บทที่ 268 แจกันเขียวพิสุทธิ์
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
กลุ่มของเจียงอี้ใช้เวลาไปสิบหกชั่วโมงสำหรับการไล่ล่าจากเมืองเทียนชิงไปสู่อาณาจักรเป่ยเหลียง แต่ขากลับ พวกเขาใช้เวลาไปเพียงแค่แปดชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่จะถึงเมืองเทียนชิง นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาใช้เส้นทางตรงและไม่ได้อ้อมเหมือนกับตอนแรก
“แจกันชนิดนี้สามารถบรรจุสัตว์อสูรไว้ภายในได้ด้วยหรือ? มันจะไม่ขาดอากาศหายใจใช่ไหม? แล้วสามารถใส่มนุษย์ลงไปได้หรือเปล่า?”
เจียงอี้สัมผัสได้ถึงเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ยังคงหลบสนิทและเอ่ยปากไถ่ถามนักบวชน้อยฮุ่ยเกินที่อยู่ด้านหลัง
ที่เจียงอี้เลือกจะถามเขา ก็เป็นเพราะว่านักบวชน้อยผู้นี้มีสถานะที่ไม่ธรรมดาในอารามเซน เช่นนั้นเขาก็น่าจะมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป
“อมิตาพุทธ!”
นักบวชน้อยเพ่งมองแจกันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็กล่าวออกมา “ข้าเคยได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับแจกันใบนี้จากปรมาจารย์ลุงมาบ้าง หากจำไม่ผิด มันน่าจะถูกเรียกว่า แจกันเขียวพิสุทธิ์!”
“มันเคยเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันได้หายสาบสูญไปหลายร้อยปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาปรากฏตัวอีกครั้งในวันนี้”
“แจกันใบนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์มิติที่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตลงไปได้ แต่มีข้อเสียที่มีพื้นที่มิติเล็กไปหน่อย เกรงว่าคงใส่สิ่งมีชีวิตลงไปได้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?”
เจียงอี้มองลงไปที่แจกันเขียวพิสุทธิ์ด้วยความผิดหวังนิดหน่อย แรกเริ่มเดิมทีเขากะจะใช้มันในการกักขังศัตรู แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งประดิษฐ์มิติที่มีความพิเศษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่การที่มันสามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตลงไปได้ ก็นับว่ายังมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย หากว่าเก็บผู้เชี่ยวชาญสักหนึ่งโหลไว้ภายในและปล่อยพวกเขาออกมาอย่างกะทันหันในระหว่างการต่อสู้ มันคงจะเป็นไพ่ตายที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ในขณะที่เจียงอี้กำลังดื่มด่ำกับความคิดของเขาอยู่นั้น ขนตาของจิ้งจอกน้อยก็เริ่มขยับก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความสับสนและร้องออกมา
“จี้จี้!”
“จิ้งจอกน้อยตื่นแล้ว!”
เจียงอี้อุทานออกมาและทำให้ผู้คนรอบข้างตกใจ ในเวลาเดียวกัน จิ้งจอกน้อยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองก็กำลังคิดที่จะปลดปล่อยวิชาอสูรของตนออกมาเนื่องจากความตื่นกลัว
“เสี่ยวเฟย อย่าเพิ่งวู่วาม!”
เจียงอี้รีบตะโกน แม้ว่าทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง แต่วิชาเสน่ห์รัญจวนจิ้งจอกก็ยังสามารถบุกทะลวงเข้าไปในจิตใจของพวกเขาได้อย่างไม่ยากเย็น และหากว่าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ใต้เท้า นั่นท่านหรือ?!”
แต่ทันทีที่มันได้ยินเสียงของเจียงอี้ ดวงตาของมันก็เปล่งประกายความสุขและดีใจออกมา ทันใดนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเขาและเอาหัวถูไถกับหน้าของเขาด้วยความสนิทสนม “ใต้เท้า ท่านเป็นคนช่วยเสี่ยวเฟยไว้หรือ?”
เจียงอี้ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขาก็ยิ้มออกมาและกล่าว “เจ้าไม่ต้องกลัวนะเสี่ยวเฟย ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว หลังจากนี้ข้าจะพาเจ้ากลับไปหาแม่ของเจ้าเอง”
“จี้จี้!”
จิ้งจอกน้อยในตอนนี้มีความสุขมาก เจียงอี้เป็นมนุษย์คนแรกที่มันรู้จักและยังยอมไว้ชีวิตมันในตอนที่เจอกันครั้งแรก ดังนั้นมันจึงมีความประทับใจต่อเขาอยู่ไม่น้อย
ครั้งก่อนจิ้งจอกน้อยได้นำหมาป่าจันทราสีเงินมาเป็นของตอบแทนที่เจียงอี้ยอมไว้ชีวิต แต่คราวนี้ มันกลับถูกเจียงอี้ช่วยชีวิตไว้อีกครั้ง ดังนั้นมันจึงถือว่าเขาเป็นสหายไปโดยปริยาย
จิ้งจอกวิญญาณสามหางมีภูมิปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์ตั้งแต่เกิด แต่เป็นเพราะว่ามันยังเด็กเกินไป มันจึงคิดเพียงแค่ว่าคนที่เข้ามาทำดีด้วยนั้นคือคนดีและคนที่มันสามารถเชื่อใจได้
“จี้จี้!”
จิ้งจอกน้อยกระโดดโลดเต้นอยู่บนไหล่ของเจียงอี้ด้วยความดีใจ จากนั้นมันก็ส่งโทรจิตหาเขาอีกครั้ง
“ใต้เท้า ตอนนี้เสี่ยวเฟยหิวมากเลย เสี่ยวเฟยไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
“ได้สิ!”
เจียงอี้ลูบหัวจิ้งจอกน้อยด้วยความรู้สึกสงสารและปวดใจเล็กน้อย ในสายตาของเขา เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นสัตว์อสูร แต่เป็นเพียงเด็กสาวผู้น่ารักคนหนึ่ง
ทันใดนั้นไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาก็เปล่งแสงก่อนที่เนื้อและน้ำสะอาดจะปรากฏออกมาเพื่อให้จิ้งจอกน้อยได้กิน
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างก็ลอบสบสายตากัน เจียงอี้กำลังป้อนอาหารจิ้งจอกน้อยอย่างช้าๆ ในขณะที่จิ้งจอกน้อยเองก็ยิ้มออกมาด้วยความสุขใจและถูไถไปตามร่างกายของเจียงอี้ด้วยความสนิทสนมเป็นครั้งเป็นคราว
ทำไมจิ้งจอกน้อยถึงดูสนิทสนมกับเจ้าเด็กนี่นัก? ไม่ใช่ว่ามนุษย์และสัตว์อสูรเป็นศัตรูกันหรอกหรือ?
สัตว์อสูรทั่วไปที่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสัตว์วิญญาณจะไม่มีทางเป็นมิตรกับมนุษย์เป็นอันขาด แม้ว่าจิ้งจอกน้อยจะมีสติปัญญาที่สูงจนน่าตกใจและรู้ว่าถูกเจียงอี้ช่วยชีวิตไว้ แต่พฤติกรรมของทั้งสองจะไม่ดูใกล้ชิดกันไปหน่อยหรือ?
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่ที่แน่ๆ เจียงอี้ในตอนนี้ได้กลายเป็นหนูตกถังข้าวสารแล้ว!
ทุกคนได้ข้อสรุปเดียวกัน เมื่อเห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจียงอี้กับจิ้งจอกน้อย นั่นก็หมายความว่าเขามีที่พึ่งที่ทรงพลังแล้ว!
เป็นที่รู้กันดีว่าทั่วทั้งทวีปนี้ จักรพรรดินีสัตว์อสูรคือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด หากว่าคนใดคนหนึ่งในสิบยอดนักสู้ไม่ทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุน ก็จะไม่มีใครสามารถเทียบเคียงกับนางได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเจียงอี้กับจิ้งจอกน้อย ผนวกกับเรื่องที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตมันไว้ หากในอนาคตเขาเผชิญกับปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้ เกรงว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่คงจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาเป็นแน่!
ในเวลานี้รองเจ้าสำนักฉีและคนที่เหลือกำลังพิจารณาถึงปัญหาอื่น ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ การขอให้เจียงอี้ขอร้องจิ้งจอกน้อยให้โน้มน้าวแม่ของนางให้ถอยทัพกลับไปก็ไม่น่าใช่ปัญหา จากนั้นวิกฤติในครั้งนี้ก็จะถูกคลี่คลาย
รองเจ้าสำนักฉีลอบส่งข้อความลับถึงเจียงอี้สองครั้ง จากนั้นนางก็ตะโกนออกมา “ทุกคน ใช้ความเร็วสูงสุดของพวกเจ้า พวกเราจะต้องไปถึงเมืองเทียนชิงให้เร็วที่สุด!”
……
สถานการณ์ภายในเมืองเทียนชิงกำลังอยู่ในสภาวะล่อแหลมอย่างแท้จริง หน่วยสอดแนมของแต่ละขุมกำลังก็ได้รายงานกลับมาว่ากองทัพสัตว์อสูรได้เคลื่อนพลมาถึงชายแดนอาณาจักรเป่ยหมางแล้วและคงใช้เวลาอีกสี่ถึงหกชั่วโมงก่อนจะมาถึงเมืองเทียนชิง
การมาของกองทัพสัตว์อสูรทำให้ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ในใจของพวกเขา แม้ว่าจักรวรรดิจะเหลือพลังอำนาจเพียงแค่ในนาม แต่พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าโดยธรรมชาติและไม่ต้องการที่จะอพยพไปยังอาณาจักรบริวารที่น่ารังเกียจเหล่านั้น
ในสายตาของชาวเทียนชิง อาณาจักรทั้งหกนั้นเป็นพวกชั่วร้ายที่มุ่งหวังจะตีตนเสมอจักรวรรดิ ถึงอย่างนั้น พวกเขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งจักรวรรดิมังกรเวหาจะกลับมายิ่งใหญ่และผงาดเหนือผืนทวีปนี้อีกครั้ง!
แต่เมื่อบรรดาเชื้อพระวงศ์ทยอยออกจากเมือง กลุ่มสมาคมการค้าน้อยใหญ่ต่างก็อพยพเช่นกัน การเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความแตกตื่น
แม้ว่าจะมีหลายคนที่ตัดสินใจยอมตายไปพร้อมกับเมืองเทียนชิง แต่เมื่อถึงคราวต้องเผชิญกับประตูสู่ยมโลกจริงๆ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะหลบหนีเพื่อเอาตัวรอด
หลายตระกูลตัดสินใจส่งทายาทและคนรุ่นหลังของตัวเองให้ติดตามกลุ่มพ่อค้าเพื่ออพยพไปยังอาณาจักรเป่ยเหลียง จากกลุ่มเล็กๆจนลามไปเป็นกลุ่มอพยพกลุ่มใหญ่ ผู้คนมากมายมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศตะวันออก
ในไม่ช้า จำนวนผู้เสียชีวิตจากการเหยียบกันตายในจังหวะชุลมุนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
“ไป ไปกันให้หมด!”
องค์หญิงหลิงเสวี่ยยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของวังหลวง, ดาดฟ้าสังเวยดารา ขณะเดียวกันนางก็เหยียดมองลงไปเบื้องล่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด แต่บัดนี้ภายในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง
หลิงเสวี่ยถือครองสติปัญญาอันเฉียบแหลมมาตั้งแต่เกิด นางยังถือกำเนิดมาพร้อมกับดวงจิตอันหายากซึ่งส่งเสริมให้นางฝึกฝนศาสตร์วิญญาณได้อย่างก้าวกระโดด
ในเวลานี้ หากนางปลดปล่อยศาสตร์ลับออกมา พลังฝีมือของนางก็สามารถเทียบเคียงได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้าเลยทีเดียว ด้วยอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีแต่ก็มีความสามารถระดับนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง
มีหลายครั้งที่จักรพรรดิองค์ก่อนพร่ำกล่าวด้วยความเสียดายว่าทำไมหลิงเสวี่ยถึงไม่เกิดเป็นผู้ชาย มิฉะนั้นนางคงจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์และนำพาจักรวรรดิไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้เป็นแน่แท้
แม้ว่าจักรพรรดิองค์ก่อนจะล้มป่วยและทราบดีว่าตัวเองนั้นเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เขาก็ทำเพียงแค่แต่งตั้งให้หลิงเสวี่ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และให้อำนาจในการตัดสินใจเท่านั้น
ใครจะไปคิดล่ะว่า… ในขณะที่เขากำลังลังเลที่จะเลือกองค์ชายสักคนขึ้นมาครองราชย์ เขาก็ต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน
เมื่อจักรพรรดิล่วงลับไป จักรวรรดิก็ตกอยู่ในสภาพมังกรไร้หัว องค์ชายทุกคนต่างก็ขัดแย้งกันเองเพราะต้องการที่จะขึ้นครองบัลลังก์ แม้กระทั่งการส่งคนไปลอบสังหารพี่น้องตัวเองก็ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ในที่สุดหลิงเสวี่ยก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป เดิมทีนางต้องการที่จะสนับสนุนองค์ชายสักองค์ให้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เมื่อเห็นว่าความขัดแย้งเริ่มบานปลาย นางก็ออกคำสั่งให้กักบริเวณพวกเขาทั้งหมดไว้ในที่พำนักของตน
จากนั้นหลิงเสวี่ยก็กลายเป็นผู้ควบคุมอำนาจทั้งหมดและปกปิดความจริงเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิองค์ก่อนไม่ให้โลกภายนอกได้รับรู้
ในสายตาของขุนนางน้อยใหญ่แห่งจักรวรรดิมังกรเวหา องค์หญิงหลิงเสวี่ยเป็นผู้ที่ทรงอำนาจ กล้าหาญและเป็นมันสมองของจักรวรรดิอย่างแท้จริง นางคือวีรสตรีที่น่ายกย่อง แต่มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองต้องผ่านความเจ็บปวดทรมานและโดดเดี่ยวแค่ไหนกว่าที่จะมายืนอยู่จุดนี้ได้
“ดีแล้ว… แบบนี้แหละดีแล้ว…”
หลิงเสวี่ยยังคงยืนอยู่บนดาดฟ้าขณะที่ปล่อยให้กระแสลมอันหนาวเหน็บพัดผ่านร่างกาย ดวงตาของนางเหม่อมองไปทางทิศตะวันตกขณะที่บนใบหน้าของนางได้ปรากฏรอยยิ้มที่เผยให้เห็นความเจ็บปวด
“ถูกทำลายไปก็ดี! ดูเหมือนว่าจักรวรรดิมังกรเวหาจะดำรงอยู่มาเนิ่นนานเกินไป บางทีมันคงถึงเวลาที่ทุกอย่างจะต้องจบสิ้นลงแล้ว ดีเหมือนกัน ข้าจะได้พักเสียที…”