย่างสูสี และตราบใดที่พวกเขาสามารถยืดเวลาออกไปได้อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง นางก็มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถสังหารราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดตัวได้