บทที่ 25: รัชทายาทสองคน?
การฆ่าฟันอย่างโหดเหี้ยมที่ทางเข้าถ้ำของคนแคระหยุดลงแล้ว
คนแคระนักรบบางตนมีเลือดท่วมทั้งตัวยึดกำแพงไว้เป็นหลักและบังคับร่างของพวกเขาไปยังปากถ้ำ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นผู้กอบกู้ของพวกเขาเสียที!
“เอลฟ์เลือดบริสุทธิ์ เอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟ?”
“ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่?” คนแคระตนหนึ่งพูดอย่างตกตะลึง
“พวกเขาเป็นเอลฟ์จากเมืองชายแดน แกไม่เคยไปเดินยามด้านนอกมาก่อนก็เลยไม่รู้ว่าเจ้าชายเอลฟ์ตนหนึ่งมาที่เมือง…” คนแคระนักรบที่มีรูปร่างเตี้ยและแต่งตัวด้วยชุดตระการตาพูดพร้อมกับคิ้วที่ยกสูง
“เจ้าชายเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์จะมาในที่แบบนี้ทำไมกัน?”
“เขาอยู่ที่ชายแดนของป่าแบล็คลีฟ เจ้าชายเอลฟ์ตนนี้ช่างประมาทเลินเล่อจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาต้องกลัวว่าจะถูกพวกคนไม่ดีจับตัวไป ไม่ใช่รึไง?” ใครบางคนถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะไปรู้เรื่องนั้นได้ยังไง?” มีร่องรอยของความชื่นชมอยู่ในคำพูดของโอดอม เขาอธิบายไม่ได้ดีนักแต่เขาพูดถูก
เพราะในทางสายเลือดแล้ว วิลเลียมเป็นเจ้าชายในหมู่เอลฟ์แบล็คลีฟ!
สายเลือดราชวงศ์ของป่าแบล็คลีฟนั้นหายากมากๆ และมีหลายตนที่ตายไปในสนามรบ นอกจากนี้ เอลฟ์ก็ยังเป็นสายพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวและเป็นเพราะพลังการสืบพันธุ์ของพวกเขาเข้าขั้นน่าเป็นห่วง ด้วยความที่พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับระดับความอาวุโสมากนัก ดังนั้นแล้ว ตราบใดที่ราชาเอลฟ์ยังไม่ตาย ผู้สืบสายเลือดคนอื่นๆที่มีเลือดราชวงค์ต่างก็เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายรัชทายาททั้งนั้น!
ไม่ว่าเจ้าหญิงและเจ้าชายคนใดก็มีสิทธิ์ที่จะได้สืบทอดบัลลังก์!
กุญแจสำคัญคือ ต้องดูอิทธิพลและอัตราการสนับสนุนของพวกเขา เช่นเดียวกับเจตจำนงค์ของราชาเอลฟ์
แต่ก็ต้องเสียใจด้วยที่พ่อของวิลเลียมเป็นมนุษย์…
เขาเป็นเจ้าชายของเอลฟ์แบล็คลีฟในทางสายเลือด แม้แต่กับทหารส่วนตัว 500 ตน เขาก็ได้รับการปฏิบัติราวกับเจ้าชายน้อยตนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม…
เขาไม่ได้มีตำแหน่งหรือยศจริงๆ!
โอดอมเหมารวมไปแล้วว่าเขาเป็นเจ้าชายเอลฟ์ตนหนึ่ง
นี่เป็นเพราะโอดอมได้ลอบสังเกตและเห็นความเคารพที่เหล่าเอลฟ์องครักษ์ทั้ง 500 ตนมีต่อวิลเลียม มันมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าวิลเลียมเป็นเจ้าชายแห่งเอลฟ์!
เอลฟ์ที่มีศักดินาในสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่เอลฟ์ตนอื่นจะยอมก้มหัวให้ด้วยความความเคารพนับถือ
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่แกหมายความว่ายังไงตอนที่พูดว่าเขาเป็นคนเลินเล่อเกินไปเพราะตัดสินใจมาที่นี่?” โอดอมดูไม่พอใจ และหลังจากพูดจบ เขาก็หันไปด้านหลังในขณะที่ถือค้อนของเขาอยู่
คนแคระนักรบคนที่พูดหุบปากของตัวเองแน่นและมองไปที่กำแพงของถ้ำด้วยความอยากที่จะใช้นิ้วของเขาดึงแร่มิทริลออกมา…
เพราะโอดอมเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์และแถมยังเป็นทายาทคนสุดท้ายของสมาชิกราชวงศ์แห่งหุบเขาแห่งความเดียวดาย!
ราชาคนสุดท้ายของหุบเขาแห่งความเดียวดาย ‘โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์’!
บางทีผู้คนในยุคนี้อาจจะลืมนามสกุลเฮฟวี่แฮมเมอร์ไปนานแล้ว แต่ในอดีต นามสกุลนี้ไม่ได้แย่ไปกว่านามสกุลของเอลฟ์เลย และอาณาจักรคนแคระขนาดใหญ่ทั้งเจ็ดแคว้นนั้นเรียกได้ว่าไกลจากการนำมาเปรียบเทียบเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สงครามการเมืองของคนแคระก็เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นลมของโอเดลโล เฮฟวี่แฮมเมอร์ ราชาของหุบเขาแห่งความเดียวดาย
เหล่าคนแคระที่ภักดีต่อผู้สืบสายเลือดราชาของหุบเขาแห่งความเดียวดายจริงๆ ถูกฆ่าไม่ก็บาดเจ็บสาหัส ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงหลบหนีไปพร้อมกับเจ้าชายน้อยของพวกเขา
และพวกคนแคระที่เริ่มสงครามอ้างว่าพวกเขาต้องแต่งตั้งราชาคนใหม่ขึ้นมาด้วยความเสียใจที่พวกเขาไม่อาจหาทายาทตัวจริงของสายเลือดราชวงศ์เจอ
ส่วนใครเป็นคนเริ่มสงครามกลางเมืองงั้นหรอ?
อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาณาจักรคนแคระทั้งเจ็ดแคว้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้…
แต่แม้ว่าเอลฟ์จะได้รับชัยชนะที่ดุเดือดอย่างมากมายในสนามรบ เหล่าเอลฟ์ผู้สง่างามและเย่อหยิ่งก็จะทำให้พวกคนแคระรู้สึกทุกครั้งว่าเหล่าเอลฟ์นั้นบอบบางเกินไปและไม่ควรที่จะมาอยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้…
สำหรับคนแคระที่ผิวหนังหยาบกร้านและเนื้อหนังหนา?
แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาสามารถไปได้ทุกที่…
“จำเอาไว้ อย่าเปิดเผยนามสกุลของข้า ตั้งแต่นี้ไป นามสกุลของข้าจะเป็น ‘แฮมเมอร์’ โอดอม แฮมเมอร์ ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก!” โอดอมกล่าวอย่างเด็ดขาดเมื่อเขาเห็นว่าในที่สุดลอทเนอร์ก็กำจัดออร์คขาวสำเร็จ
คนแคระนักรบคนอื่นๆ พยักหน้า สถานการณ์ตอนนี้แจ่มแจ้งแล้ว
เจ้าชายเอลฟ์จากเมืองชายแดนที่มาเพื่อช่วยเหลือเขา และพวกเขาไม่ได้จะตอบแทนเหล่าเอลฟ์ด้วยเหมืองแร่มิทริลเท่านั้น แต่โอดอมยังตั้งใจที่จะ…
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้… การต่อสู้ตัวต่อตัวก็จบลง
ลอทเนอร์ต่อสู้อย่างเต็มกำลังด้วยวิธีการทำให้เกิดบาดแผลที่ทรมาน ก่อนจะตัดหัวออร์คขาวออกด้วยความเกรี้ยวกราด
“ท่านผู้นำตายแล้ว?” พวกออร์คสตั้น
“โอ้ เวร!” ออร์คเบอเซอร์เกอร์ตัวหนึ่งเห็นเหล่าเอลฟ์ที่ล้อมอยู่และทิ้งอาวุธลงจากมือ มันหยิบอีเต้อ1จากพื้นขึ้นมาด้วยความคล่องแคล่ว เขาสะบัดมันสองสามทีและเมื่อเข้ามือแล้ว เขาก็ทำแกล้งทำท่าทางขุดพื้น
เมื่อออร์คตัวอื่นเห็นดังนั้น พวกมันจึงรีบวางอาวุธลงด้วยความรวดเร็วและมองไปรอบๆ ทำไม่รู้ไม่เห็น ราวกับว่าออร์คขาวไม่เกี่ยวอะไรกับพวกมัน
วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเขาเห็นฉากนี้…
แต่เหล่าเอลฟ์องครักษ์ผู้เย่อยิ่งไม่ยอมให้เขาหัวเราะ…
ดังนั้นเขาจึงปิดปากของเขาและค่อยๆ เลื่อนตัวไปที่อีกข้างของลอทเนอร์ ผู้ซึ่งหันหลังใส่เขาอยู่
ดาบยาวของลอทเนอร์กำลังแตะอยู่กับพื้น มือของเขาวางอยู่บนด้ามจับเบาๆ เขามองพวกออร์คด้วยท่าทางที่อยู่เหนือกว่า รัศมีอันแข็งแกร่งของเขาแผ่ออกมา…
“ต่อต้านหรือยอมจำนน!” วิลเลียมพูดด้วยเสียงเข้มที่ดังกึกก้อง โดยไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าของเขา!
“ยอมจำนน!”
“พวกเรายอมจำนน…” พวกออร์คคุกเข่าลงตนแล้วตนเล่า แสดงให้เห็นว่าพวกมันกำลังยกธงขาว!
จากประสบการณ์ที่ออร์คต่อสู้กับเอลฟ์มา พวกมันรู้ว่าเหล่าเอลฟ์มักไม่ฆ่าเชลย ยกเว้นแต่ศัตรูที่วิ่งหนีหรือขัดขืน เชลยคนอื่นๆ จะต้องเป็นคนขุดเหมือง นั่นคือกรณีที่เลวร้ายที่สุดแล้ว!
สำหรับการให้หน้าที่ที่ดีที่สุด?
คือ การเป็นผู้คุมงานเหล่าเพื่อนนักขุดด้วยกัน…
แต่ก็ไม่ผิดอะไรสำหรับการเป็นคนขุดเหมือง มันมีโอกาสสำหรับการหลบหนีอยู่เสมอ
พวกเขาพอจะตั้งความหวังที่จะใช้ชีวิตกับมันได้… นี่มันอาจจะดูเป็นไปไม่ได้ไปเสียหน่อย แต่มันก็ดีพอแล้วที่พวกเขาจะยังไม่ตายเดี๋ยวนี้เลย
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือลอทเนอร์ที่มอบความกดดันอย่างมากมายให้พวกเขา
ออร์คขาวที่เงยหน้าขึ้นครั้งหนึ่งก็ถูกตัดหัวออกอย่างง่ายดายโดยลอทเนอร์ และหัวของเขาก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของลอทเนอร์
นี่ก็มากพอแล้วที่จะนำความกดดันมาสู่พวกออร์ค
ออร์คชอบที่จะสวามิภักดิ์ต่อผู้ที่แข็งแกร่ง ก็เหมือนกับตอนที่พวกมันกลายเป็นเผ่าหนึ่งภายใต้อำนาจของมังกรยักษ์ที่มาพร้อมกับความกดดันที่จะตายได้ตลอดเวลา
ที่สุดแล้ว ต่อให้คุณต้องการจะวิ่งหนี คุณต้องมีโอกาสนั้นก่อน และนี่คือป่า…
“ปลดอาวุธพวกมันทุกตน ถอดชุดเกราะพวกมันออกและนำตัวพวกมันไปที่เหมืองเหล็ก!” วิลเลียมโบกมือของเขา และนอชสั่งการเอลฟ์องครักษ์ให้นำกลุ่มออร์คพวกนี้ออกไป
ต่อจากนั้น
เขาหมุนตัวมองไปที่เหล่าเอลฟ์ที่ปากถ้ำก่อนจะยิ้ม “สหาย เราหวังว่าความช่วยเหลือของเรามาทันเวลา!”
ความประทับใจที่ดีจากโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ +188
ความประทับใจที่ดีจากปีเตอร์ โบลเดอร์ +230
ว้าว…
วิลเลียมมองเห็นความประทับใจที่ดีติดต่อกันแถบๆ คิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อยและเขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจในตัวเอง
ยังไงก็ตาม
ถ้าเขาไม่นำกองทัพเอลฟ์มาช่วยเหลือพวกเขา เหล่าคนแครพจะต้องถูกบล็อกอยู่ในเหมืองและถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อนโดยออร์ค
มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วจากความประทับใจที่ดีเหล่านั้น
แต่มันก็น่าเสียดาย
มันกระทันหันเกินไปทำให้มันไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับคนแคระ อย่างที่วิลเลียมมาดหมายรอคอยเป็นที่สุด!
มุมปากของวิลเลียมกระตุกและเขามองไปที่ข้อมูลใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่มีใครในนี้มีความประทับใจต่อเขาจริงๆหรอ…
นี่หมายความว่ายังไง?
เจ้าชายผู้ไร้ยศศักดิ์คนนี้ยังคงกำลังลองเชิงอยู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนที่เพิ่มความประทับใจเป็นคนแรก…
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ เขาเพิ่มแค่ 188 แต้มเท่านั้น สำหรับผู้กอบกู้ เขาให้วิลเลียมแค่ 188 แต้ม?
เขาไม่รู้รึยังไงว่าค่าเต็มของความประทับใจที่ดีสำหรับ NPC ธรรมดาคนหนึ่งคือ 1000?
“เฮฟวี่แฮมเมอร์???” วิลเลียมเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด เขามองไปที่หน้าต่างข้อมูลอีกครั้งและจากนั้นก็มองไปที่สหายตัวเล็กคนหนึ่งในกลุ่มคนแคระที่สะดุดตากว่าคนอื่นเล็กน้อย
เขามีผมสีบลอนด์ทอง, หน้าตาที่หล่อเหลาและเด็ดเดี่ยว, พร้อมกับความสูง 1.55 เมตร แถมเขายังถือค้อนอันคุ้นตาที่มีกระแสไฟฟ้าเคลื่อนตัวไปมาอยู่รอบๆ มัน…
“ชิ…” วิลเลียมสูดลมหายใจ เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมโปรดิวเซอร์ของเกมนี้ พวกเขาไม่กลัวที่จะได้รับหมายศาลจาก Marvel เลยใช่มั้ย?
แต่เขาก็ยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม วางมือของเขาที่เกือบจะเผลอไปลูบหัวของคนแคระตนนั้นลงบนไหล่ของเขาช้าๆ แล้วพูด “ใครเป็นผู้นำของที่นี่?”
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์เหล่ไปที่มือเรียวยาวบนไหล่ของเขาก่อนจะมองขึ้นไปที่วิลเลียม “โอดอม แฮมเมอร์ ข้าเป็นผู้นำของพวกเขา!”
วิลเลียมคิดอยู่ราวๆ สองวินาที “วิลเลียม แบล็คลีฟ มีอะไรที่พอจะช่วยท่านได้ไหม?”
“พวกเราได้รับความเดือดร้อนมากมายจากการโจมตีของพวกออร์ค ข้าตัดสินใจที่จะนำคนแคระทั้งหมดที่อยู่ภายใต้อำนาจของข้าเข้าร่วมกับเมืองชายแดนและขอความคุ้มครอง ข้าไม่รู้ว่าองค์ชาย จะต้อนรับพวกเราหรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ยินดีต้อนรับสหายชั่วนิรันดร์ของเอลฟ์” วิลเลียมยิ้ม
องค์ชาย?
คำสองพยางค์คำนี้
เขารับลูกน้องกลุ่มนี้!
หมายเหตุ
อีเต้อ1 หมายถึง เครื่องมือสำหรับขุดของแข็งหรือหิน ทำจากเหล็ก มีลักษณะคล้ายจอบ