ตอนที่แล้วคาถาที่ 2 : หนังสือประหลาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปคาถาที่ 4 : ตรุษจีนสีเลือด

คาถาที่ 3 : ความฝัน


ตำรวจพบศพของหญิงชาวต่างชาติวัยกลางคนเสียชีวิตอย่างสยดสยองผิดธรรมชาติในห้องพัก ที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง

สภาพศพ ศีรษะของผู้ตายหักจนสามารถหมุนได้รอบ กระดูกข้อต่อแขนและขาถูกจับแยกออกจากกัน สันนิษฐานคาดว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรม ขณะนี้ตำรวจกำลังสืบหาเบาะแสของคนร้าย นับเป็นคดีสะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่งในรอบหลายปี

เสียงประกาศข่าวบนจอทีวีทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ในรูปถูกเซนเซอร์หน้าและลำตัวของผู้เสียชีวิตจนแทบไม่เห็นอะไร แต่จากการบรรยายของนักข่าวก็พอจะทำให้จินตนาการภาพได้ออก ช่างเป็นข่าวที่ทำให้บรรยากาศการทานข้าวเช้ามันดูแย่ลงไปถนัดตา ทุกวันนี้ข่าวฆาตกรรม อาชญากรรม แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไทยไปแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้วันดีคืนดีมันจะมาเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเราไหม คิดแล้วก็เครียด

“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จผมกลับมหาลัยเลยนะม๊า” ผมบอกม๊า ที่กำลังทำท่าจะเดินไปชั้นล่างเพื่อไปดูแลความเรียบร้อยของร้าน

“ขับรถดี ๆ ล่ะลูก” ม๊าผมพูดกลับมา

“ครับผม”

ผมขับรถกลับมาถึงหอก็เกือบสิบเอ็ดโมงเช้า พอเข้าไปถึงก็เจอไอ้คีย์กับไอ้อิฐกำลังนั่งเล่นกีตาร์ ร้องเพลงกันอยู่ในห้อง แลดูมีความสุขซะจริง พวกมันทั้งสองคนหยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออกแล้วหันมาทางผม ผมเดินเอากระเป๋าไปวางบนโต๊ะหนังสือของตัวเองแล้วเดินเข้าไปหาพวกมันกลางห้อง

“อารมณ์ดีจังนะพวกมึง” ผมทักพวกมันไป

“แน่นอน มึงไม่อยู่ห้องคืนนึง พวกกูมีความสุขม้าก มาก” ไอ้อิฐพูดขึ้นมาอย่างน่าหมั่นไส้ ทำให้ผมแกล้งเดินไปดันหัวมันเล่นหนึ่งที คนโดนแกล้งเงยหน้าขึ้นมาพร้อมมีเรื่อง แต่มีสายตาของไอ้คีย์ปรามเราทั้งคู่ไว้ก่อน ไอ้อิฐจึงหันกลับไปที่จอแล็ปท็อปเพื่อเปิดหาคอร์ดเพลงที่จะเล่นต่อ

“มึงอะ เป็นไงบ้าง ไปกินบิงซูกับไหมมา” ไอ้คีย์เป็นคนถามบ้าง

“ก็ดีเว้ย ถือว่าได้ก้าวเข้าไปหาไหมอีกสเต็ป” ผมตอบไป อยากจะลุกให้มากกว่านี้นะ แต่ไหมให้โอกาสขนาดนี้ผมก็พอใจแล้ว ยังพอมีเวลาอีกเยอะแยะให้เต๊าะเจ้าตัว

“เออคีย์ มึงเห็นข่าวคนตายที่โรงแรมเมื่อเช้าป่ะวะ” ผมพูด พลางนึกถึงเรื่องข่าวที่ได้ฟังมาเมื่อตอนเช้าขณะกินข้าว

“เห็น ที่เป็นชาวต่างชาติใช่ปะ”

“เออใช่ แบบนี้มึงต้องส่งเขาไปนรกปะ” ผมถามต่อด้วยความสงสัย เรื่องแบบนี้ไอ้คีย์มันอาจจะช่วยจับฆาตกรได้ ถ้าวิญญาณเขาเกิดไม่สงบตามไปล้างแค้นขึ้นมา

“ไม่ว่ะ เขาไม่ใช่คนไทย วิญญาณก็จะกลับไปยังประเทศที่เขาเกิดและโตมา แต่ถ้าเขายังไม่สงบล่ะก็ คงจะอยู่แถวนั้นสร้างงานให้กูอีกนั่นแหละ แต่ตามกฎของยมทูตก็ต้องรอให้ครบ 13 วันก่อน แล้วรอทางสาขาต่างประเทศประสานงานมาจากนั้นจึงรับเรื่องเป็นเคสพิเศษอีกที” คีย์พูด ฟังแล้วก็ดูจริงจังชะมัด การเป็นยมทูตเป็นเหมือนงานประจำเลยแฮะ มีขั้นตอนอะไรที่เป็นทางการแบบนี้ด้วย

อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกถึงมือของใครบางคนดันหัวผมจากข้างหลังจนหน้าเกือบคะมำไปหาไอ้คีย์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใครไอ้อิฐนั่นเอง

มึงจะเล่นใช่ปะ …

“เฮ้ย ! มึงจะเอาใช่ปะไอ้อิฐ”

“โทษ ๆ กูจะลุกไปห้องน้ำ ไม่ทันมอง มือลั่น”  อิฐพูดขึ้นมาหัวเราะเบา ๆ

“โอ๊ย พวกมึงก็เล่นกันเป็นเด็ก ๆ โตจนทำลูกเป็นแล้ว” เสียงบ่นดังมาจากไอ้คีย์ ก่อนที่ผมกับไอ้อิฐจะวิ่งไล่เตะกันรอบห้อง

“นี่หนังสืออะไรวะไอ้ชา” เสียงดังขึ้นมาจากไอ้อิฐที่เพิ่งเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ ผ่านโต๊ะหนังสือของผม มันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดูก่อนโยนมาให้ผมแบบไม่ทันตั้งตัว เกือบรับไม่ทันแน่ะ พอก้มหน้าลงไปมองสิ่งที่อยู่ในมือก็ได้แต่ตกใจ

เฮ้ย ! ไอ้หนังสือนั่นมันมาอยู่ตรงนี้ได้ไง ผมชักเริ่มจะหลอนกับไอ้หนังสือเล่มนี้แล้วนะเนี่ย มันคือไอ้เล่มที่ผมเก็บได้และไปโผล่ที่ห้องนอนผมเมื่อวาน เมื่อคืนหลังจากกี้กลับมาจากเรียนพิเศษก็ถามแล้ว ว่าเอาหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในห้องผมหรือเปล่า เจ้าตัวก็บอกว่าไม่ สรุปว่าไอ้หนังสือนี่มันมีขาเดินตามผมได้งั้นเหรอ

“ไอ้คีย์ กูว่าหนังสือเล่มนี้มีผีสิงว่ะ” ผมเรียกไอ้คีย์ให้มาดูหนังสือที่ผมถืออยู่

“ผีเผออะไรของมึงวะ กูไม่เห็นสักตัว” ไอ้คีย์พูด

“จริง ๆ นะเว้ย ก็ไอ้หนังสือที่กูเก็บได้เนี่ย มันตามกูไปทุกที่เลย”

“ไหนเอามาดูดิ ไปเก็บได้ที่ไหนวะ”

ไอ้คีย์ยื่นมือมารับหนังสือที่มือผมไปดู ก่อนมันจะเปิดดูข้างในผ่าน ๆ

“ก็เมื่อสองสามวันก่อนอะ กูไปรับกี้ที่ห้างแล้วก็เจอฝรั่งคนหนึ่งทำตกไว้ กูเรียกเขาแล้วแต่ไม่ทัน กูเลยเก็บกลับมา กูทิ้งมันไว้หลังรถเว้ย แล้วอยู่ดี ๆ เมื่อคืน มันมาโผล่ที่ห้องนอนกู แล้ววันนี้มันยังมาโผล่ที่นี่อีก” ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ไอ้คีย์กับไอ้อิฐฟัง ดูมันสองคนทำหน้างง ๆ แบบไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไร

“กูว่ามึงดูแอนนาเบลล์จนเอาพล็อตเรื่องมาหลอนเป็นผีสิงหนังสือแทนละ หนังสือมันจะเดินได้หรือไง” อิฐพูดขึ้นมา

“งั้นมึงเอาไปเลยไอ้อิฐ กูยกให้” ผมพูดประชดมัน พร้อมดึงหนังสือจากมือไอ้คีย์แล้วโยนให้ไอ้อิฐ

“เฮ้ย ได้ไง ของมึงอะ กูไม่เอาหรอกเกรงใจ” พูดจบมันก็ขำ พร้อมโยนหนังสือส่งกลับคืนมาให้ผม

“กูว่ามันก็แค่หนังสือเก่า ๆ อะ ข้างในเป็นเหมือนตำราประกอบพิธีกรรมทางประวัติศาสตร์มากกว่า” ไอ้คีย์พูด

“กูเอาไปทิ้งดีปะ” ผมถามมัน รู้สึกไม่ค่อยดีกับไอ้หนังสือเล่มนี้เลย มีแต่เรื่องแปลก ๆ แถมฝันบ้าบอเมื่อคืนอีกด้วย

“ดูเหมือนมันจะมีค่าทางประวัติศาสตร์นะเว้ย มึงเก็บไว้ก่อนดิ เผื่อเจ้าของเขาตาม มึงก็น่าจะเอาไปให้ตำรวจซะ” ไอ้คีย์พูดต่อ

“เอางั้นเหรอ” ผมถามย้ำมันอีกครั้ง เอาวะ มันคงไม่มีอะไรหรอก บางทีผมอาจจะหลอนไปเองอย่างที่ไอ้อิฐกับไอ้คีย์มันบอกก็ได้ ช่วงนี้ยิ่งดูหนังผี เรื่องสยองขวัญเพื่อเอาไปรีวิวในเพจบ่อยด้วย อาจจะเบลอหยิบติดมือมา ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปส่งให้ตำรวจเขาตามหาเจ้าของดีกว่า ผมก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปซะสนิท มันควรจะเป็นสิ่งแรกที่ผมทำเวลาเจอของนี่หว่า

วันเวลาผ่านไปไวจนผมลืมเรื่องที่จะเอาหนังสือบ้า ๆ นั่นไปให้ตำรวจ มันมักจะมีเหตุอะไรฉุกเฉินมาขัดขวางตลอด รถเสียบ้าง ติดงานบ้าง สรุปก็ไม่ได้เอาไปให้สักที มันเลยถูกวางกองไว้ใต้โต๊ะหนังสือของผมอยู่หลายอาทิตย์ แต่หลัง ๆ มาผมก็ไม่ได้เจออะไรหรือฝันอะไรแปลก ๆ อีกแล้ว เลยปล่อยมันวางไว้อยู่ในห้องอยู่แบบนั้น

คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสีดำสนิทตัดกับดวงจันทร์สีขาวที่ลอยอยู่ข้างบนนั้น ผมกำลังเดินเข้าไปในป่าตามเสียงบทสวดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง มันอาจจะเป็นความฝันล่ะมั้ง ในเมื่อมันเป็นความฝันของผม ผมก็ไม่ควรจะต้องกลัวอะไรจริงไหม ยังไงก็ต้องตื่นอยู่ดี เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผมเข้าไปใกล้มากขึ้น อากาศที่นี่เย็นจนผมขนลุก แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ ก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งเดินลึกเข้าไปเพื่อหาต้นตอของเสียง เดินไปเกือบสิบนาทีผมก็คิดว่าผมเจอที่มาของเสียงบทสวดเหล่านั้นแล้ว ผมแหวกต้นไม้ใบหญ้าที่ขวางทางอยู่ก่อนเข้าไปซุ่มแอบดูสิ่งที่เกิดขึ้น

ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนประหลาดในสภาพเปลือยกายทั้งชายหญิงเกือบสิบคน บนหัวของแต่ละคนถูกสวมด้วยหัวของสัตว์ชนิดต่าง ๆ มีทั้ง กวาง ม้า วัว หมี หรือแม้กระทั่งหมู ดูเหมือนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ ทุกคนยืนล้อมกันเป็นวงกลมล้อมรอบกองไฟคล้ายทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ผมต้องฝันอยู่ในฉากสยองขวัญของหนังสักเรื่องที่เคยดูแน่ ๆ ในมือของแต่ละคนถือสัตว์เล็ก ๆ ไว้อีกคนละตัวที่มือซ้าย บางคนเป็นนก บางคนเป็นแมวดำ บางคนเป็นงู เมื่อพิธีกรรมดำเนินไปได้สักพัก บทสวดในพิธีกรรมก็เงียบลง ผมกลั้นหายใจยืนนิ่ง หรือว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่าผมมาแอบดู แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น พิธีกรรมยังถูกดำเนินต่อ มือขวาของทุกคนที่ถือมีดไว้อยู่ปาดลงไปที่ลำคอของสัตว์เหล่านั้นที่อยู่ในมือซ้ายอย่างรวดเร็วและรุนแรง

เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วรอบกองไฟ สิ่งที่เห็นทำให้ผมแทบอ้วกออกมา มันทั้งน่าขยะแขยงและน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน เหมือนจริงเหลือเกิน คนเหล่านั้นเอาเลือดของสัตว์มาทาตัวให้กันและกัน ก่อนจะเริ่มกิจกรรมที่น่าอุบาทว์ยิ่งกว่าเดิม คนเหล่านั้นเริ่มเสพสมกันท่ามกลางซากศพของเหล่าสัตว์พวกนั้น เสียงร้องครวญครางดังก้องไปทั่วบริเวณ

ภาพอุบาทว์ยังคงดังเนินต่อไปเรื่อย ๆ ผมช็อกจนแทบจะก้าวขาไม่ออก ตอนนี้มึงต้องตื่นแล้วนะไอ้ชา มึงควรจะตื่นได้แล้ว มันเหมือนจริงจนไม่ใช่ความฝันเกินไปแล้ว

ตุ้บ !

หัวของแมวถูกโยนมาบริเวณที่ผมซุ่มตัวอยู่พอดี ทำให้ผมตกใจเผลอร้องออกไป ผมรีบถอยหลังและวิ่งออกห่างออกไป เหมือนคนพวกนั้นจะรู้ว่ามีคนแอบดูอยู่ พวกเขาหยุดพิธีกรรมที่ทำแล้ววิ่งตามผมออกมา

ตื่น ! ตื่นซิวะไอ้ชา !

เฮ้ย ! ตุ้บ !

ขาของผมสะดุดกับท่อนไม้ท่อนหนึ่งบริเวณนั้น ก่อนล้มลงไปนอนกับพื้น คนพวกนั้นตามผมมาทัน ร่างของกลุ่มคนประหลาดที่หัวเป็นสัตว์ยืนล้อมผมเอาไว้ มือข้างขวาของพวกเขาถือมีดง้างไว้เตรียมพร้อมที่จะรุมแทงมาที่ตัวผม ผมยันตัวขยับถอยห่างออกไปแต่ก็มีอีกคนมาดักไว้ข้างหลัง

ผมกำลังจะถูกฆ่า … ฝันบ้าบอคอแตกกันไปใหญ่แล้ว

ตื่นซิวะ !

ตื่นโว้ยไอ้ชา ! รู้สึกตัวสักที !

เงาของใบมีดคมกริบนับสิบอันง้างขึ้นอยู่เหนือหัวผมตัดกับดวงจันทร์สีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนคมมีดเหล่านั้นจะกระหน่ำแทงลงมาที่ตัวผม

อ๊าก !

“ชา ! ไอ้ชา ตื่น”

ขอบคุณ ขอบคุณไอ้คีย์ กูรักมึงโคตร ๆ เลยตอนนี้ ผมตาสว่าง ยันตัวขึ้นมานั่งทันทีแบบไม่งัวเงีย เกือบโดนฆ่าไปแล้ว ฝันบ้าอะไรเหมือนรู้สึกตัวเองอยู่ในสถานที่จริง ๆ แบบนั้น

“ร้องลั่นห้องเลย กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกดูหนังผีก่อนนอน” ไอ้อิฐพูดขึ้น มันก็ยันตัวขึ้นมามองหน้าผมจากเตียงฝั่งตรงข้าม

“มันไม่ใช่แบบนั้นเว้ย กู… กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง กูว่า มันเป็นเพราะหนังสือเล่มนั้น” ผมพูดพร้อมเหลือบไปมองหนังสือที่ผมเลิกสนใจมันมาสักพักหนึ่งแล้ว ซึ่งถูกวางกองอยู่ใต้โต๊ะหนังสือของผม

“นี่มึงยังไม่ได้เอาไปให้ตำรวจอีกเหรอ จนกูลืมไปแล้วนะเนี่ย” ไอ้คีย์พูด

“ยัง มันมีเรื่องให้ไม่ได้ไปตลอดอะ มึงออกไปส่งวิญญาณมาเหรอ” ผมถามไอ้คีย์ หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดดูเวลา ช่วงนี้ก็เกือบจะตีสี่แล้ว

“เออ กลับเข้ามามึงก็ร้องลั่นห้องเลย” ไอ้คีย์บอก

เมื่อพวกมันพบว่าไม่มีอะไรนอกจากว่าผมฝันร้าย แต่ละคนก็กลับไปนอนเตียงใครเตียงมันต่อ ผมได้แต่คิดในใจว่าพรุ่งนี้ผมต้องเอาไอ้หนังสือนั่นไปกำจัดให้ได้ ไม่น่าหลวมตัวปล่อยมันให้อยู่ในห้องมานานขนาดนี้เลย

เสียงมือถือผมดังขึ้นหลังจากเรียนจบคลาสเรียนในช่วงบ่าย ผมหยิบมือถือขึ้นมากดรับสายก็พบว่าเป็นน้องสาวตัวแสบที่โทรมานั่นเอง

“เฮีย ม๊าให้โทรหาเผื่อลืม พรุ่งนี้วันตรุษจีนนะ” ปลายสายพูดออกมา

“อื้ม เฮียจำได้หรอกน่า เนี่ยเรียนเสร็จเฮียจะกลับบ้านเลย” ผมบอกไป  ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะกลับไปหอแล้วเก็บของที่จำเป็นไปอยู่บ้านสักวันสองวัน พรุ่งนี้ก็วันเสาร์พอดี

“คีย์ อิฐ กูกลับบ้านนะ พรุ่งนี้ตรุษจีน” ผมพูดกับไอ้คีย์และไอ้อิฐหลังจากวางสายจากกี้ไป

“อ่อ อื้ม ๆ” ไอ้คีย์พูดก่อนพยักหน้ารับ

“กูอยากกินขนมสาลี่ ขนมเทียน ขนมเข่ง หมี่ซั่ว ไหว้เสร็จเอากลับมาเผื่อกูด้วยนะ” ตามด้วยไอ้อิฐ

“เออคร้าบ รู้แล้ว ตรุษจีนทีไรบ้านกูนี่เหมือนเซเว่นสำหรับมึงเลยนะ” ผมพูดจบไอ้อิฐก็หัวเราะ ผมเอาของไหว้กลับมาฝากพวกมันทุกปีครับ เหมือนพวกมันจะชอบโดยเฉพาะไอ้อิฐ

ผมเก็บข้าวของที่จำเป็นเพื่อไปนอนที่บ้าน ไม่ลืมหยิบหนังสือบ้านั่นติดมาด้วย กะจะเอาไปโยนทิ้งแถวถังขยะหน้าหอ ไม่ต้องเอาไปให้ตำรวจละ คงไม่มีใครตามหาหรอก ผมมั่นใจว่าต้องเป็นเพราะหนังสือนี่แหละที่ทำให้ผมเก็บเอาไปคิดไปฝันเรื่องราวต่าง ๆ เป็นตุเป็นตะมากมาย จบกันสักที

ผมเปิดกระจกรถแล้วโยนหนังสือเล่มนั้นลงถังขยะอย่างแม่นยำ

ลาก่อน … ไอ้หนังสือเวร

พอกันทีกับความฝันบ้าบอแบบนั้น …

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด