บทที่ 21 : คนแคระแห่งหุบเขาเดียวดาย
ค่าสถานะของลูกหมีเลเวล 1 ยังไม่คุ้มที่จะดู
หลังจากที่ลูกหมีตัวที่หนึ่งยอมรับที่จะเป็นสัตว์เลี้ยง สามวันต่อมาวิลเลียมก็รอให้ลูกหมีที่เหลือตื่นขึ้น และยอมรับพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะภายใต้ค่าสถาะนะติดตัว ‘ดูดี’ ของเขาทำให้เหล่าลูกหมีชื่นชอบเขามากขึ้นเป็นพิเศษ
ในเกม ‘Gods’ มีความประทับใจที่ดีอยู่สามประเภท
อย่างแรกคือความประทับใจที่ดีของฝ่ายตน คำนวณเป็นหลักหมื่น
สองคือความประทับใจที่ดีของเพื่อน คำนวณเป็นหลักพัน (รวมถึง NPC)
สามคือความประทับใจที่ดีของสัตว์เลี้ยง คำนวณเป็นหลักร้อย
เมื่อความประทับใจที่ดีของสัตว์เลี้ยงมีค่าถึง 300 หน่วย จะถึงจุดที่มันไม่สามารถหักหลังผู้เป็นเจ้านายได้!
แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะสามารถทำให้เป็นเรื่องปกติได้ ถ้าผู้เล่นทารุณสัตว์เลี้ยงทุกวันเป็นเวลานาน ค่าประทับใจที่ดีก็จะลดลงอย่างสมเหตุสมผล แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อค่าประทับใจที่ดีเต็มแล้ว จะสามารถทำเรื่องไร้คุณธรรม หรือเริ่มทำสิ่งที่บ้าและน่ารังเกียจต่อสัตว์เลี้ยงได้
ลูกหมีที่น่ารักทั้งสามเติบโตอย่างรวดเร็ว ในบางวันพวกมันก็เดินเล่นรอบเมืองกับวิลเลียมและหมุนไปรอบๆเหมือนกับหมาปั๊ก
และในอีกไม่กี่วันต่อมาความประทับใจที่ดีที่ลูกหมีทั้งสามมีต่อเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
วิลเลียมมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปรับปรุงความประทับใจของสัตว์เลี้ยง ในชีวิตก่อนมีผู้เล่นหลายคนที่จับสัตว์เลี้ยงที่โตเต็มวัยและกว่าที่พวกเขาจะปรับปรุงความประทับใจที่ดีของสัตว์เลี้ยงได้ มันก็ทำให้พวกเขารู้สึดแทบตาย ต่อมาผู้เล่นค่อยๆพบว่าถ้าสัตว์เลี้ยงยังเล็ก พวกมันไม่จำเป็นต้องใช้เงิน, วัตถุดิบ, และความพยายามมากนักเพราะสติปัญญาของสัตว์ที่ยังเล็กไม่ได้สูงมาก แค่เล่นกับพวกมันก็เพียงพอแล้ว
แตกต่างกับสัตว์เลี้ยงที่โตเต็มวัย
หากต้องการความประทับใจที่ดีจากอสูรเวทย์ระดับสูงที่ใกล้จะโตเต็มวัย คุณต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก!
ผู้เล่นต้องตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายทั้งสัตว์เลี้ยง, อาหาร, ความอบอุ่น, และแม้กระทั่งคู่รัก…
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
หากต้องการให้สัตว์เลี้ยงสนับสนุน เขาต้องดูแลมันเป็นอันดับแรก
เขาจำได้ลางๆว่าในชีวิตก่อน มีหญิงสาวที่น่ารักคนหนึ่งมีโชคพอที่จะได้รับความโปรดปรานจากอสูรมังกร นั่นคืออสูรเวทย์ที่มีสายเลือดของมังกรยักษ์
อย่างไรก็ตาม เพราะว่าหญิงสาวไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของอสูรเวทย์ได้ มันจึงกระพือปีกและหนีไป
ดังนั้น พวกขาใหญ่ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ พื้นฐานแล้วมักจะเป็นของครอบครัวตนเอง…
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัตว์เลี้ยงใน ‘Gods’ นั้นไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงในเกมอื่นๆ
สัตว์เลี้ยงในเกมอื่นๆจะสามารถฟื้นคืนชีพได้เมื่อพวกมันตาย แต่ค่าสถานะจะต่ำมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจับอสูรที่ทรงพลังมากมาเป็นสัตว์เลี้ยง ค่าสถานะของมันย่อมลดลงและจะกลับไปอยู่ที่เลเวลศูนย์ ดังนั้นคุณต้องฝึกมันใหม่ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่สัตว์เลี้ยงอาจหลบหนีจากเจ้าของ
แต่ไม่ว่าเลเวลของสัตว์เลี้ยงใน ‘Gods’ จะอยู่ในระดับใด มันก็ยังอยู่ในระดับนั้น และค่าสถานะยังคงยอดเยี่ยม!
แต่เมื่อมันเสียชีวิต มันก็ตายจริงๆ…
สัตว์เลี้ยงใน ‘Gods’ อาจเป็นคู่หูคนที่สองของผู้เล่น!
ในอดีต มีผู้เล่นหลายคนระบายความหงุดหงิดลงบนฟอรั่มเพราะสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเสียชีวิต...
มีผู้เล่นที่จับสัตว์เลี้ยงที่พิเศษได้และสามารถต่อสู้กับคนเป็นร้อยด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหา นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เล่นบางคนกลายเป็นคนโปรดของกิลด์เมื่อได้รับสัตว์เลี้ยงระดับสูง
“ดีมาก ดีมาก อสูรเวทย์ระดับสูงในระดับเดียวกันสามารถต่อสู่กับผู้เล่นหลายร้อยคนในช่วงระยะกลางของเกม ตราบใดที่เลเวลของสัตว์เลี้ยงของฉันไม่ตก ผู้เล่นก็เหมือนกระเทียมในอนาคต แค่เสียงคำรามของหมีก็กวาดล้างพวกมันได้!” ในที่สุดวิลเลียมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่เขาหนีลูกหมีที่จงรักภักดีทั้งสามไปได้
เขาเดินเข้าไปในเมืองตัวคนเดียว มองไปยังชาวเมืองที่เบื่อหน่าย พวกเขาคุยกันและเล่นไพ่นอกประตูบ้าน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเมืองนี้น่าเกรงขามเพียงใด
สองวันที่ผ่านมาดูเหมือนเขากำลังเดินเล่นกับหมี แต่เขาก็สำรวจรอบๆเมืองไปด้วย
เขาจะไม่รู้อะไรเลยถ้าไม่เห็นกับตา
มันน่าตกใจตั้งแต่แรกเห็น
เมืองที่มีคนแค่ 3000 คน
กลับมีผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยถึง 2000 คน…
มีพลเมืองเพียงหกถึงเจ็ดร้อยคนเท่านั้นที่เลี้ยงตนเองด้วยการทำฟาร์ม
“ไม่แปลกใจที่ท่านแม่ให้นักรบเอลฟ์มาอารักขาถึง 500 ตน ถ้าฉันมีองครักษ์ไม่มากพอ ฉันจะไม่ถูกพวกกล้ามปูพวกนั้นรังแกเอาหรอกเหรอ?” วิลเลียมไปที่ขอบหน้าผาและดูละอองน้ำที่เกิดจากน้ำตก
เลียบแม่น้ำด้านล่าง เขาเห็นที่ราบทางเหนือและรู้ว่าอาณาเขตของดยุคในอาณาจักรเหล็กอยู่ที่นั่น แม้ว่ามันจะไกลเกินกว่าที่สายตาจะมองเห็น เขาบ่น “แม้ว่าจะมีบางคนที่ทรงพลังในเมืองแต่ฉันไม่สามารถทำให้พวกเขายอมจำนนได้ในตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดคือแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฉันเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นว่าฉันเป็นลอร์ดที่แข็งแกร่ง เป็นลอร์ดที่สามารถพัฒนาและขยายเมืองออกไปได้”
“และให้พวกเขาเห็นว่าศักยภาพในการเติบโตของฉันนั้นยอดเยี่ยม จากนั้นฉันก็จะสามารถติดต่อไปหรือรอให้พวกเขาติดต่อมาหาฉันด้วยตนเอง!”
“จากนั้นเราก็จะเข้าไปในป่าแบล็คลีฟให้ลึกกว่านี้ ถึงตอนนั้นพวกออร์คก็คงจะโจมตีฉันเพื่อผลประโยชน์ทางเหมืองแร่เท่านั้นหรือไม่ก็เพราะว่าพวกมันคิดว่าจะรังแกพวกเราได้โดยง่าย ฉันคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมังกรยักษ์ในภูเขาหิมะฝั่งทะเลตะวันออก”
“เผ่าพันธุ์มังกรทั้งหมดในโลกนี้นั้นล้วนขี้เกียจ ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์หรือเข้าไปพัวพันกับปัญหาต่างๆ ที่เหลือพวกมันก็ใช้เวลาไปกับการนอนหลับหรืองีบหลับ”
“แต่ถ้าไม่มีพลเมืองก็ไม่สามารถพัฒนาเมืองได้น่ะสิ!” เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้วิลเลียมก็ปวดหัวขึ้นมาทันที
การพัฒนาเมืองไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากกำลังคน
พวกออร์คอาจทำการขุดเหมืองได้
แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขยายเมืองล่ะ?
การสร้างป้อมปราการ?
หรือจัดทำอุปกรณ์อื่นๆ?
หรือว่าเขาควรจะใช้งานพวกเชลยออร์คดี?
นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
“หรือฉันต้องซื้อทาส?” วิลเลียมขมวดคิ้ว ไม่คิดว่านี่เป็นไอเดียที่ดี อย่างน้อยก็ตอนนี้ล่ะนะ เมืองนี้ขาดเงินและอาหาร และไม่มีที่พักสำหรับทาสหลังจากซื้อพวกเขามา
แม้ว่าเขาจะซื้อทาสมา เขาก็ต้องซื้อพวกมันผ่านดยุคของอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรหินดำ อย่างไรก็ตาม ดยุคทั้งสองก็มีสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภ พวกมันมีเจตนาที่ซ่อนเร้นเป็นเวลานานและต้องการครอบครองเมือง พวกมันอาจจะปล่อยให้เขาซื้อสายลับเป็นจำนวนมากไปแทน
ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นไปได้สูงที่ดยุคของอาณาจักรทั้งสองจะเป็นผู้ลอบสังหารเขาในชีวิตก่อน
แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ทำ แต่ทั้งสองก็จะไม่นั่งเฉยๆและไม่ทำอะไรเมื่อเห็นเขาพัฒนาเมืองแน่ และจะต้องสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างแน่นอน
แม้ว่าที่ตั้งของเมืองจะยอดเยี่ยม มีหน้าผาสูงกว่า 80 เมตรเป็นปราการธรรมชาติ แต่ถ้าหากดยุคของอาณาจักรทั้งสองจะเข้ามาโจมตี มันก็ยากมากสำหรับเมืองชายแดนที่จะใช้กำแพงธรรมชาตินี้มาป้องกัน
“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องทำตัวให้ดูอ่อนแอเมื่อลงมือทำอะไรสักอย่าง!” วิลเลียมถอนหายใจ และในขณะที่เขามีปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอยู่นั้น… ก็ได้ยินข่าวที่คาดไม่ถึง!
“พวกออร์คกับคนแคระกำลังต่อสู้กันหรอ?” วิลเลียมสับสนเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะมีเหล่าคนแคระซ่อนตัวอยู่ใกล้กับเมือง!
“ถูกแล้ว ห่างไป 30 ไมล์จากเหมืองเหล็ก มีคนแคระอยู่ ฉันได้ยินมาว่าเป็นคนแคระจากหุบเขาเดียวดาย พวกออร์คต้องรวบรวมกองกำลังเพื่อโจมตีพวกเขา แต่เรากำจัดพวกมันก่อน...” ลอทเนอร์ยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าเขาสงสัยว่าทำไมเหล่าคนแคระถึงมาที่นี่
“เหล่าคนแคระจากหุบเขาเดียวดายหรอ?”
ลอทเนอร์พยักหน้า “ก็ควรเป็นอย่างนั้น นับตั้งแต่ราชาคนแคระแห่งหุบเขาเดียวดายได้เสียชีวิตลงเมื่อพันปีก่อน จักรวรรดิคนแคระอันยิ่งใหญ่ก็ถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดแว่นแคว้น อย่างไรก็ตาม ยังมีคนแคระอยู่หลายตนที่เข้าไปยังภูเขาหรือในป่าที่แห้งแล้ง และฉันได้ยินมาว่ามีกลุ่มของคนแคระซ่อนตัวอยู่ในป่าแบล็คลีฟ บางทีอาจจะเป็นพวกเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเราควรติดต่อไป หากเราช่วยได้ เราก็ควรช่วยเพื่อนบ้านที่ดีเหล่านี้!”
จากนั้นทั้งคู่ก็กล่าวออกมาในเวลาเดียวกัน “เอลฟ์และคนแคระ สหายที่ดีต่อกันตลอดไป!”
ทันทีที่เสียงของพวกเขาสิ้นสุดลง ลอทเนอร์สบตากับเขาและยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่รอยยิ้มนั้นแสนที่จะซับซ้อน…