Part 1 ร่างใหม่ในโลกที่ต่างไปจากเดิม (2)
เหอะ! ตายไปแล้วได้มาเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องดี แต่มาเกิดใหม่ทั้งทีไยต้องให้กลายเป็นชายบำเรอ!
“น่าปวดหัวจริงๆ เลย! ชอบเล่นสนุกบนความทุกข์ของคนอื่นนักนะ สะใจมากสิท่าที่เห็นผมตกอยู่ในสภาพแบบนี้น่ะ ตาแก่จอมเจ้าเล่ห์เอ๊ย!”
รู้หรอกว่าโวยวายไปก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้น แต่เขาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่น่าเศร้าของผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายนี้แสนจะอ่อนแอเปราะบาง เรี่ยวแรงก็มีอยู่น้อยนิด แถมฐานะยังต้อยต่ำติดดินเอาไปสู้ใครก็ไม่ได้ แค่คิดก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว
“แล้วไอ้เสียงหวานหยดปานน้ำผึ้งนี่อีก ฟังดูยั่วอารมณ์แปลกๆ ถ้าไอ้พวกบ้าตัณหากลับได้ยินเข้าคงอยากรุมทึ้งลวนลามกันพอดี ก่อนอื่นคงต้องหาทางป้องกันตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นคงถูกพวกป่าเถื่อนฉุดกระชากลากถูไปข่มขืนแน่ๆ”
แค่คิดถึงตรงนั้นร่างเพรียวบางก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความทรงจำของร่างนี้ค่อยๆ ย้อนกลับคืนมา โถมทะลักเข้าใส่ราวกับน้ำป่าไหลหลาก เล่นเอาเขาปวดหัวไปหมด เสียงบทสนทนาและภาพเหตุการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นในหัว เหมือนกับหนังม้วนหนึ่งที่กำลังฉายซ้ำ ซึ่งมีตัวละครหลักเป็นเจ้าของร่างนี้
และในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้คือใคร...
‘ฝูกว่างเยว่’ เป็นบุตรชายคนเดียวของราชครูฝูในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่บัดนี้ต้องโทษถูกเนรเทศ ขับไล่ให้ไปอยู่ชายแดนอันไกลโพ้นและทุรกันดารกับไป๋ฮูหยิน
โทษฐานใช้อำนาจบาตรใหญ่เล่นงานขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างไร้เหตุผล ทั้งยังแอบอ้างพระนามของพระองค์โกงกินเงินในท้องพระคลังมานานนับสิบปี ขณะที่บุตรสาวคนโต ‘ฝูไป๋ฮวา’ กลับถูกรั้งตัวอยู่ในวังและได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสนมเอกในวันเดียวกันนั้นเอง
…วันที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่เหลือใครร่วมยินดีกับนางเลยสักคน
นับจากนั้นมานางก็กลายเป็นนกน้อยในกรงทองที่ขาดอิสระ ไม่อาจสลัดหนีไปไหนได้ตลอดชีวิต ถึงจะสุขสบายได้รับการปรนนิบัติอย่างดี แต่กลับต้องพลัดพรากจากครอบครัวและชายอันเป็นที่รัก นางไม่อาจครองคู่กับบุรุษเพียงหนึ่งเดียวในดวงใจ ได้อีกแล้ว แล้วยังคิดว่านางจะมีความสุขได้อีกหรือ?
และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ...ชายคนรักของนางยังเป็นคนเดียวกับที่ฮ่องเต้มีราชโองการพระราชทานสมรสแต่งตั้งให้ฝูกว่างเยว่ไปเป็นภรรยารองอีก ทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติหานเจี้ยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดุจดั่งสามีภรรยา โดยเว้นตำแหน่งภรรยาเอกไว้ เพื่อรอให้ผู้ที่เหมาะสมกว่ามารับตำแหน่งนี้ ซึ่งนี่ก็เท่ากับเป็นการหักหน้าหานเจี้ยที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
ฮ่องเต้โฉดนั่นจงใจสร้างความอับอายให้แก่คนทั้งสองต่อหน้าธารกำนัลมากมายเพื่อความสะใจของตัวเอง
เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างเสียงฮือฮาถกเถียงกันในวงขุนนางน้อยใหญ่ ต่อหน้าโอรสสวรรค์นี่คือประกาศิตอันเฉียบขาด ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้ามาคัดค้านแทนสักคน
ในใจของคนพวกนั้นแค่หลับตาดูก็รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยในคราวเคราะห์ของผู้อื่น แม้ว่า
สีหน้าท่าทางจะไม่เปลี่ยน แต่แววตากลับเผยประกายความสะใจอย่างไม่คิดปกปิด
“ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะมีชะตาตกอับในรักอย่างนี้ นอกจากจะถูกแย่งชิงคนรักไป แล้วยังถูกหมิ่นเกียรติหยามศักดิ์ศรีต่อหน้าคนนับร้อยอีก”
ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ช่างกระไร กล้าทำเรื่องโฉดเขลาไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนั้น ไม่กลัวภัยจะมาถึงตัวบ้างเหรอ ทรงเลอะเลือนสติฟั่นเฟือนถึงขั้นไม่สนใจความเป็นตายของตัวเอง กล้าเล่นงานแม่ทัพใหญ่ซึ่งๆ หน้า ใช้พระราชอำนาจที่มีเหนือกว่ารังแกลูกน้องกันเห็นๆ หรือเพราะถูกรูปโฉมอันงดงามประหนึ่งเทพธิดาบนสวรรค์ของ
ฝูไป๋ฮวาบดบังดวงตาจนทำให้มองไม่เห็นความจริงอะไร
แม่ทัพใหญ่หานมีคุณูปการต่อบ้านเมือง ปกป้องแคว้นอย่างไม่คิดเสียดายชีวิต ทำเพื่อราษฎรทุกหย่อมหญ้า ขจัดภัยพาลที่หวังทำลายความสงบสุขของพวกเขาให้หมดไป แต่พระองค์กลับเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ทำร้ายคนดีๆ คนหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น ไม่รู้สึกผิดอะไร ไม่เห็นแก่คุณงามความดีที่สั่งสมมานาน มุ่งทำลายผู้ที่ชาวเมืองรักและเทิดทูน
เขาไม่อยากคิดเลยว่าอนาคตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร บัลลังก์มังกรอาจถึงคราวต้องสั่นคลอนเพราะเหตุผลนี้แล้วก็ได้ ไม่รู้หรอกนะว่าฮ่องเต้โฉดนี่ทำแบบนี้ไปทำไม แต่มันเป็นอะไรที่สิ้นคิดและโง่มาก เหมือนขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ เลยว่ะ
ไฟไกลไม่สู้ดับไฟใกล้* เขาควรหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนดีกว่า หานเจี้ยมีนิสัยเป็นอย่างไรเขาก็ไม่รู้แน่ชัด เพราะความทรงจำของร่างนี้ที่มีต่อคนผู้นั้นเลือนรางมาก และเป็นการมองเห็นจากที่ไกลๆ ไม่ใช่การพบปะเจอกันในระยะประชิดเสียด้วย
คนคนนี้มีหน้าตาดุดันแข็งกร้าว ทั่วทั้งร่างอาบย้อมด้วยไอสังหารเข้มข้นเจือกลิ่นคาวเลือด ดวงตาคมกริบวาววับดุจใบมีด เพียงตวัดมองใครคนคนนั้นต้องรีบร้องขอชีวิต บุคลิกองอาจห้าวหาญ นิสัยโหดเหี้ยมไร้ความปรานีไม่ต่างจากปีศาจที่ผุดจากนรก แต่กลับได้รับสมญานามว่า ‘เจ้าแห่งสงคราม’ ที่ทุกคนต่างยกย่องเทิดทูนให้เป็นดั่งเทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาแคว้น ช่วยคุ้มครองพวกเขาให้อยู่รอดปลอดภัย
ราษฎรแคว้นซือเสียนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญเขา ยกเขาให้สูงส่งจนแทบจะเทียบเคียงกับฮ่องเต้ได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าในทางตรงกันข้าม หากผู้ใดเป็นศัตรูกับเขา เมื่อตกอยู่ภายใต้คมกระบี่แล้วไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไปได้ และผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษยิ่งกว่าใครก็คือฝูไป๋ฮวา กับนางอันเป็นที่รัก หานเจี้ยกลับปฏิบัติตัวดีต่างจากพวกศัตรูราวฟ้ากับเหว เขาอบอุ่นอ่อนโยน ดวงตาสะท้อนแต่เงาร่างนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง ต่อให้ต้องแย่งชิงคนกับโอรสสวรรค์ก็ไม่หวั่น ยอมเอาชีวิตเข้าแลกอย่างไม่กลัวตาย แต่จะไม่ยอมให้นางต้องตกเป็นของผู้ใด
ทว่า...น่าเสียดายยิ่ง หานเจี้ยคนนี้เป็นแค่บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาของอดีตแม่ทัพใหญ่ ‘หานจิ้นซิน’ ศักดิ์ฐานะจึงไม่สูงส่งเท่าไรนักเมื่อเทียบกับบุตรคนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าที่รักตัวกลัวตายจึงไม่ยอมให้หลานที่ไม่ได้รับความโปรดปรานคนนี้พาคนทั้งตระกูลล่มไปด้วย
นางขอให้ฮ่องเต้พระราชทานอนุญาตให้ส่งหลานชายคนนี้ไปประจำการอยู่ที่ชายแดน ออกสู้รบกับกองทัพทหารแคว้นจิ่นหยางที่คิดจะช่วงชิงดินแดนส่วนนั้นตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน เท่ากับเป็นการขับไล่ตัวเจ้าปัญหาออกไปอย่างแยบยล
ช่างเป็นย่าที่รักหลานซะจริงนะ กลัวตัวเองจะเดือดร้อนก็เลยรีบไล่ตะเพิด
หานเจี้ยไปให้ไกล จนถึงตอนนี้สงครามก็ยังไม่จบลง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
“เหอะ ตาแก่หน้าเหม็นจอมเจ้าเล่ห์ บอกกับเราว่าจะให้มาเกิดใหม่ ตกลงเงื่อนไขไว้เสียดิบดี แต่ดันส่งเข้ามาอยู่ในกองทัพช่วงที่ทำสงครามพอดี แล้วอย่างนี้ต้องรออีกสักกี่ปีกี่ชาติถึงจะได้กลับออกไป อ้อ! เผลอๆ อาจจะตายมันอยู่ที่นี่เลยก็ได้ คดีการตายของแม่นางเฟยหนี่ว์ก็ไม่ต้องทำมันแล้ว นั่งรอความตายไปเลยดีกว่า!”
วิญญาณเด็กหนุ่มในร่างของฝูกว่างเยว่ถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สบถด่าตาแก่หน้าเหม็นที่พาวิญญาณเขามาทิ้งไว้ที่นี่ ส่วนตัวเองก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ได้รู้สึกผิดกับการส่งเขามาตายซ้ำสองเลยสักนิด ทั้งที่เขาเพิ่งได้ชีวิตใหม่มา แต่หนทางที่จะรักษาไว้มันช่างริบหรี่เหลือเกิน
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีเขาคงหมดหวังที่จะได้กลับมาเป็นคน มีเนื้อหนังเหมือนคนอื่นเขาเสียแล้ว
เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบกระโจมที่เงียบมากไม่ต่างจากอยู่ในป่าช้า มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างพอให้เห็นบรรยากาศรอบด้านรางๆ ลมหนาวแทรกผ่านเข้ามาเป็นระลอก สัมผัสได้ถึงไอเย็นชื้นที่กระจายตัวในอากาศ
น่าแปลกที่เขาไม่รับรู้ถึงความหนาวเหน็บใดๆ เพราะตอนนี้ใจเขามันร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวไฟแผดเผามากกว่า รู้สึกมืดแปดด้านคิดหาหนทางไปต่อไม่ถูกเลย
ใครบ้างจะอยากมาตายในสงครามรบ แล้วใครที่ไหนจะไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนเดิม
เขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งย่อมต้องรักตัวกลัวตายอยู่แล้ว ถึงก่อนหน้านี้จะเคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย จึงไม่รู้ว่าความเจ็บปวดทรมานเป็นยังไง แต่ว่าเวลานี้กลับต่างกันออกไป ในเมื่อเขามีเนื้อมีหนังแล้ว แค่ถูกมดกัดหน่อยเดียวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดแล้ว!
“ตาแก่เจ้าเล่ห์! ตาเฒ่าใจดำ! ช่างอำมหิตเลือดเย็นนักนะ ตาทิ้งให้ผมหนีเอาชีวิตรอดอยู่ที่นี่คนเดียวได้ไง กลับมาช่วยกันก่อนเซ่! โธ่เอ๊ย! ถ้าผมตายกลายเป็นผีอีกรอบ สาบานเลยว่าจะตามหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้นแน่ ต่อให้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนก็จะตามหาตัวให้เจอ ไม่ปล่อยให้นั่งหัวเราะเยาะสะใจอยู่คนเดียวหรอก! ถ้าผมไม่รอดกลับไป ตาก็เตรียมตัวเตรียมใจร้องไห้หาพ่อจ๋าแม่จ๋าได้เลย ฮึ่ย!”
เขาสบถสาบานด้วยความเจ็บใจ ใครไม่มาเป็นเขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มันรู้สึกแย่แค่ไหน เขากลายเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอกจากนั่งรอให้คนอื่นมาฆ่าตายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก
เรียกได้ว่าเป็นตัวไร้ค่าอย่างแท้จริง ทั้งอ่อนแอทั้งน่ารังเกียจ ไม่มีใครต้องการช่วยเหลือตัวประหลาดกึ่งชายกึ่งหญิงอย่างเขาหรอก
ชีวิตที่ได้มาใหม่นี่ช่างน่าปวดประสาทนัก ไม่ทราบว่าสวรรค์ต้องการกลั่นแกล้งเขารึไง ถึงได้ส่งมาอยู่ในร่างของฝูกว่างเยว่ คงอยากเห็นเขากระอักเลือดสิ้นใจตายอยู่ตรงนี้สินะ เพราะเจ็บใจที่ต่อให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี ต้องทนก้มหน้ารับชะตากรรมโหดร้ายนี้ต่อไป
________________________________________
* ไฟไกลไม่สู้ดับไฟใกล้ หมายถึง ควรแก้ปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวก่อนจะไปสนใจแก้ไขเรื่องที่อยู่ไกลตัว