ตอนที่แล้วเคียวที่ 20 : ภัยร้ายกำลังคืบคลาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 22 : หุ่นรูปรอย

เคียวที่ 21 : คนไว้ใจสุดท้ายร้ายที่สุด


“ได้ของมาครบหรือเปล่า” เสียงเข้มพูดขึ้นมา

“ครบค่ะพ่อ” หญิงสาวพูดขึ้นกับคนที่อยู่ตรงหน้า ก่อนหยิบของอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายของตัวเอง ถุงพลาสติกที่มีทรายอยู่ภายในหนึ่งถุง เส้นผมสีดำยาวปานกลางสองสามเส้นอีกหนึ่งถุง รูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนถูกตัดแยกออกมาหนึ่งใบ ด้านหลังของรูปมีชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดเขียนติดไว้อยู่

“แกมั่นใจแล้วนะ ว่าจะทำแบบนี้”

“พวกมันเป็นคนเลือกให้หนูทำแบบนี้เอง” หญิงสาวพูด สายตาจ้องมองไปยังคนตรงหน้าด้วยความมั่นใจ

ด้านหลังของคนที่พูดด้วยเป็นโต๊ะหมู่บูชา มีตุ๊กตารูปร่างหน้าตาประหลาดอยู่ข้างบนสุด มีหัวกะโหลกตั้งอยู่สองข้าง พร้อมกับรูปปั้นควายธนูและตุ๊กตากุมารทองอีกสองตัววางอยู่ตามลำดับ

สิ่งที่พวกมันทุกคนเคยทำไว้ ... ต้องได้รับการชดใช้

สามสี่วันก่อนหน้านี้

“งั้นฉันกลับไปพร้อมไหมเลยนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ครีมพูด ร่างบางลุกขึ้นยืนเดินตามร่างของผู้หญิงอีกคนที่เพิ่งเดินนำออกไปก่อน ทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มทั้งสามคนที่นั่งอยู่ที่ริมชายทะเล

“ไหมเดี๋ยว รอกันก่อนสิ” ร่างที่เดินตามมาเรียกคนที่อยู่ข้างหน้า คนถูกเรียกหันกลับมามองด้วยใบหน้าที่ดูสับสนเป็นที่สุดจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน

“ครีม ฉันไม่เคยรู้เลยว่าชามันคิดแบบนี้ ฉันเห็นมันเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง เป็นแบบนั้นมาโดยตลอด” ใยไหมพูด

“ฉันเข้าใจแกนะ”

“ฉันควรทำไงดี” ใยไหมพูดต่อ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ทำตัวไม่ถูก ในเมื่อคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นแค่เพื่อนกลับคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น ทั้งที่เวลาที่ผ่านมาเจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีที่จะดูชอบเธอเลย ดีแต่หาเรื่องกวนประสาท แกล้งเล่นไปวัน ๆ

“ทำตัวเป็นปกตินั่นแหละ เดี๋ยวชาก็ทำใจได้เอง เชื่อฉัน”

ใช่ แกไม่ต้องทำอะไร ชีวิตแกก็มีเกือบทุกอย่างแล้ว ...

“เรากลับห้องกันเลยไหม” ใยไหมถาม

“ฉันขอแวะซื้อของแถวนี้ก่อนสิ เดี๋ยวจะตามเข้าไป” เจ้าตัวตอบคนถาม ก่อนคนถามจะพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไปอีกทาง ขณะคนที่บอกว่าจะไปซื้อของมองตามไล่หลังไปด้วยสายตาอาฆาตปนอิจฉาริษยา เมื่อเห็นว่าอีกร่างคลาดสายตาไปแล้ว เจ้าตัวก็เดินย้อนกลับไปที่ชายหาด

“กูอยากได้เบียร์เพิ่มว่ะ พวกมึงไปซื้อให้กูหน่อยได้ปะ กูขอนั่งอยู่คนเดียวสักแปบ” เสียงของชายหนุ่มหน้าตี๋พูดขึ้นก่อนเพื่อนทั้งสองคนของเขาจะลุกขึ้นยืนและแยกตัวเดินออกไป ร่างที่ยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ได้แต่แอบมองอยู่อย่างนั้น สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทุกคำพูด ทุกการกระทำเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา มันแสดงให้เห็นว่า

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี คนคนนั้นก็ยังเหมือนเดิม

ทั้งที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแล้วแท้ ๆ

แต่สุดท้าย ก็ยังคงไม่เคยถูกเลือกอย่างเดิม

หลังจากแอบมองร่างนั้นนั่งเศร้าอยู่พักใหญ่ ๆ เจ้าตัวก็เห็นเขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนเดินเลาะไปตามชายฝั่งของทะเล โอกาสมาถึงแล้ว

อีกไม่นานหรอกชาบู ...

นายจะต้องรักฉัน

หญิงสาวเดินไปขอซื้อถุงพลาสติกกับร้านขายของแถวนั้นก่อนเดินตรงไปยังชายหาดบริเวณที่คนคนนั้นเพิ่งเดินออกไปไม่นาน รอยเท้าของเจ้าตัวยังคงประทับอยู่บนพื้นทรายแม้ว่าร่างจะเดินออกไปแล้ว

มือเรียวบางค่อย ๆ กอบเม็ดทรายบริเวณนั้นขึ้นมาใส่ถุงพลาสติก

และนั่นคือของชิ้นแรก ... ดินใต้เท้า

ภายในร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัยแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในนั้น คนคนนี้เป็นที่รู้จักดีของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย เนื่องจากเพิ่งคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ด้วยหน้าตาพิมพ์นิยมที่สาว ๆ สมัยนี้ชื่นชอบ จึงทำให้เจ้าตัวถูกจ้องมองมาตั้งแต่เดินเข้ามาหน้าร้านจนมานั่งที่โต๊ะ

“มาคนเดียวเหรอคะ” เสียงหนึ่งทักขึ้นมาข้างตัว เจ้าตัวหันไปมองแล้วยิ้ม อาทิตย์นี้เขามาที่นี่เกือบทุกวันตั้งแต่กลับจากทะเล และแต่ละวันก็มีคนเข้ามาหาไม่ซ้ำหน้า สำหรับวันนี้ เป็นหญิงสาวผมยาวสลวยสีทองสะท้อนกับแสงไฟภายในร้าน เสื้อเกาะอกที่โชว์หน้าอกหน้าใจมาเต็มที่ ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าวันนี้กำลังจะได้ที่นอนที่ใหม่อีกแล้ว

“ครับ”

ทั้ง ๆ ที่ตัวเขามีแต่คนเข้าหา แล้วทำไม คนคนนั้นถึงไม่เคยคิดจะสนใจเขามากกว่าเพื่อนเลย ...

“มาดื่มด้วยกันไหม”

“เอาสิ” ชาบูตอบ ด้วยความที่เป็นคนไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว บวกกับนิสัยร่าเริงของเจ้าตัว ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ง่าย มองทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกไปหมด

ร่างบางขยับเข้ามาใกล้จนนั่งลงบนตักของฝ่ายชาย ก่อนคล้องมือไปที่ไหล่ทั้งสองข้าง และยื่นหน้าเข้าไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม

ไม่ต้องบอกก็รู้ ... ว่าเรื่องนี้จะไปจบลงที่ไหน

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาในตอนเกือบเก้าโมงเช้า ทำให้ร่างเปลือยเปล่าของผู้หญิงผมสีทองลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียก่อนคว้าเสื้อคลุมมาใส่แล้วเดินออกไปเปิดประตูให้กับคนที่มาเคาะ พอเห็นหน้าของคนที่มาเคาะประตู เจ้าตัวก็ฉีกยิ้มกว้างก่อนพูดขึ้นมา

“ถ้ามีงานดี ๆ แบบนี้อีกบอกนะ”

“เขาออกไปแล้วใช่ไหม” คนที่มาเคาะประตูห้องไม่ได้สนใจในสิ่งที่เจ้าตัวพูด เดินแหวกทางเข้ามาภายในห้องของหญิงสาว

“ใช่ เห็นบอกมีเรียนเช้า ค่าจ้างฉันล่ะ” หญิงสาวผมสีทองถาม เมื่องานเสร็จค่าจ้างก็ต้องมา

“เอาไป”

ร่างที่เดินเข้าไปภายในห้องถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ ก่อนหยิบแบงค์สีเทาสามใบในกระเป๋าถือส่งให้กับคนที่ทวงค่าจ้าง

“นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ” หญิงสาวผมสีทองถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเนื่องจากเห็นผู้ว่าจ้างเดินไปที่เตียงก่อนหยิบหมอนขึ้นมาดู

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ งานของเธอจบแล้ว”

มือเรียวหยิบเส้นผมสีดำที่ร่วงอยู่บนหมอนสองสามเส้นขึ้นมา ก่อนใส่ลงไปในถุงพลาสติกใสที่เตรียมมา

ของชิ้นที่สอง ... เส้นผม

และชิ้นสุดท้าย ... ได้มาอย่างง่ายดายเพราะมีคนเอามาให้ ... รูปถ่าย

ขึ้นชื่อว่าป่าช้า สถานที่ที่ใช้ฝังศพคนตายซึ่งส่วนใหญ่เป็นศพไร้ญาติหรือตายโหง บรรยากาศยามค่ำคืนย่อมไม่มีใครอยากเดินเฉียดกายมาแถวนี้เป็นแน่ เว้นเพียงแต่ชายวัยกลางคนกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ทั้งคู่กลับกำลังนั่งอยู่บนเสื่อกลางป่าช้า โดยมีสายสิญจน์ล้อมรอบเป็นกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายกับกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง

ตรงหน้าของชายคนนั้นมีพานสีทองวางอยู่ บนตัวพานมีหุ่นชายหญิงสองตัวกำลังกอดกัน ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากขี้ผึ้ง ดินเจ็ดป่าช้าและทราย รวมถึงเส้นผมที่ถูกปั้นรวมอยู่ในนั้นด้วย ด้านล่างของตัวหุ่นทั้งสอง มีรูปชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูเหมือนจะเอารูปแยกของแต่ละคนมาแปะไว้ด้วยกัน บทบริกรรมคาถาถูกเอ่ยขึ้นมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนมือของชายวัยกลางคนจะหยิบใบรักซ้อนที่ถูกลงยันต์ไว้เรียบร้อยมาห่อของที่อยู่บนพานเข้าไว้ด้วยกันอีกที

“กูขอผูกจิตของอ้าย ... และอี ... ให้มันจงรัก จงหลงกัน ตราบนานเท่านาน”

ทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ ก็เกิดเสียงฟ้าร้องคำราม พร้อมกับลมพัดอย่างรุนแรงขึ้นมาราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกรับรู้แล้ว

“เอาผ้าดำผ้าแดงที่วางอยู่นั้นห่อ แล้วแกก็เอาไปฝังซะ เป็นอันเสร็จพิธี ไม่เกินสามวันเจ็ดวันมันจะมาหาแกเอง” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข ก่อนลดมือที่พนมอยู่หยิบผ้าดำผ้าแดงมามัดของอาถรรพ์นั้นไว้ ก่อนลุกขึ้นเดินไปขุดหลุมเพื่อฝังสิ่งสิ่งนั้นลงไป

ติ้ด ๆ ติ้ด ๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาแจ้งเตือนเวลาตอนตีสาม วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ผมต้องตื่นมาส่งวิญญาณเป็นจำนวนสองเท่า เนื่องจากเมื่อวานไปช่วยไอ้ตัวก่อปัญหาให้พ้นจากการโดนยำตีนมา ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปิดเสียงก่อนเดินออกไปนอกระเบียงห้อง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องกังวลว่าพวกมันอีกสองคนจะรู้อีกแล้ว ผมเลยไม่ต้องมาคอยมองว่าพวกมันจะตื่นขึ้นมาเห็นหรือเปล่า

ผมส่งวิญญาณทั้งหมดไปนรกเสร็จก็เกือบตีสี่ จึงเดินกลับเข้าไปภายในห้อง พอเข้ามากำลังจะล้มตัวลงนอนก็เห็นเพื่อนเตียงข้าง ๆ นอนพลิกตัวไปมา ผ้าห่มถูกถีบลงไปกองอยู่ปลายเตียง

เป็นไรของมันวะ ปกติก็ไม่นอนดิ้นนี่หว่า หรือว่าจะฝันร้าย

ผมเดินไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับเตียง ก่อนเข้าไปเรียกมัน

“ชา”

“ไอ้ชา เป็นไรของมึง”

อยู่ ๆ มันก็สะดุ้งตัวขึ้นมา ก่อนยันตัวลุกขึ้นมานั่ง

“ร้อน ทำไมมันร้อนอย่างงี้วะ กูนอนไม่หลับ” เจ้าตัวพูดขึ้นมา ผมมองเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้ามัน กับเสื้อกล้ามที่ใส่นอนชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนไปวิ่งมาสักสองสามกิโลก็ได้แต่สงสัย ว่าอะไรมันจะร้อนขนาดนั้น ผมว่าอากาศในห้องมันก็เป็นเหมือนทุกวัน แอร์ก็ตั้งตามอุณหภูมิปกติไม่ได้เปลี่ยนแปลง

“ร้อนอะไรของมึงวะ แอร์ก็เปิด” ผมพูด

“ไม่รู้ กูเป็นไรไม่รู้ว่ะ กูอยาก ... อยาก”

“อยากไรของมึง”

“อยากอาบน้ำ กูจะไปอาบน้ำ ร้อนฉิบ”

เฮ้ย ! ... มันบ้าไปแล้ว อาบน้ำตอนตีสี่เพราะร้อนเนี่ยนะ ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เจ้าตัวก็ลุกลี้ลุกลน ลุกออกจากเตียงรีบเดินเข้าห้องน้ำไป

เช้าวันถัดมา

ผมและเพื่อนอีกสองคน ที่หน้าเริ่มหายบวมจากการไปตะลุมบอนที่ร้านเหล้าเมื่อวันก่อนก็ไปเรียนตามปกติ ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะมาถึงที่ห้องเรียนในเวลา 9.30 ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งมันหมายความว่า เราเลทไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง สาเหตุที่เลทก็เพราะว่า หลังจากส่งวิญญาณสองเท่านั้นไปเสร็จ ผมดันเผลอหลับต่อ และทุกวันนี้ ผมกลายเป็นนาฬิกาปลุกประจำตัวพวกมันไปแล้ว พวกเราเลยมาสายกันด้วยประการฉะนี้ พอเปิดประตูเข้าไปถึง แน่นอน สายตาของคนทั้งห้องย่อมจับจ้องมาที่พวกเรา ประดุจดั่งดาราดัง ไม่ใช่เพราะหล่อหรือว่าอะไร แต่เนื่องจากประตูห้องเรียนคลาสนี้มันอยู่ด้านหน้าห้องนั่นเอง

“คิรากร ชานนท์ อิทธิกร พวกคุณไม่มีนาฬิกาหรือไง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” เสียงเข้มดังมาจากด้านหน้าห้อง ขณะผมสามคนกำลังเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้เลคเชอร์

โดนจนได้

“นี่ไปมีเรื่องกันมาเหรอ” ใยไหมถามขึ้นมาหลังจากคลาสนั้นจบลงไป พวกเราลงมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนด้านหน้าภาควิชา

“อื้ม เพราะไอ้ชานั่นแหละ เมาแล้วหาเรื่องไปทั่ว” ผมหันไปโทษไอ้ชา

“ชา ไหนแกว่าโอเคแล้วไง เรื่องระหว่างเรา”

“อื้ม ตอนนี้โอเคมาก ๆ แล้ว ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ” ไอ้ชาพูด

ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ ... เฮ้อ

“จริง ๆ นะ” ใยไหมถามย้ำเพื่อความชัวร์ เจ้าตัวคงลำบากใจด้วยแหละ ยังไงก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี คงไม่อยากให้อีกคนรู้สึกแย่

“อื้ม จริง ๆ วันนี้ครีมหายไปไหนอะ” ชาบูถามขึ้นมา

“เมื่อคืนโทรมาบอกว่าไม่สบายอะ วันนี้เลยไม่เข้าเรียน”

“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า ไปหาหมอหรือยัง มีคนซื้อยาให้เปล่า ครีมไม่ได้อยู่หอเดียวกับเจ๊เหรอ” ชาบูถามเป็นชุดขึ้นมา

“เปล่า ครีมอยู่หอนอก”

“เย็นนี้ไปเยี่ยมกันปะ”

“ก็ได้”

“เอาดิ”

“กูคงไปไม่ได้นะ สายรหัสกูนัดเลี้ยงอะ” ผมบอกไป ฟองเพิ่งไลน์มาบอกผมเมื่อกี้นี้เอง ว่าจะมีรุ่นพี่สายรหัสพาไปเลี้ยงเย็นนี้

ช่วงเย็น ผมไปที่ร้านหมูกระทะหลังมหาวิทยาลัยตามที่ฟองได้นัดไว้ ผมเข้าไปถึงก็เจอฟองกวักมือเรียกอยู่ภายในร้านผมจึงเดินเข้าไปหา ตอนนี้คนภายในร้านเริ่มเยอะแล้ว เพราะเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม อีกอย่างหมูกระทะร้านนี้ก็ถือว่าเป็นร้านเด็ดของมหาวิทยาลัยเราเลย

ผมเดินไปถึงที่โต๊ะก็เห็นรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับพี่ฟอง

แต่เฮ้ย ! ...

นี่มันวิญญาณที่ผมเคยเจอ ที่ห้องสมุดเมื่อเดือนก่อนนี่นา ผมยกมือไหว้เขา ลุ้นอยู่ลึก ๆ ว่าเขาคงไม่สามารถจำผมได้

“คีย์นี่พี่บอล พี่รหัสพี่เอง” พี่ฟองแนะนำรุ่นพี่ตรงหน้าให้กับผม

“เอ่อ สวัสดีครับพี่บอล”

“ดีครับ พี่ว่าเราหน้าคุ้น ๆ นะเนี่ย” พี่บอลพูด

จะไม่คุ้นได้ไงล่ะครับ ผมนี่แหละเป็นคนทำให้พี่รู้ตัวและสามารถกลับเข้าร่างได้ ไม่งั้นคงเป็นวิญญาณเฝ้าห้องสมุดต่อ

“อ่อ เหรอครับ หน้าผมคงโหลมั้ง” ผมพูดออกไป

“ฮ่าฮ่า ไม่หรอก หน้าตาดีขนาดนี้ ไม่โหลหรอก”

“แหะ ๆ พี่ก็ชมเกินไปครับ ว่าแต่พี่เรียนวิศวะเหรอครับ ทำไมผมไม่คุ้นหน้า” ผมถาม

วันนั้นผมยังเห็นเขาอ่านหนังสือกายวิภาคอยู่เลย จะกลายมาเป็นพี่รหัสพี่ฟองที่อยู่คณะวิศวะได้ไง

“เปล่าหรอกคีย์ พี่บอลแกเคยเรียนน่ะ แล้วซิ่วไปเรียนหมอต่อ” ฟองตอบผมกลับมาแทนพี่บอล

“อ่อ ครับ ๆ” ผมพูดพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“เอาเข้าจริงพี่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อต้นเดือนที่แล้วเองแหละ นอนโคม่าอยู่หลายเดือนเลย”

พี่เขาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของเขา พวกเราคุยอะไรกันไปเรื่อย ๆ พี่บอลก็ขอตัวไปหยิบหมูมาเพิ่ม เพราะที่ตักมาตอนแรกมันใกล้จะหมดแล้ว ผมที่อาสาจะไปช่วยแต่เขาบอกให้นั่งอยู่ที่โต๊ะ ตอนนี้เลยได้นั่งกินอยู่กับฟองสองต่อสอง

ทุกวันนี้เราก็ยังคุยไลน์กันอยู่เกือบทุกวันนะครับ ผมกับฟองเริ่มสนิทและรู้จักกันมากขึ้น รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ยังไม่ได้ขอเป็นแฟนสักที อย่างที่บอกอะครับ ผมเป็นคนชอบความชัวร์และอยากให้เวลาทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างมันชัดเจน ช่วงนี้เลยอยู่ในช่วงจีบเขาไปก่อน

“ไฟเริ่มมอดแล้วอ่ะ เรียกเขามาเปลี่ยนเตาไหมคีย์” ฟองเอ่ยขึ้นมา ผมมองหน้าฟอง จ้องตาคู่สวยตรงหน้า ก่อนพูดอะไรออกไป

“ในเตายังมีไฟ ในใจอยากให้มีผมนะครับ”

หยอดไปหนึ่งดอก

นิ่ง เจ้าตัวยังนิ่ง สงสัยกำลังอินกับมุกจีบของผมอยู่ ผมเลยใช้ตะเกียบคีบหมูในกระทะ แล้วใส่ไปในจานของคนตรงหน้า ตามด้วยประโยคที่สอง

“เนื้อหมูยังติดมัน ถ้าอยากให้รักกันต้องทำไง”

ดูดิ เจ้าตัวเขินจนต้องหยิบแก้วโค้กมาดื่มเลย พอวางแก้วโค้กลง ฟองก็พูดออกมา

“คีย์หยุดก่อน เดี๋ยวโค้กพุ่ง”

หมดกัน ฮ่าฮ่า เจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจ นี่อุตส่าห์ไปฝึกพัฒนามุกจีบสาวมานะเนี่ย

“ไม่ผ่านว่ะคีย์ พี่บอกเลย หน้านิ่ง ๆ แบบเรา ไม่ควรปล่อยมุกจีบสาวแบบนี้นะ ฮ่าฮ่า”

อยู่ ๆ พี่บอลก็เดินมาข้างหลัง วางจานใส่หมูบนโต๊ะ ก่อนเอามือมาตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบใจ

“ใช่ค่ะ ฟองก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ใครสั่งใครสอนคีย์มา”

“หูย ไม่อินกับผมสักนิดเลยเหรอ” ผมพูด โคตรเสียเซลฟ์อะ ฮ่าฮ่า ผมเอามือลูบผมแก้เก้อ

“ไม่อะ ขนลุก”

อื้มฮืม พี่ฟองที่เคยน่ารัก ตะมุตะมิหายไปไหนแล้วครับเนี่ย

ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยฝีมือของอิฐ ผมที่กลับมาจากร้านหมูกระทะกำลังนอนเล่นมือถืออยู่ก็หันไปถามมันว่าครีมเป็นยังไงบ้าง

“ไปหาครีมมาเป็นไงกันบ้างวะ”

“เหมือนจะเป็นไข้หวัดอะ ไม่ได้เป็นไรมากหรอก”

อื้ม ดีแล้วจะได้ไม่ต้องขาดเรียนหลายวัน

“เหรอ ดี ๆ แล้วไอ้ชาไม่ได้กลับมาพร้อมมึงเหรอ” ผมถาม เพราะเห็นขาไปชาบูมันติดรถซ้อนมอเตอร์ไซค์ไอ้อิฐไปด้วยกัน

“เปล่าว่ะ มันบอกให้กูกลับมาก่อนเลย มันจะแวะซื้อของอะไรนิดหน่อย”

“อ่อ อื้ม ๆ” ผมตอบไป

“แต่กูว่าไอ้ชามันดูแปลก ๆ ไปว่ะ” อิฐเดินมานั่งบนเตียงผมก่อนพูดขึ้นอีกครั้ง

“แปลกยังไงวะ” ผมละสายตาจากมือถือหันไปคุยกับมัน

“ก็ที่พวกกูไปหาครีมที่หอพักใช่ปะ มันดูเป็นห่วงเป็นใยเกินเหตุ ครีมไม่ได้เป็นไรมากสักหน่อย” อิฐพูด

“ก็ห่วงเพื่อนแปลกตรงไหน”

“ไม่รู้ว่ะ กูบอกไม่ถูก แต่ปกติมันไม่เคยทำตัวแบบนั้นกันครีมอะ”

“หรือมันจะทำประชดไหมวะ”

นั่นเป็นอีกข้อสมมุติฐานหนึ่งของผม เพราะก่อนหน้านี้มันยังไปมั่วผู้หญิง เข้าร้านเหล้า จนมีปัญหาตามมาอยู่เลย

“ไม่น่าใช่นะ กูก็เห็นมันคุยเล่นกับไหมเหมือนปกติ แต่ท่าทีที่มันมีต่อครีมเปลี่ยนไป เหมือนกับห่วงแฟน ยังไงยังงั้น”

หืม ไอ้ชากับครีมเนี่ยนะ ...

“คิดมากละมึง คนอกหักนะเว้ย อีกอย่าง มันชอบไหมมาตั้งหลายปี จะไปชอบคนใหม่เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ วันก่อนยังจะเป็นจะตาย เมาหัวราน้ำ มั่วไปทั่วอยู่เลย”

“ก็ไม่แน่นะ”

“แต่ก็ช่างมันเหอะ เพื่อนมีความสุขก็โอเคแล้วปะ”

จะยังไงก็ปล่อยมันเถอะผมว่า ให้มันทำใจเรื่องไหมได้ก็โอเคแล้ว

“เอองั้นตามนั้น เล่นเกมกันมึง”

ว่าแล้วผมกับไอ้อิฐก็ใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงหมดไปกับการเล่นเกม

ประตูห้องถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเวลาเกือบสี่ทุ่ม ชาบูเดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง เป็นอะไรของมัน ผีเข้าเหรอ แล้วอยู่ ๆ มันก็ตะโกนขึ้นมาลั่นห้องด้วยความดีใจ

“พวกมึง กูกับครีมเป็นแฟนกันแล้วนะ”

อึ้งไปสามวินาที

“ฮะ ! นี่มึงล้อพวกกูเล่นหรือเปล่าเนี่ย” ผมพูดออกไปอย่างตกใจ

ที่ไอ้อิฐเล่าให้ฟัง ผมนึกว่ามันแค่คิดมากไปซะอีกนะเนี่ย นี่มันจริงเหรอวะ

“เปล่า กูพูดจริง” เจ้าตัวพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ ก่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง หยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาก่อนหยิบเสื้อผ้ายัดลงไปในกระเป๋านั้น

“ได้ไง ตั้งแต่เมื่อไรวะ” ไอ้อิฐถามต่องุนงงไม่แพ้ผม

“เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”

ตลกล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีสัญญาณอะไรว่าจะชอบครีมขนาดนี้เลย

“แล้วนี่มึงเก็บข้าวของจะไปไหนอะไอ้ชา” ผมถามต่อเมื่อเห็นมันยังคงสาละวนเก็บข้าวของส่วนตัวใส่ลงไปในกระเป๋าเดินทางของมัน

“กูจะไปอยู่หอครีม”

อึ้งไปอีกสามวินาที

“เฮ้ย ! นี่เอาจริงดิ”

“จริงดิวะ”

“ทำไมมันกะทันหันแบบนี้วะ” อิฐถาม ตอนนี้ผมกับไอ้อิฐตามอารมณ์ไอ้ชาไม่ทันแล้วครับ วันก่อนยังเมา เฮิร์ตเรื่องใยไหมอยู่เลย

“แล้วมึงไปอยู่หอครีมแบบนี้ ผู้หญิงเขาจะเสียหายนะเว้ย” ผมพูดเบรกมันไว้

แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่วัยสำหรับเราพอเป็นแฟนกันก็ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นคนอื่น ผมจะไม่แปลกใจเลย แต่นี่ครีมนะ ครีมที่ดูเป็นคนเงียบ ๆ เรียบร้อยมาก อะไรทำให้ตกลงเป็นแฟนไอ้ชาและยอมให้เข้าไปอยู่ด้วยได้เร็วขนาดนี้เนี่ย

“ครีมโอเค กูจะไปดูแลเขาด้วย” ไอ้ชาพูด

“นี่มึงไปรัก ไปชอบครีมตอนไหนเนี่ย กูงง งงมากด้วย”

“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้รักมาก”

พูดจบเจ้าตัวก็เก็บข้าวของเสร็จพอดี ไม่เปิดโอกาสให้ผมกับไอ้อิฐได้ซักถามต่อ ชาบูก็เดินออกนอกห้องไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความงุนงง สับสนให้กับพวกเราทั้งสองคน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด