บทที่ 22: ผู้กอบกู้?
คนแคระและเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาซึ่งเกิดในยุคๆ หนึ่ง
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้เกิดขึ้นตอนช่วงเวลาใด แต่ทั้งสองเผ่านี้เคยช่วยกันล้มล้างยุคสมัยแรกที่ถูกปกครองโดยเหล่ามังกร
ถึงแม้ว่าเอลฟ์จะเป็นอันดับหนึ่งในด้านคุณสมบัติตลอดมา ด้วยพลังการต่อสู้เฉพาะตัวที่แข็งแกร่ง, แข้งขายาว และหน้าตาดี…
แต่เทคโนโลยีในการสร้างอุปกรณ์ของคนแคระนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่า ในยุคแรก คนแคระก็สามารถใช้พรสวรรค์ในการสร้างอาวุธได้แล้ว ซึ่งส่งผลให้พลังการต่อสู้ของคนแคระแต่ละคนด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย หรือแทบจะเท่ากับเอลฟ์เลยทีเดียว
และเอลฟ์กับคนแคระจึงเป็นพลังหลักในการโค่นล้มยุคมังกร
ยุคที่สองอยู่ในอำนาจการปกครองของเอลฟ์
ในขณะที่พันธมิตรของเอลฟ์ซึ่งก็คือคนแคระ ได้รับพื้นที่ในการอยู่อาศัยที่เพียงพอและอาณาเขตกว้างใหญ่มโหฬารจากเอลฟ์
เพียงแต่ว่า แม้แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถหยุดความชื่นชอบของพวกเขาในการขุดได้…
ด้วยการใช้วิธีที่เรียกได้ว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนทุกรูปแบบ พวกเขาขุดยุคของพระเจ้าออกมา นั่นก็คือ: อมนุษย์และบัลร็อก1 จากยุคของพระเจ้าที่ไม่เคยถูกบันทึกในเอกสารใดๆ มาก่อน
หลังจากพวกเขาฆ่าบัลร็อกไปมากมาย พวกคนแคระที่เอาตัวรอดมาได้ก็อยู่ในอาการเจียนตาย
หลายปีของการสืบพันธุ์ จนกระทั่งในช่วงสิ้นสุดของยุคที่สองกว่าที่คนแคระจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง แต่พวกเขาก็เริ่มการขุดอีกครั้ง ในครั้งนี้ มันเป็นช่วงเวลาสำคัญของมนุษย์ที่จะล้มล้างการปกครองของเหล่าเอลฟ์
พวกเขาขุดทะลุช่องว่างของเกราะกำบัง และสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดในอเวจีก็ปรากฏตัวออกมา บุกโจมตีพวกคนแคระอย่างโหดเหี้ยม
ในตอนจบ คนแคระและเอลฟ์สูญเสียไปมากมายและออกจากพื้นที่แห่งความเจริญรุ่งเรืองของทวีปรีเจนดารีไป เหล่าเอลฟ์สร้างปราสาทและเมืองหลายแห่งในป่าแบล็คลีฟ ส่วนพวกคนแคระก็รวมตัวกันในภูเขาแห่งความเดียวดายที่ซึ่งมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
แต่เมื่อหลายพันปีก่อน ตอนที่พระราชาคนสุดท้ายของภูเขาแห่งความเดียวดายสิ้นลม สิ่งก่อสร้างของจักรวรรดิคนแคระที่ได้รับสืบทอดต่อกันมาหลายพันปีก็พังทลายลง ผู้สืบทอดสายเลือดราชวงศ์คนแคระเสียชีวิตและบางคนได้รับบาดเจ็บ ราชวงศ์คนแคระทั้งเจ็ดตระกูลทำการแบ่งพลเมืองและสมบัติที่มีอยู่มากมายเพื่อสร้างอาณาจักรแห่งใหม่
“โดยสรุป เหล่าคนแคระทั้งเจ็ดนั้นเป็นพวกหัวร้อนเอามากๆ!” วิลเลียมเล่นเกมนี้มาสิบปีและผู้เล่นหลายคนก็ชอบที่จะขุดประวัติศาสตร์พวกนี้ขึ้นมา
หากได้เข้าร่วมเหตุการณ์ในช่วงกลางและช่วงหลังของเกมโดยที่เข้าใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกทรงเกียรติที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง และยังได้รับความรู้สึกที่เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ อีกด้วย!
ในช่วงหลังของเกม โดยปกติแล้วผู้เล่นจะใช้เวลาค่อนข้างนานอยู่ในค่ายแห่งหนึ่ง ความรู้สึกที่ผูกพัน, ความรู้สึกแห่งความภาคภูมิใจในการต่อสู้เพื่ออาณาจักร, ความรู้สึกที่กำลังมองไปที่หน้าประวัติศาสตร์ และเวลาที่พวกเขาสู้กับศัตรูก็เป็นเวลาที่ทำให้เลือดของเหล่าผู้เล่นเดือดพล่านขึ้นมาจริงๆ!
ดังนั้นวิลเลียมจึงรู้ว่าเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ในทวีปก็อดได้
เซียเดินเข้ามา และนั่นทำให้วิลเลียมหันหลังกลับไปเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้า เขาพบว่าเซียกำลังยกมือปิดปากและเช็ดริมฝีปากสีแดงของเธอซึ่งมีคราบน้ำมันบางๆ เคลือบอยู่ เขาไม่รู้ว่าเลยเธอเพิ่งไปกินอะไรมา
“อึก! ท่านลอร์ด ท่านต้องการนักเวทย์เพื่อติดตามท่านครั้งนี้มั้ยคะ?” แก้มสองข้างของเซียแดงปลั่ง เธอเพิ่งกินอุ้งมือหมีย่างมา
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ของลูกหมีผู้โหดเหี้ยม เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ตั้งแต่ที่ท่านลอร์ดปฏิเสธที่จะให้ลูกหมีผู้โหดเหี้ยมกับเธอเพื่อใช้เป็นวัสดุเวทมนต์ เธอก็อดไม่ได้ที่อยากจะกินเนื้อหมี…
วิลเลียมเลื่อนสายตาของเขาจากริมฝีปากนุ่มสีแดงของเธอ แล้วพยักหน้าก่อนจะพูด “ฉันต้องการนักเวทย์ห้าคน เกล็ดมังกรที่ฉันให้เธอไปเมื่อวันก่อนเป็นยังไงบ้าง?”
“มันใช้การไม่ได้มากเท่าไหร่ ท่านสามารถเสริมเสน่ห์ให้อาวุธได้เพื่อเพิ่มพลังของพวกมัน ถ้าท่านมีอีก ท่านสามารถทำเกราะได้เลย!” เซียหมุนกริชของเธอ สิ่งที่ติดอยู่บนนั้นอย่างพอดีคือเกล็ดมังกรอันหนึ่งที่ส่องแสงประกายสีแดงบางๆ
วิลเลียมกระพริบตาอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เขาตบไหล่เซียเบาๆ ซึ่งเธอต้องการที่จะหลีกเลี่ยงมัน “ไปเถอะ เรียนรู้เวทมนต์เพิ่ม และเธอจะกินเนื้อหมีก็ได้นะ ยังไงซะ มันก็ช่วยเพิ่มศักยภาพทางร่างกายของเธอ แต่อย่าแม้แต่คิดที่จะกินสัตว์เลี้ยงของฉันล่ะ”
เซียยู่ริมฝีปากของเธอ เธอสงสัยว่าท่านลอร์ดคนนี้มีจมูกหมาหรืออย่างไร เขาถึงได้รู้ว่าเธอเพิ่งจะกินเนื้อหมีมา
แต่มองไปที่ท่าทางเก็บตัวของท่านลอร์ด เซียก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังกังวลกับอะไรสักอย่างมากๆ อยู่
…………
เมืองชายแดนส่งทหารอีก 300 คนไปที่ป่าแบล็คลีฟอีกครั้ง
และวิลเลียมก็ได้รับภารกิจอีกอย่าง
[ขั้นที่ 3: มีสถานที่รวมตัวของคนแคระอยู่ใกล้กับเมืองชายแดน และยังมีออร์คจำนวนมากแห่ล้อมเหล่าคนแคระอยู่ เหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ กำจัดพวกออร์ค ช่วยเหลือเหล่าคนแคระและรับแร่หายาก]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 50000 แต้ม]
[รางวัล: แร่หายากที่ยังไม่ทราบประเภท]
ลอทเนอร์อยู่เคียงข้างวิลเลียมเสมอมา การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ จากคำบอกเล่าของทหารพรานที่เข้าไปสอดแนม มีออร์คอยู่จำนวนมากขนาดที่ว่านับได้เกือบพันกลุ่ม และดูเหมือนว่าจะมีกำลังเสริมจำนวนไม่น้อยตามมาอีกด้วย ขณะนี้ พวกมันปิดทางเข้าออกถ้ำของคนแคระและกำลังทำการโจมตี
อันที่จริงเมื่อคิดๆดูแล้ว นี่ก็เป็นสถานที่ที่ออร์คเคยบุกโจมตีในชีวิตก่อน
วิลเลียมเข้าใจว่าถ้ำที่คนแคระอาศัยอยู่นั้น น่าจะเป็นเหมืองที่มีมิทริลอยู่ด้วย
ในชีวิตที่แล้วของเขา วิลเลียมสามารถที่จะควบคุมเหมืองแห่งนี้ได้ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างคนแคระและออร์ค แต่ในตอนจบ เขาเป็นคนที่ยกข้อต่อรองขนาดใหญ่ขึ้นมา
“เวลากำลังจะหมดแล้ว เราไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ และมองสหายของพวกเราถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อนโดยพวกออร์คได้!” วิลเลียมตะโกนและนำทีมเดินหน้า เอลฟ์ตนอื่นๆ ตามเขาไป การวิ่งเข้าไปในป่าลึกสามารถสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับหลายเผ่าพันธุ์ แต่นี่ไม่รวมถึงเอลฟ์
ลอทเนอร์มีความคิดอะไรบางอย่างและเขาพูดมันออกมาโดยไม่ลังเล “ท่านลอร์ดต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากความเป็นพันธมิตรในการช่วยพวกคนแคระและให้พวกเขาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านหรือ?”
“ใช่ ท่านคิดว่ายังไง?” วิลเลียมยกคิ้วของเขาขึ้น คนแคระมีอุปนิสัยที่ชัดเจน แต่พวกเขาพวกเขาให้ความสำคัญกับมิตรภาพและความเมตตาอย่างยิ่ง เมื่อครั้งที่เขายังเป็นผู้เล่น เขามักจะได้รับความประทับใจที่ดีมากมายทุกครั้งที่ได้รับภารกิจจากคนแคระ ดังนั้นเขามีความมั่นใจอย่างมาก ว่าจะสามารถพาเหล่าคนแคระมาที่อาณาเขตได้
ลอทเนอร์หรี่ตาลงและพูดด้วยเสียงเข้ม “เราต้องใจเย็นมากกว่านี้ ไม่ว่ากับเป้าหมายหรือวิธีการ”
“เข้าใจล่ะ!” ริมฝีปากของวิลเลียมตระตุกขึ้น แต่เขาก็ยังคงพยักหน้า
การที่ต้องใจเย็นขึ้นหมายความว่าปล่อยให้ออร์คผลักพวกคนแคระให้จนมุม ปล่อยให้พวกเขาตายและทรมาน และทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันไม่มีความหวังเหลืออีกแล้วก่อนที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือ
จากนั้น วิลเลียมก็จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาราวกับผู้กอบกู้ และมันก็จะเป็นราวกับปาฏิหาริย์ นี่น่าจะซึ้งพอสำหรับหัวใจที่สิ้นหวังของคนแคระ เขาจะได้รับความประทับใจและอาจจะทำให้พวกเขาก้มหัวให้เขาเลยทีเดียว…
ส่วนสำหรับลอทเนอร์ ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้นน่ะหรอ?
มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเลย
เพราะเอลฟ์ทุกตน รวมถึงเขาหรือแม้แต่เหล่านักเวทย์ต่างก็จงรักภักดีต่อวิลเลียม แบล็คลีฟ!
พวกเขาเคยเป็นทหารส่วนตัวของแม่เขามาก่อน
ในฐานะเอลฟ์ตนหนึ่งจากสมาชิกราชวงศ์ สมาชิกราชวงศ์ทุกคนจะมีทหารส่วนตัวเป็นของตัวเอง
ตอนนี้พวกเขาขึ้นตรงต่อวิลเลียม ดังนั้นลอทเนอร์จึงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับท่านลอร์ดของเขา ท่านลอร์ดเป็นพระเจ้าและแสงสว่างของเขา มันมากพอสำหรับวิลเลียม ที่จะชี้ไปยังที่ๆ เขาต้องการจะสู้ และลอทเนอร์ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามหรือปฏิเสธ
ด้วยความภักดี
ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่จะจงรักภักดีไปมากกว่าเอลฟ์ ในประวัติศาสตร์โบราณใด ๆ นักรบส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกให้เป็นองครักษ์จะมีความจงรักภักดีอย่างแท้จริง
อีกอย่าง ความสง่า, ความเย่อหยิ่ง หรือความเมตตาที่อยู่ลึกลงไปในกระดูกของเอลฟ์นั้นจะแสดงออกมาเสมอเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สงบสุข
ระหว่างสงคราม
พวกเขาจะใช้ความรู้และสติปัญญาจากร้อยๆ พันๆ ปีนั่น เพื่อใช้ในการวางแผนและออกอุบายอันดำมืดสู้กับคุณ
แต่ทุกยุคทุกสมัยต่างก็มีตัวละครเอกของตัวเอง
ตัวละครเอกในตอนนี้คือมนุษย์!
มันก็เหมือนกับเรื่องทั่วไปที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
แต่อนาคตนั้นจะเป็นของใคร?
ไม่มีใครรู้
วิลเลียมและกำลังพลของเขามาที่ถ้ำคนแคระ พวกเขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความรวดเร็วและเงียบเชียบ มองไปยังการต่อสู้ที่อำมหิตบ้าคลั่งด้านล่าง ในดวงตาของพวกเขาฉายความเวทนา แต่พวกเขาจะไม่ยอมให้ฉากพวกนี้มาเขย่าความตั้งใจของพวกเขา
หมายเหตุ
บัลร็อก1 หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในปกรณัมเรื่อง Middle-earth, เขียนโดย J. R. R. Tolkien