ตอนที่แล้วเคียวที่ 28 : เด็กชายท้องฟ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 30 : ยมทูตตาสีฟ้า

เคียวที่ 29 : ค่ายอาสา


ช่วงเย็นของวัน

พวกผู้ชายก็พากันมาช่วยกลางเต็นท์ที่สนามหญ้าของโรงเรียน เพื่อเป็นที่นอนในคืนนี้ ส่วนผู้หญิงก็แยกตัวออกไปทำอาหารเย็นให้กับพวกเราในโรงครัว ตอนนี้ผมกับชาบูกำลังช่วยกันกางเต็นท์อยู่ ข้าง ๆ คืออิฐและพี่เต้ที่กำลังกางเต็นท์อยู่ไม่ห่างกัน

“เต็นท์มันนอนได้สองคน มึงนอนกับกูนะไอ้ชา” ผมบอกชาบูไป ขณะที่กำลังปักสมอบกลงบนพื้นดิน

“ไม่เอา กูจะนอนกับไอ้อิฐ กูจะคอยจับตาดูมัน” ชาบูตอบ ผมว่ามันเข้าขั้นโรคจิตแล้วนะ อะไรจะขนาดนั้น อิฐมันก็ไม่ได้เป็นไอ้หื่นบ้ากามที่ไหนซะหน่อย มันต่างหากตัวดีเลย

“มึงบ้าไปแล้วไอ้ชา แล้วกูจะนอนกับใครอะ” ผมถามต่อ

“นอนกับพี่ไงครับ พี่ยังไม่มีคู่เลย”

เสียงจากนรกเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังผม ฉิบ ...

อาหารเย็นของวันนี้เป็นอาหารง่าย ๆ นั่นก็คือ ผัดมาม่าที่สาว ๆ ได้ทำเอาไว้นั่นเอง หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จพวกเราก็มานั่งล้อมวงที่บริเวณสนามด้านหน้าของเสาธงโรงเรียน พูดคุยและประชุมเรื่องกิจกรรมที่ได้ทำไปในวันนี้ ว่ามีอะไรที่อยากแก้ไขหรือเปล่า รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงกิจกรรมที่จะทำขึ้นต่อไปในปีหน้า

“โอเคนะครับทุกคน ถ้าไม่มีใครจะเสนอแนะอะไรแล้ว ต่อไปก็จะเป็นกิจกรรมในชมรมของเราครับ” พี่เชนประธานชมรมพูดสรุป ก่อนพูดถึงหัวข้อในการสนทนาถัดไป

“กิจกรรมถัดไปคือเล่าเรื่องขนหัวลุกตามคอนเซปของชมรมเราครับ ใครมีเรื่องอะไรอยากเล่ามาแชร์กันได้เลย”

เรื่องราวสยองขวัญหลายเรื่องถูกแชร์จากสมาชิกภายในชมรม มันช่างเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เสียจริง ในยามค่ำคืนของที่นี่มีแสงไฟไม่มากครับ อากาศก็จะเริ่มเย็นหน่อย ๆ เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว จำนวนคนเกือบสามสิบคนนั่งล้อมวงเล่าเรื่องผีแบบไม่ได้กลัวว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาจากความมืดด้านหลังเลย เมื่อจ้องไปยังคนฝั่งตรงข้ามก็เห็นเพียงความมืดที่เข้ามาปกคลุมเท่านั้น

“เรื่องสุดท้ายก่อนจะจากกันไปนอน พี่อยากให้พี่เต้เล่า คนนี้เล่าได้น่ากลัวสุดยอดเลยครับน้อง ๆ” พี่เชนประธานชมรมพูดขึ้นมา ก่อนชี้ไปทางพี่เต้ที่นั่งอยู่ถัดจากฟอง คนถูกบอกให้เล่าเรื่องพยักหน้ารับยิ้ม ๆ

“โอเคครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี่เคยอ่านมาจากเพจเรื่องเล่าสยองขวัญเพจหนึ่งนานมาแล้ว ต้องขอเครดิตให้เพจนั้นด้วยครับ มันเป็นเรื่องสยองอันดับหนึ่งในใจของพี่เลยล่ะ ไม่แน่ใจว่าพวกน้องเคยฟังหรือเปล่า”

“เรื่องมันเกิดขึ้นจากการที่นักศึกษาแพทย์แกล้งกันเล่น มีนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งได้แอบนำชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่กลับไปศึกษาต่อที่ห้อง เย็นวันนั้น เขาก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ แต่เนื่องจากเจ้าตัวเป็นคนขี้เล่น ชอบแกล้งคนอื่นไปทั่ว เลยวางแผนอยากแกล้งเพื่อนให้ตกใจเล่น เจ้าตัวเลยนำชิ้นส่วนกระดูกอาจารย์ใหญ่มาแขวนไว้ที่พัดลมเพดานกลางห้อง เพื่อให้รูมเมทที่เข้ามาทีหลังตกใจกลัว”

“นักศึกษาแพทย์คนนั้นออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาถึงหอเกือบเที่ยงคืน เขาคิดว่ารูมเมทของเขาต้องเห็นแล้วโวยวายจนหูชาแน่ ๆ คิดได้แบบนั้นก็นึกขำในใจ แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปก็ได้แต่แปลกใจ ทุกอย่างในห้องกลับมืดสนิท เห็นเพียงแสงไฟจากหน้าต่างเล็กน้อยที่สาดส่องเข้ามา เจ้าตัวคลำสวิตช์ไฟเพื่อเปิดแต่ก็ไม่ติด เพื่อนเขาน่าจะกลับมาห้องแล้วนี่นา เขาคิดแบบนั้น แต่ก็นึกว่าตัวเองต้องโดนแกล้งอำกลับแน่ ๆ เลยไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร”

“เขาได้ยินเสียงขลุกขลักดังออกมาจากตู้เสื้อผ้า ก็มั่นใจว่าโดนแกล้งกลับแน่ เจ้าตัวจึงหัวเราะออกมา ก่อนเดินไปยังตู้เสื้อผ้า พร้อมเปิดมันออก แต่ภาพที่เห็นในตู้เสื้อผ้ากลับทำให้เขาช็อกจนพูดไม่ออก” พี่เต้หยุดพูดไปสักพักเพื่อให้พวกเราลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ

“รูมเมทของเขานั่งงอเข่าคุ้ดคู้อยู่ภายในตู้ซื้อผ้า เจ้าตัวกำลังหยิบชิ้นส่วนกระดูกของอาจารย์ใหญ่มาแทะเล่น ดวงตาขวางขึ้นมาจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น พร้อมร้องตะโกนว่า มึงเอาของกูกลับมาทำไม นักศึกษาคนนั้นตกใจแทบสิ้นสติ คืนนั้นทั้งคืน นักศึกษาแพทย์ทั้งหอได้ยินเสียงกรีดร้องตะโกนอย่างหวาดกลัวดังลั่น วันต่อมานักศึกษาแพทย์คนนั้นก็กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปแล้ว”

เล่าจบก็ได้ยินเสียงฮือฮาออกมาทันที เรื่องเล่าปิดท้ายในคืนนี้ทำเอาพวกเราขนลุกซู่จะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวก่อนเข้านอน

ผมกับพี่เต้เข้าไปนอนในเต็นท์กันประมาณเกือบห้าทุ่ม ผมกะว่าจะรอให้พี่เต้หลับ แล้วออกไปพบวิญญาณตามที่ได้นัดเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น

เวลาผ่านไปห้าทุ่มครึ่งก็แล้ว ห้าทุ่มสี่สิบห้าก็แล้ว ร่างของคนที่นอนข้าง ๆ ผม ก็ยังคงพลิกตัวไปมาไม่หยุดสักที ทำไมไม่หลับสักทีวะไอ้พี่เต้ อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินออกจากเต็นท์ไป หรือว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เอาไงดีวะเนี่ย นี่มันก็ใกล้เวลานัดแล้วด้วย

ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจเดินออกจากเต็นท์เพื่อไปพบวิญญาณตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ หลังจากรู้สึกว่าพี่เต้จะออกไปนานเหลือเกิน ไว้กลับมาแล้วไม่เจอผมค่อยหาข้อแก้ตัวละกัน เพราะนี่ก็เลยเวลาไปมากพอสมควรแล้ว ผมเดินออกไปทางด้านหลังของอาคารเรียน ซึ่งคิดว่าเป็นจุดที่ลับตาคนที่สุด ไม่ค่อยมีแสงไฟ และน่าจะปลอดภัยที่สุดที่จะไม่มีใครมาเห็นตัวผม

ผมมองหาอยู่สักพักก็หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ทำไมดวงวิญญาณถึงยังไม่มาสักที

ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกายท่ามกลางความมืดมองตรงไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังรอคอยใครบางคนอยู่บริเวณด้านหลังของตัวอาคารเรียน เจ้าของดวงตาแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะยกขวดโหลที่อยู่ในมือขึ้นมาดู ภายในขวดโหลมีดวงไฟหนึ่งดวงอยู่ภายในนั้น

“ช้าไปแล้วล่ะคีย์ วิญญาณดวงนั้น นายส่งไปนรกไม่ได้หรอก” ร่างนั้นพูดออกมา

“มาทำอะไรตรงนี้อะคีย์” เสียงทักขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ผมแทบสะดุ้งแล้วหันไปมอง เป็นพี่เต้นั่นเอง

“อ่อ เอ่อ พอดีผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ เลยออกมาเดินเล่น” ผมบอกไป

“เหรอ พี่ก็นึกว่าเราหลับไปแล้วซะอีก หรือว่าแอบมารอเจอใคร” พี่เต้พูดต่อ อะไรของพี่แกวะ นี่คิดว่าผมคงจะแอบมานัดเจอฟองดึก ๆ ดื่น ๆ หรือยังไง ดูละครมากไปแล้วครับพี่

“ใครล่ะพี่ มีที่ไหน แล้วพี่ออกมาทำอะไรครับ” ผมถามพี่เต้กลับ

“พอดีท้องเสียว่ะ เพราะอาหารเมื่อเย็นนี้แน่เลย”

“อ่อ แล้วดีขึ้นยั้งอะพี่ ผมไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมบอกไป เพราะผมก็กินอาหารเย็นทุกอย่างเหมือนพี่เต้ แต่กลับไม่เห็นท้องเสียหรืออะไรเลย กระเพาะพี่คงจะบอบบางเกินไปแล้วนะครับ

“น่าจะปล่อยออกหมดแล้วมั้ง กลับไปนอนกันเถอะ”

“เอ่อ เดี๋ยวผมตามไปดีกว่าครับ” ผมพูด คิดว่าจะอยู่รอดวงวิญญาณอีกสักพัก ถ้าไม่มา ผมค่อยกลับไปนอน

“เอางั้นเหรอ ตามใจ”

ผมยืนรอดวงวิญญาณดวงนั้นจนเกือบตีหนึ่งก็ไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะมาหาผม นี่มันอะไรกัน หรือว่ามียมทูตคนอื่นในพื้นที่นี้มารับตัวไปแล้ว เอาเป็นว่าผมกลับเต็นท์ดีกว่า คงน่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าดวงวิญญาณไม่มีอะไรห่วงแล้วคงไปหายมทูตที่อยู่ในพื้นที่นั้นเอง

เช้าวันถัดมา กิจกรรมสุดท้ายที่พวกเราทำให้เด็ก ๆ คือเป็นการมอบทุนการศึกษาตามที่เราได้รับบริจาคมา แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มากเท่าไรนัก แต่มันก็เป็นสิ่งดี ๆ ที่พวกเราตั้งใจมอบให้ วันนี้ผมไม่เห็นวิญญาณพ่อของท้องฟ้าแล้ว ดูท่าเขาจะไปแล้วจริง ๆ ส่วนท้องฟ้า หลังจากที่ผมบอกให้เลิกเศร้าเพราะพ่อจะไม่มีความสุข วันนี้น้องก็ดูร่าเริงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ยอมไปเล่นกับเพื่อน เล่นกับพี่ ๆ แล้วด้วย

“ว่าไงท้องฟ้า ยังคิดถึงคุณพ่ออยู่ไหมครับ” ผมทักน้องที่กำลังกินขนมที่พวกเราแจกให้อยู่ ก่อนย่อตัวลงไปนั่งคุยด้วย

“คิดถึงครับ แต่พยายามจะไม่เศร้าแล้ว พ่อจะได้มีความสุข”

“ดีมากครับ ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีของคุณแม่นะครับ ขนมอร่อยไหม” ผมถามพร้อมชี้ไปยังเวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลตที่น้องกำลังเอาใส่ปาก

“อร่อยครับ” ท้องฟ้าตอบ พร้อมยิ้มกว้างโชว์ฟันที่มีช็อกโกแลตติดอยู่

“ดีแล้วครับ ยิ้มเยอะ ๆ คุณพ่อมองลงมาเห็นเรามีความสุข คุณพ่อก็จะมีความสุขด้วย กินเสร็จอย่าลืมแปรงฟันด้วยนะ” ผมบอกน้องปนขำ เพราะเห็นช็อกโกแลตมันติดฟันเยอะเหลือเกิน

“คีย์เหมือนพ่อเลยเนอะพี่ฟอง”

เสียงคนคุยกันดังขึ้นมาข้างตัว เป็นใยไหมที่เดินคุยมาพร้อมกับฟองนั่นเอง

“มีมุมนี้กับเขาด้วยเหรอเนี่ย” ฟองพูด เดินมานั่งข้าง ๆ ผม เจ้าตัวยิ้มพร้อมเอื้อมมือมาลูบหัวท้องฟ้าอย่างเอ็นดู

“แน่นอนดิฟอง ผมเป็นผู้ชายอบอุ่นไง แถมหล่อด้วย”

“จริงปะครับ ท้องฟ้า” ผมถามท้องฟ้า

“ครับ” น้องเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยแววตาใสแป๋ว

“ติดสินบนน้องให้พูดด้วยขนมเปล่าเนี่ย”

ว่าแล้วผมกับท้องฟ้าก็ขำออกมาพร้อมกัน

หลังจากพิธีปิดค่ายที่ไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไรนัก แค่ถ่ายรูปกับพวกน้อง ๆ และคุณครูภายในโรงเรียน พวกเราก็กลับมาเก็บเต็นท์ เก็บข้าวของต่าง ๆ เพื่อเตรียมกับมหาวิทยาลัยกัน

“เด็ก ๆ ที่นี่น่ารักเนอะคีย์ ไม่อยากรีบกลับเลย” ฟองบอกผมขณะที่พวกเรากำลังขนของขึ้นรถ

“ใช่ เห็นเด็ก ๆ น่ารักแบบนี้แล้วอยากมีลูกสักสี่ห้าคนเนอะฟอง”

“บ้า !” ฟองร้องโวยวายหน้าแดงก่อนรีบเดินไปนั่งที่เก้าอี้ อะไรเนี่ย ผมขำ นี่ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ สาบาน

“ฮ่าฮ่า อะไรเนี่ย ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย คิดอะไรทะลึ่งใช่ไหมเนี่ย”

“บ้าสิ !”

ดีนะพี่เต้เพิ่งจะเก็บของตามมาทีหลัง ไม่รู้ว่าถ้าได้ยินผมแซวฟอง ผมจะโดนโบกหัวคว่ำหรือเปล่า

รถสองแถวสองคันเคลื่อนที่ออกจากโรงเรียนในช่วงเวลา 11 โมงเช้า ผมคิดว่าพวกเราคงถึงที่มหาวิทยาลัยในช่วงเย็นพอดี การมาค่ายอาสาครั้งนี้ก็ทำให้ได้รับประสบการณ์อะไรดี ๆ หลายอย่าง ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น ได้สอนหนังสือเด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาสองวันหนึ่งคืน แต่กลับทำให้สุขใจเหมือนได้มาพักผ่อนอย่างประหลาด ผมหันไปคุยอะไรเล่นกับเพื่อนเรื่อยเปื่อย ขากลับรอบนี้ พวกเรามีอะไรคุยเล่นกันเยอะมาก ไม่ได้ง่วงนอนเหมือนตอนมา ทุกคนดูมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ และผมคิดว่า ค่ายอาสาครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำดี ๆ ในชีวิตของพวกเราเลย

สายตาคู่หนึ่งกำลังรอบมองยมทูตหนุ่มอยู่ไม่ห่าง เสียงหัวเราะพูดคุยของเจ้าตัวกับคนรอบข้างยังคงดังออกมาอยู่เป็นระยะ ดูท่าทางจะมีความสุขเสียจริง

ดูเหมือนเจ้าตัวยังคงไม่รู้ ว่าค่ายอาสาครั้งนี้ มีดวงวิญญาณที่สูญหายไปอีกหนึ่งดวง

บางทีศัตรู ... ก็นั่งอยู่ห่างกันแค่เอื้อม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด