เคียวที่ 34 : สงครามยมทูต
การประชุมยมทูตถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงคืน
ตอนนี้ภายในชั้นแรกของตึกนรกเต็มไปด้วยยมทูตมากหน้าหลายตา ที่ทยอยกันลงมาเพื่อประชุมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามที่ท่านพญายมราชได้นัดเอาไว้ บางคนผมก็เคยเห็นหน้า บางคนก็ยังไม่เคยเห็นหน้า
“คีย์” เสียงเรียกดังขึ้นมาจากข้างตัว ทำให้ผมหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นพี่เคนตะ ยมทูตที่เคยสอนทักษะการต่อสู้ให้ผมในช่วงเวลาที่ผ่านมานั่นเอง อย่างน้อยผมก็เจอยมทูตที่รู้จักบ้างล่ะนะ จะได้มีเพื่อนคุยฆ่าเวลาระหว่างรอเวลาประชุม
“สวัสดีครับ พี่เคนตะ” ผมทักทายพี่เขา
“อื้มสวัสดี พี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วนะ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้” พี่เคนตะพูดขึ้นระหว่างทางที่เราเดินคู่กันไปที่ลิฟต์ เพื่อลงไปยังห้องสมุดนรก ซึ่งภายในนั้นมีห้องประชุมขนาดใหญ่อยู่ด้วย
“ครับ”
“เรื่องที่แพทหักหลังพวกเรา พี่ยังไม่อยากจะเชื่อเลย พี่สอนเขามากับมือ”
พูดจบพี่เคนตะก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ชีวิตผมมันมีแต่เรื่องเซอร์ไพรส์ตลอดจริง ๆ
“ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันครับ” ผมตอบพี่เขาไป ในหัวก็ได้แต่คิดว่าป่านนี้ฟองจะเป็นยังไงบ้างแล้ว … หวังว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นนะ
“เราไปกันเถอะ” พี่เคนตะพูด พร้อมเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดรอพวกเราอยู่ ก่อนจะมียมทูตอีกสี่ห้าคนเดินตามเข้ามาภายใน
“ครับ”
ประตูลิฟต์เปิดออกมาอีกครั้งที่ห้องสมุดของตึกนรก ผมและยมทูตคนอื่น ๆ เดินไปยังห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับห้องที่เราเอาไว้ใช้ฝึกการต่อสู้ ภายในห้องเป็นสถานที่สำหรับการประชุมขนาดใหญ่ เก้าอี้เกือบหนึ่งร้อยตัววางอยู่ล้อมรอบโต๊ะกลมเพื่อให้พวกเราไปนั่ง ท่านพญายมราชมานั่งรออยู่ก่อนแล้วที่ด้านหนึ่งของโต๊ะกลมอันนั้น รอบ ๆ มียมทูตที่มาถึงแล้วนั่งรออยู่เป็นบางส่วน เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาเที่ยงคืนตามที่ได้นัดหมายเอาไว้มากแล้ว จะหายไปก็แต่พี่สิงห์และพี่ศรีที่ปกติจะคอยนั่งอยู่ข้าง ๆ ท่านพญายมราช แต่ตอนนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ เนื่องจากการต่อสู้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา
ผมเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งกับพี่เคนตะเพื่อรอยมทูตคนอื่นอีกสักพัก เมื่อแน่ใจว่าประตูห้องประชุมไม่มีการเปิดเข้ามาอีกแล้ว ท่านพญายมราชจึงเริ่มต้นพูดขึ้น
“พวกเราคงมากันครบแล้วสินะ” ท่านพญายมราชพูดขึ้นมา พร้อมมองไปรอบ ๆ ห้อง น้ำเสียงแม้จะเหมือนเด็ก ม.ต้น แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงจังและเคร่งเครียด
“มียมทูตหายไปอีกยี่สิบคนค่ะท่าน” พี่ขวัญที่นั่งอยู่ทางด้านข้างเอ่ยรายงานขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้มีศัตรูอยู่ในที่ของเรา เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ท่านพญายมราชเปรยขึ้นมา ผมมองไปรอบ ๆ ห้องก็เห็นเก้าอี้ที่ว่างอยู่เกือบยี่สิบตัวตามที่พี่ขวัญได้บอกเอาไว้ คนที่ไม่มาก็คงยอมเปิดเผยตัวว่าอยู่ฝั่งพี่เชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรต้องหลบซ่อน หรือต้องกลัวอีกต่อไป เพราะป่านนี้พี่เชนคงได้ดวงวิญญาณครบจำนวนตามที่เขาต้องการแล้ว
“พวกนายคงจะพอรู้เรื่องยมทูตตาสีฟ้ากันมาบ้างแล้ว จากข่าวลือต่าง ๆ …” ท่านพญายมราชพูดต่อ และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟัง หลังจากเล่าจบ เสียงฮือฮาก็ดังไปทั่วห้อง มันคงเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนที่ผมเคยเป็น เมื่อตอนรู้เรื่องนี้ครั้งแรกล่ะมั้ง ทั้งเรื่องดวงวิญญาณที่สูญหาย การกลืนกินดวงวิญญาณที่จะทำให้สามารถมีพลังเท่าท่านพญายมราชได้
“นี่หมายความว่า เขามีพลังเท่ากับท่านแล้วเหรอครับ”
“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกัน”
“ท่านสู้กับเขาไหวเหรอ”
“พวกเราจะตายกันอีกรอบไหมคะ”
เสียงคุยดังขึ้นรอบด้าน ต่างคนต่างถามคำถามของตัวเองขึ้นมาจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ดูเหมือนท่านพญายมราชจะทนไม่ไหวเลยทุบโต๊ะเสียงดังปั้ง ทำเอาทั้งห้องเงียบกริบ ความวุ่นวายกลับมาสงบอีกครั้ง ทุกคนหันไปมองสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียง เพราะดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเข้าสู่โหมดน่าเกรงขามเหมือนตอนที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษาไปแล้ว
“ทำไมพวกเจ้าถึงขี้ขลาดกันนัก” เสียงเย็นเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดังมาจากหญิงสาวในชุดเครื่องแต่งกายสมัยโบราณ ทำให้ผมหันไปมองบุคคลนั้น ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งตรงกันข้ามกับท่านพญายมราช ผมจำได้ว่าท่านนี้คือคนที่คุมนรกอยู่ที่ชั้นสอง
“นรกจะถูกศัตรูยึดไปก็เพราะความอ่อนแอของพวกเจ้านี่แหละ” เจ้าของเสียงพูดต่อ
“ท่านมีความเห็นยังไงบ้าง” ท่านพญายมราชเอ่ยถามความเห็นของคนที่อาวุโสที่สุดในนรก
“ช้าหรือเร็วพวกนั้นก็ต้องลงมา พวกเราทำได้แค่เพียงรอ ยมทูตของเรามีเยอะกว่าก็จริง แต่ก็เป็นยมทูตที่เพิ่งเปลี่ยนจากการเป็นมนุษย์มาไม่นาน ผิดกับทางฝั่งนั้น ที่ได้ทั้งคนที่มีฝีมือและอยู่มานานพอสมควร” ผู้คุมนรกชั้นที่สองพูดต่อ ท่านพญายมราชพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น
“คนอื่นว่าไงบ้าง” ท่านพญายมราชพูดแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง
เมื่อทั้งห้องเงียบไม่ได้ค้านอะไร ก็แสดงว่าเห็นด้วย ท่านพญายมราชเลยพูดต่อ
“ฉันได้ทำบาเรียป้องกันล้อมรอบตึกแห่งนี้ไว้แล้ว หลังจากเที่ยงคืนจะไม่มีใครสามารถเข้าออกตึกนรกได้อีก”
“หมายความว่าเราต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนเหรอครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ใช่ ฉันต้องการกำลังคน เราไม่รู้ว่าพวกนั้นจะลงมาตอนไหน พวกนายต้องทิ้งชีวิตบนโลกไปก่อน ฉันเองก็ไม่รู้ว่ากี่วัน แต่ต้องอยู่ที่นี่”
“เคนตะ ตอนนี้สิงหราช กับศรีสอางค์อาการสาหัสมาก ฉันอยากให้นายช่วยเป็นหูเป็นตา คอยดูแลยมทูตคนอื่น ๆ ที่นี่ด้วย” ท่านพญายมราชพูดพร้อมหันหน้ามาทางพี่เคนตะ
“ได้ครับ” พี่เคนตะตอบ
“ส่วนยมทูตที่เหลือ ฉันอยากให้พวกนายเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อ เราไม่รู้ว่ามันจะบุกลงมาเมื่อไร ฉันเชื่อใจฝีมือพวกนาย ส่วนใครที่ยังไม่มั่นใจฝีมือตัวเอง ให้เคนตะช่วยฝึกซ้อมให้ก็ได้”
ระหว่างที่ท่านพญายมราชกำลังพูดถึงเรื่องการแบ่งหน้าที่เมื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินมันเกิดขึ้นมา อยู่ ๆ เก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ก็สั่นแปลก ๆ เหมือนแผ่นดินไหว บนเพดานที่มีโคมไฟระย้าห้อยลงมากลางโต๊ะแกว่งไปแกว่งมาจนดูน่าหวาดเสียวเหมือนจะหล่นลงมากลางห้องประชุมอยู่ทุกเมื่อ ทุกคนหันไปมองหน้ากัน ต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ตู้ม !
เสียงระเบิดดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหวเป็นคำตอบให้กับทุกอย่าง ท่านพญายมราชยืนขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีและตะโกนดังกังวานไปทั่วห้อง
“ขึ้นไปข้างบน ! พวกมันมาแล้ว”
ความโกลาหลแตกตื่นเกิดขึ้นทันที ใครจะไปคิดว่าไอ้เหตุการณ์ฉุกเฉินที่พูดถึงมันจะเกิดขึ้นไวจนไม่ได้ตั้งตัวกันขนาดนี้ ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าพี่เชนจะกล้ารีบบุกมาขนาดนี้ ทุกคนรีบนำเคียวประจำตัวของตัวเองออกมา ก่อนทยอยกันออกจากห้องนี้และขึ้นไปทางด้านบนของตึกนรก
ผมและยมทูตคนอื่น ๆ เดินมายังที่เกิดเสียง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นด้านหน้าของตึกนรก ท่านพญายมราชเดินนำไปหน้าตึก ก่อนใช้พลังทำให้บานประตูตึกนรกเปิดออก ภาพที่เห็นตรงหน้าประตูตึกนรกบานใหญ่ คือกลุ่มยมทูตในชุดคลุมสีดำไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนยืนอยู่ถัดจากตรงนั้น โดยมีร่างของพี่เชนยืนอยู่ด้านหน้าสุดกำลังทำลายบาเรียโปร่งแสงสีแดงที่ท่านพญายมราชได้สร้างเอาไว้
ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !
เคียวของพี่เชนฟาดฟันออกมาตรงหน้า ทำให้เกิดคมอากาศสีดำพุ่งออกมาจากปลายเคียวและตรงดิ่งมายังบาเรียที่กั้นพวกเราไว้จากอีกฝั่งที่กำลังจะบุกเข้ามา ก่อนเสียงระเบิดจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บาเรียที่ครอบตึกนรกไว้ทั้งตึกร้าวเหมือนกระจกที่กำลังจะถูกทำให้แตก
และในที่สุดพี่เชนก็ตวัดเคียวครั้งสุดท้ายก่อนสิ่งที่กั้นอยู่ระหว่างเราและพวกเขาจะแตกสลายหายไป
“มาเร็วกว่าที่คิดนะ” ท่านพญายมราชพูดขึ้นพร้อมเดินออกไปด้านนอกของตึกนรก
“พอดีผมรีบน่ะครับ รอมาตั้งเกือบสามสิบปี” พูดจบเจ้าตัวก็ยิ้มกว้าง มันเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายที่สุดที่ผมเคยเห็นมา
“ฉันคงพูดอะไรเปลี่ยนใจนายไม่ได้แล้วซินะ …ชรินทร์”
ท่านพญายมราชเดินนำพวกเราออกไปข้างนอกตึกนรกก่อนเคียวสีดำที่ขนาดใหญ่กว่าตัวจะปรากฏอยู่ในมือด้านขวา
“มันเปลี่ยนไม่ได้แล้วครับ ก็เหมือนกับที่ท่านเอาคนที่ผมรักไป ผมยังพูดเปลี่ยนใจท่านไม่ได้เลย”
“นายรู้กฎของพวกเราดี มนุษย์ที่ตายแล้ว ดวงวิญญาณต้องมารับการพิพากษาในนรก และนายเองก็เป็นยมทูต นายไม่ควรจะเป็นคนฝืนกฎนั้น”
“เพราะแบบนี้ไง ผมเลยมาเพื่อเปลี่ยนกฎ ขอบคุณที่สอนหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างให้นะครับ”
“ฉันเคยมองนายผิดไปจริง ๆ”
“เราอย่ามามัวแต่พล่ามอะไรไร้สาระกันเลยครับ มาเริ่มเลยดีกว่า”
พูดจบเจ้าตัวก็ยกมือขวาขึ้นให้สัญญาณยมทูตในชุดผ้าคลุมสีดำที่อยู่ด้านหลังของตนเอง ก่อนริมฝีปากสีดำสนิทจะเอ่ยประโยคจบการสนทนาออกมา
“ฆ่าพวกมัน … ให้ตายกันอีกรอบ”
ยมทูตทั้งสองฝ่ายเริ่มพุ่งเข้าหากัน นี่มันแย่ซะยิ่งกว่าแย่อีก เสียงคมเคียวกระทบกันดังสนั่นหวันไหวไปทั่วบริเวณ พร้อมกับพลังที่แต่ละคนเอามาใช้ใส่กัน สภาพหน้าตึกนรกตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสงครามขนาดย่อม ถึงแม้จำนวนคนจะหลักร้อย แต่กลับทำลายพื้นที่บริเวณโดยรอบไปอย่างกว้างขวางเนื่องจากพลังยมทูตของแต่ละคน ตอนนี้ผมก็ตวัดเคียวใส่ยมทูตชุดคลุมสีดำหลายคนที่เกะกะขวางทาง ตอนนี้ผมคิดอยู่อย่างเดียว ผมต้องหาแพทให้เจอ ฟองต้องปลอดภัย
… เธออยู่ไหนนะ แพท
สายตาผมกวาดไปทั่ว จนกระทั่งเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับยมทูตฝั่งของผมอยู่ ไม่ผิดแน่ … นั่น แพท ร่างตรงหน้าตวัดเคียวอย่างคล่องแคล่วเหมือนที่ผมเคยเห็นฝีมือเธอมาก่อนหน้านี้
ขณะที่ผมกำลังพุ่งตัวเข้าไปหาแพท คมเคียวก็ตวัดผ่านหน้าผมไปหน่อยเดียว ผมหันกลับไปหาเจ้าของร่างที่โจมตีผม ยมทูตคนนั้นยิ้มออกมาเหมือนทักทาย ผมจำได้ว่าคนคนนี้เป็นคนที่พี่เคนตะเคยฝึกซ้อมทักษะการต่อสู้ให้พร้อมกับผมเมื่อหลายเดือนก่อน
“ไม่คิดเลยว่านายจะอยู่ฝั่งนั้น” ผมพูดออกไป
“ฉันก็แค่เลือกที่จะอยู่ฝั่งที่มีโอกาสชนะมากกว่า …ก็เท่านั้น” คนตรงหน้าผมตอบออกมา
ในเมื่อขวางกันขนาดนี้ก็คงต้องจัดการ ไม่รอช้าผมพุ่งตัวเข้าไปหาคนตรงหน้า คมเคียวของผมกับยมทูตคนนั้นปะทะกันจนเกิดประกายไฟกระเด็นออกมาเนื่องจากความร้อน เป็นแบบนี้อยู่เกือบนาที ที่ทั้งตั้งรับและบุก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมันต้องกินเวลามากแน่ ๆ ผมใช้มือซ้ายเรียกลมในอากาศมารวมกันหมุนวนอยู่บนมือ ก่อนตะวัดให้บอลลมนั้นพุ่งออกไปหายมทูตตรงหน้าในจังหวะที่เขามัวแต่จดจ่อกับเคียวของผมที่ตวัดออกไป
ตู้ม !
ร่างนั้นเซถลากระเด็นล้มไปกับพื้น ก่อนจะตวัดเคียวทำให้เกิดอากาศคมกริบพุ่งตรงมาหาผม โชคดีที่ทักษะที่เรียนมากับพี่เคนตะได้ช่วยเอาไว้ ผมกระโดดหลบได้ทัน ร่างของยมทูตพุ่งตรงเข้ามาหาผมอีกครั้งก่อนเราจะปะทะคมเคียวกันอีกรอบ
และในที่สุดผมก็หาช่องว่างเจอ ผมฟันเคียวไปกลางลำตัวของยมทูตตรงหน้า เลือดไหลเยิ้มออกมาจากชุดคลุมของคนตรงหน้า เจ้าของร่างร้องออกมาแต่ก็ยังกัดฟัน พุ่งตัวเข้ามาหาผมเพื่อสู้ต่อ
… หมอนี่มันกัดไม่ปล่อยเลยแฮะ
“คีย์ ทางนี้พี่จัดการเอง ไปหาแพทเถอะ” เสียงเรียกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมกระโดดหลบจากวงเคียวของศัตรูแล้วหันไปมองเจ้าของเสียง พี่เคนตะในสภาพชุ่มไปด้วยเหงื่อของตัวเองพร้อมกับคราบเลือดของใครไม่รู้ติดอยู่ที่เสื้อมากมายเดินเข้ามาหา
“ขอบคุณครับพี่” ผมพูดออกไป แล้ววิ่งออกมาจากวงต่อสู้เพื่อเข้าไปหาแพทที่กำลังต่อสู้อยู่ห่างออกไปไม่มาก
“เป็นศิษย์คิดจะล้างครูเหรอ ไม่ดีหรอกมั้ง …”
ไม่วายได้ยินพี่เคนตะพูดใส่ยมทูตคนนั้น ก่อนการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่จะเริ่มดำเนินต่อ
อีกทางด้านหนึ่งของการต่อสู้ ร่างของท่านพญายมราชลอยตัวขึ้นมาให้อยู่ในระดับเดียวกันกับพี่เชน ก่อนคมเคียวจะกระหน่ำฟันไปยังคนตรงหน้า ไวจนแทบจะมองไม่ทัน อากาศคมกริบดุจใบมีดสีแดงพุ่งตรงไปยังร่างของพี่เชน ก่อนเสียงระเบิดจะดังสนั่นขึ้นมา พื้นหญ้าบริเวณเป้าหมายไหม้เกรียมเป็นวงกว้าง ทิ้งไว้แต่ร่องรอยขนาดใหญ่บนพื้น ดวงตาสีแดงมองหาร่างของศัตรูหลังจากควันไฟที่เกิดจากการระเบิดค่อย ๆ จางหายไป แต่ร่างที่มองหาไม่ได้อยู่ตรงที่ที่สมควรจะอยู่ ร่างนั้นมาโผล่อยู่ด้านหลังท่านพญายมราช ก่อนเคียวของเจ้าตัวจะตวัดลงมา
เคร้ง !
ปลายเคียวอีกอันกระทบลงกับเคียวที่ถูกฟันลงมา โชคดีที่ท่านพญายมราชไหวตัวทัน
ร่างของท่านพญายมราชรีบหมุนตัวกลับไปหาศัตรู ก่อนจะตั้งรับอีกครั้ง คมเคียวทั้งสองกระทบกันอย่างรุนแรง แต่เหมือนเพราะลักษณะทางกายภาพด้อยกว่าคู่ต่อสู้ ทำให้ค่อนข้างจะเสียเปรียบ ในที่สุดท่านพญายมราชก็พลาดท่า สู้แรงศัตรูตรงหน้าไม่ได้ เคียวอันใหญ่กระเด็นหลุดออกจากมือไปปักบนพื้นดิน
“ฝีมือตกหรือเปล่าครับ” ร่างที่สูงกว่าพูดขึ้นมา ปลายเคียวคมกริบจ่ออยู่ที่ลำคอของท่านพญายมราช ดวงตาสีฟ้าจ้องไปที่ดวงตาสีแดงอย่างเยาะเย้ย และ …
ตู้ม !
แรงลมมหาศาลกระแทกร่างของพี่เชนกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น แรงกระแทกทำให้เกิดเป็นหลุมกว้างขนาดใหญ่ ท่านพญายมราชใช้พลังทำให้เคียวตัวเองลอยกลับมาอยู่ในมือ ก่อนปลายเคียวจะถูกฟาดลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ออร่าสีแดงแผ่ออกมาทั่วร่างกาย ดวงตาสีแดงจ้องไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้า พื้นดินบริเวณที่ถูกเคียวฟาดลงไปเกิดเป็นรอยแยกเป็นทาง ล้อมรอบร่างของพี่เชนที่ตอนนี้ลุกขึ้นมายืนเรียบร้อยแล้ว เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาล้อมรอบตัวพี่เชนไว้ ตามรอยแยกที่พื้นดิน ยมทูตที่ต่อสู้อยู่รอบ ๆ เริ่มหันมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังคงต่อสู้กันเองอยู่
“จะเลิกเล่นแล้วเหรอครับ” พี่เชนพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมปัดเศษดินออกจากเสื้อคลุมสีดำของตัวเองเนื่องจากล้มไปกับพื้นเมื่อกี้ ก่อนร่างของเจ้าตัวจะเดินออกมาจากกองไฟที่ล้อมเอาไว้ ออร่าสีดำมืดก็เริ่มแผ่ออกมาจากร่างกายของเจ้าตัวเช่นกัน
ท้องฟ้าด้านบนตึกนรกตอนนี้แดงก่ำเหมือนเลือด สายฝนเริ่มหยดลงมา จากเม็ดเล็ก ๆ ก็กลายเป็นสายฝนที่กระหน่ำเทลงมา ความเย็นแผ่ซ่านเข้ามาทั่วทุกบริเวณ อุณหภูมิเย็นลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พื้นหญ้าด้านล่างปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งที่ควบแน่นจากหยดน้ำฝน ร่างของผู้คุมนรกชั้นที่สองปรากฏขึ้นข้าง ๆ ร่างของท่านพญายมราช
“หึ ๆ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าท่านก็สามารถออกมาจากไอ้นรกน้ำแข็งแห่งนั้นได้” พี่เชนหัวเราะขำก่อนพูดออกมา เมื่อเห็นร่างของผู้คุมนรกชั้นที่สอง
“ไม่เจอกันนาน ปากเจ้านี่มันน่าเย็บติดกันซะเหลือเกินนะ ไม่เห็นเหมือนตอนเป็นยมทูตใหม่ ๆ” ผู้คุมนรกชั้นที่สองพูดขึ้นมา
“ขอโทษด้วยที่มาช่วยท่านช้า ข้ามัวแต่จัดการกับพวกยมทูตที่เกะกะขวางทางอยู่”
ประโยคที่สองพูดขึ้นกับท่านพญายมราช ภาพเบื้องหลังของผู้คุมนรกชั้นที่สองคือร่างของยมทูตชุดคลุมสีดำสี่ห้าร่างในสภาพเป็นหุ่นน้ำแข็งยืนแน่นิ่งอยู่กับที่
“หึ ๆ คนแก่อายุหลายร้อยปีสองคนคิดจะรุมเด็กงั้นเหรอ รีบเข้ามาสิครับ” พี่เชนพูด
“ไม่ต้องมาท้าหรอก ชรินทร์ พวกเราจัดการนายแน่”
พูดจบท่านพญายมราชก็พยักหน้าให้กับผู้คุมนรกชั้นที่สองซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ
สายฝนรอบ ๆ บริเวณนั้นเริ่มก่อตัวกัน ควบแน่นจนกลายเป็นหอกน้ำแข็งนับร้อยอัน โดยปลายแหลมคมชี้ไปทางศัตรู พร้อมที่จะพุ่งไปหาพี่เชนทุกเมื่อ ในขณะเดียวกันบนมือซ้ายของท่านพญายมราชก็เกิดก้อนพลังงานสีแดงที่ดูเหมือนว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายสะสมพลังงานเตรียมปลดปล่อย
ไอหมอกสีดำแผ่ขยายออกมารอบตัวพี่เชนมากขึ้น จนแทบมองไม่เห็นตัว เห็นเพียงจุดสองจุดสีฟ้าเข้มออกมาจากเงามืดอันนั้น
เมื่อได้จังหวะ ลูกบอลพลังสีแดงขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากมือของท่านพญายมราชตรงไปยังกลุ่มไอหมอกสีดำที่อยู่ตรงหน้า พร้อม ๆ กับหอกน้ำแข็งนับร้อยอันที่พุ่งออกไปพร้อมกันด้วยความเร็วสูง
ตู้ม ! ตู้ม! ตู้ม!
เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นมาต่อเนื่อง เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ยมทูตหลายคนที่กำลังต่อสู้ในรัศมีระยะของการระเบิดกระเด็นออกมา บาดเจ็บสาหัสเป็นวงกว้าง ควันไฟและสะเก็ดไฟจากการระเบิดกระเด็นไปทั่ว
สายฝนหยุดตกแล้ว ไอหมอกสีดำค่อย ๆ จางหายไปปรากฏให้เห็นบาเรียโปร่งแสงสีดำที่ครอบร่างของพี่เชนเอาไว้ เจ้าตัวแสยะยิ้มมองผลงานตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“ท่านทำบาเรียได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้ ขอบคุณที่เคยสอนเรื่องการสะท้อนพลังนะครับ”
ร่างของพี่เชนค่อย ๆ เดินมายังร่างของท่านพญายมราชและผู้คุมนรกชั้นที่สองที่โดนพลังของตัวเองสะท้อนกลับ กระเด็นลงล้มไปกับพื้น เลือดกระอักออกมาจากปากของผู้คุมนรกชั้นที่สอง ขณะที่ท่านพญายมราชค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมา ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ในมือทั้งสองกำหมัดแน่น
“เป็นคนสอนเองแต่กลับลืมเหรอครับ วิธีนี้ ยิ่งโดนโจมตีด้วยพลังมากเท่าไร ถ้าสร้างบาเรียสะท้อนเอาไว้ทัน ความเสียหายทั้งหมดจะตกไปอยู่กับศัตรู” พี่เชนพูดต่อ ปลายเคียวลากมากับพื้นดินเป็นทางยาว เดินตรงเข้ามาใกล้ท่านพญายมราชเรื่อย ๆ ราวกับมัจจุราชที่พร้อมจะปลิดชีพ
“ฉันพลาดเอง” ท่านพญายมราชกัดฟันพูดออกมา สภาพร่างกายตอนนี้ดูฝืนเอามาก ๆ ในสายตาของเหล่าศัตรูและยมทูตของตนเอง ดวงตาสีแดงเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาบริเวณต่อสู้ ท่านพญายมราชจึงหันกลับไปมองร่างของศัตรูอย่างแน่วแน่อีกครั้ง
“แต่นายก็รู้ …ฉันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก”
“มีอะไรก็ใส่มาให้หมดนะครับ จะได้ไม่เสียใจ เมื่อสัมผัสความตายเป็นครั้งที่สอง”
ตู้ม !
การระเบิดครั้งใหญ่ทำให้ผมที่กำลังวิ่งไปหาแพทกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น เนื่องจากรัศมีแรงระเบิดนั้นส่งมาถึงบริเวณที่ผมอยู่ด้วย หูผมตอนนี้อื้อไปหมด สายตาพร่ามัวเนื่องจากควันไฟที่มีอยู่ปกคลุมทั่วทุกบริเวณ ฝนที่ตกพร้อมกับความหนาวเย็นได้หายไปแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นพลังของผู้คุมนรกชั้นที่สอง ผมค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมา พร้อมกับไอเพราะสำลักควันไฟ รู้สึกทั้งชาและเจ็บระบมไปทั่วตัว
ควันไฟจากการระเบิดครั้งใหญ่ค่อย ๆ จางหายไป ผมยืนขึ้นมองดูภาพตรงหน้าและรอบข้าง พื้นหญ้าที่เคยมีไหม้เกรียมไปหมด พื้นดินแตกระแหง เกิดเป็นหลุมบ่อ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ความเละเทะและการต่อสู้ แตกต่างจากวันแรกที่ผมมาเห็นที่นี่อย่างสิ้นเชิง
นี่สินะ …สภาพของนรกที่แท้
แต่ที่หนักไปกว่านั้น คือเสียงโห่ร้องเชียร์อย่างยินดีจากเหล่ายมทูตในชุดคลุมสีดำที่อยู่บริเวณการต่อสู้ระหว่างท่านพญายมราชกับพี่เชน นั่นทำให้ผมรู้ว่า
ฝ่ายเรากำลังจะแพ้ …
มองไกล ๆ ผมเห็นร่างของท่านพญายมราชค่อย ๆ ยืนขึ้นมาในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ผมควรต้องทำยังไงดี ร่างของแพทหายไปจากสายตาผมแล้ว ความรู้สึกตอนนี้มันมึนงง และชาไปทั่วตัว มันเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรก่อนดี
เท้าของผมค่อย ๆ ก้าวออกไปยังบริเวณการต่อสู้ระหว่างท่านพญายมราชและพี่เชน ถ้าความหวังเดียวอย่างท่านพญายมราชถูกพี่เชนทำให้หายไปล่ะก็ … นรกแห่งนี้ได้พินาศ ย่อยยับแน่ ๆ
“แต่นายก็รู้ …ฉันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก”
“มีอะไรก็ใส่มาให้หมดนะครับ จะได้ไม่เสียใจ เมื่อสัมผัสความตายเป็นครั้งที่สอง”
เมื่อไปถึงบริเวณการต่อสู้ ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเห็นท่านพญายมราชในสภาพแบบนั้น ร่างเล็ก ๆ เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลมากมาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวอายุมากกว่าผมอยู่หลายร้อยปี แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเห็นน้องตัวเองกำลังถูกรังแกจนสภาพร่างกายยับเยิน บาดเจ็บสาหัส เรารู้จักกันมาแค่ครึ่งปี แต่ผมก็รู้สึกผูกพันกับร่างตรงหน้ามาก ภาพมากมายปรากฏขึ้นอยู่ในหัว
ภาพวันแรกที่เราได้เจอกันที่ถนนหน้าหอในที่ผมถูกรถชน …
ภาพมือลูฟี่ที่ยืดยาวมาโบกหัวผมตอนคิดอะไรในใจ …
ภาพที่เจ้าตัวพาผมทัวร์นรกแปบเดียว …
ภาพที่พวกเราไปนั่งกินกาแฟกับพี่สิงห์และพี่ศรีบนโลก …
ภาพที่ร้องเพลงเต้นสนุกกันในวัน Freshy Night …
ภาพที่พวกเราหัวเราะกันอย่างมีความสุขตอนกินชาบูที่ร้านไอ้ชา …
ทุกภาพมันยังคงเป็นความทรงจำที่สวยงาม พวกเขากลายมาเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวไปแล้ว ผมทนไม่ได้ที่เห็นคนที่ผมเป็นห่วงและแคร์ต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น ดวงตาสีแดงของร่างตรงหน้าผมจ้องไปที่ศัตรูอย่างไม่เคยคิดจะยอมแพ้ ในขณะที่ด้านหลังคือร่างของผู้คุมนรกชั้นที่สองนอนบาดเจ็บอยู่ไม่ต่างกัน
แล้วผมล่ะ … ผมทำอะไรได้บ้าง ในขณะที่เจ้าตัวพร้อมที่จะลุกขึ้นมาปกป้องทุกคนที่อยู่ในนรก แต่ผมกับนึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง นึกถึงแต่พี่ฟอง
“อ้าวคีย์ มาช่วงสนุกพอดีเลย พี่กำลังจะรุกฆาตแล้ว” เสียงของพี่เชนดังขึ้น พร้อมหันมาหาผมเมื่อสังเกตเห็น แต่ผมไม่ได้สนใจฟัง วิ่งเข้าไปหาท่านพญายมราชด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่ผมเข้าไปใกล้ตัวท่านพญายมราชบาเรียสีแดงโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นล้อมร่างของเราทั้งสองคนไว้ พี่เชนที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบพุ่งตรงเข้ามาเพื่อทำลายบาเรียของท่านพญายมราชทันที
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ผมรีบพูดออกไปเมื่อเห็นท่านพญายมราชทรุดตัวลงกับพื้น
“ฉัน … เชื่อใจนายนะคีย์ ฉันมีบทเรียนจะสอนให้ และฉันไม่เคยสอนสิ่งนี้ให้ชรินทร์”
แต่ละคำพูด พูดขึ้นมาอย่างอยากเย็น ดูก็รู้ว่าเจ็บขนาดไหน
ตู้ม ! คมเคียวของพี่เชนฟาดมายังบาเรียของท่านพญายมราช บาเรียเริ่มค่อย ๆ ร้าวเหมือนแก้วกำลังจะแตก
“เรามีเวลาไม่มาก จำสิ่งที่ฉันสอนให้ดี ๆ ฉันสู้ไม่ไหวแล้ว” ท่านพญายมราชกัดฟันพูดต่อ
“จะทำอะไรครับ” ผมถามออกไป
“ยะ … ยื่นมือมา”
ตู้ม ! คมเคียวของพี่เชนกระหน่ำฟาดลงมาอีกหลายครั้ง
ผมรีบยื่นมือไปหาท่านพญายมราชอย่างรวดเร็ว มือเล็กทั้งสองข้างจับมือผมเอาไว้แน่น ออร่าสีแดงแผ่ออกมารอบตัวของท่านพญายมราช
ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นทันทีที่มือสัมผัสกับมือของท่านพญายมราช มันเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมเข้ามาทั่วร่างกายราวกับโดนเข็มนับล้านอันทิ่มลงมา เกิดภาพมากมายขึ้นในหัวผม เหมือนตอนผมส่งวิญญาณลงมายังนรก แต่ภาพเหล่านั้นมันมีเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความทรมาน ล้วนแล้วแต่เป็นดวงวิญญาณที่มีแต่ความชิงชังที่ท่านพญายมราชได้กลืนกินเข้าไปทั้งนั้น
มันเจ็บเหลือเกิน ผมกัดฟันอดทนจนเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดออก มันนานเกินไป นานจนรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนได้แล้ว จึงพยายามสะบัดมือตัวเองออกจากท่านพญายมราช แต่มันก็ไม่ได้ผล ท่านพญายมราชจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ในที่สุดผมก็ร้องตะโกนออกมาเพราะทนความเจ็บไม่ไหว ผมไม่รู้ว่ามันนานเท่าไร แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เห็นร่างตรงหน้าปล่อยมือผมออกแล้ว และเจ้าตัวล้มตัวลงไปนอนบนพื้นอย่างหมดแรง
“ฝากด้วยนะคีย์” ร่างตรงหน้าผมพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
เพล้ง !
บาเรียโปร่งแสงสีแดงแตกกระจายเหมือนกระจกที่โดนทุบ พี่เชนก้าวเท้าเข้ามาหาผมกับท่านพญายมราชอย่างหงุดหงิด แต่ผมไม่ได้สนใจ
ผมจ้องหน้าของท่านพญายมราชตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง …
สีดวงตาของท่านพญายมราชได้เปลี่ยนไปแล้ว มันกลับกลายไปเป็นสีดำเหมือนยมทูตทั่วไป ผมเหลือบตามองเงาตัวเองที่สะท้อนมาจากน้ำในหลุมที่ขังอยู่บนพื้น
… สีตาของผม
… มันกลายเป็นสีแดง