เคียวที่ 19 : ผีพราย
“สวัสดีครับ พี่เคนตะ”
ผมออกไปโทรหาพี่เคนตะข้างนอกรีสอร์ตตอนตีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเข้านอนกันหมดแล้ว ผมรอสายไม่นานปลายสายก็รับโทรศัพท์
“ว่าไงคีย์ โทรมาซะดึกเลย”
“ผมมีเรื่องจะปรึกษาน่ะครับ พี่ยังไม่นอนใช่ไหม”
แล้วผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ริมชายหาดให้พี่เคนตะฟัง พร้อมกับลักษณะของวิญญาณที่เห็น
“ที่ผมสงสัยก็คือ แถวนี้ไม่มียมทูตเหรอครับ วิญญาณดวงนั้นถือเป็นเคสพิเศษ น่าจะมียมทูตแถวนี้มาจัดการ ยิ่งปล่อยทิ้งไว้จะยิ่งอันตราย”
โชคดีไป ที่วันนี้ผมกับอิฐไปเจอชามันก่อนที่เรื่องร้าย ๆ มันจะเกิดขึ้น ผมไม่อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้กับคนอื่นอีก
“คืองี้นะ ตามปกติแล้ว รายชื่อของคนที่ตายแล้วทุกคนจะไปปรากฏอยู่ที่ฝ่ายทะเบียน ซึ่งถ้าภายใน 13 วัน วิญญาณคนที่ตายไม่ไปหายมทูต คุณลุงที่อยู่ฝ่ายทะเบียนก็จะส่งข้อมูลวิญญาณที่อยู่ในพื้นที่เรามาให้ในมือถือถูกไหม แต่กรณีที่คีย์เจอ พี่ว่ามันอาจเกิดจากการเล็ดลอดของข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ในนรกทำพลาดไว้น่ะ ข้อมูลนี้เลยไม่ถึงยมทูตที่อยู่แถวนั้น”
“อ่อ ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ แล้วงี้ผมควรทำยังไงต่อ”
“คิดว่าจัดการคนเดียวไหวไหมล่ะ พี่สอนไปตั้งสองอาทิตย์แล้ว ไปลองวิชาหน่อยดิ๊” พี่เคนตะพูดขึ้นมา สองอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรกับพี่แกเยอะเลยครับ เลยทำให้ผมเริ่มสนิทกับพี่เขาพอสมควรเลย ที่เลือกโทรหาเขาก็เพราะเหตุนี้แหละ ยมทูตคนเดียวที่ผมสนิทด้วยและอยู่บนโลก ถ้าไม่นับแพทอีกคน
“เอ่อ ... คงน่าจะได้ครับ อีกเรื่องครับ พี่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยมทูตตาสีฟ้าไหมครับ เพราะลักษณะวิญญาณที่ผมเห็นมันไม่เหมือนวิญญาณปกติเลย”
“จริง ๆ พี่ก็เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน เขาเรียกกันว่าผีพรายน่ะ พวกนี้ตายในน้ำหรือในทะเล เลยทำให้สภาพวิญญาณออกมาในลักษณะแบบนั้น วิญญาณที่มีลักษณะแบบนี้ถูกครอบงำโดยยมทูตแน่ ๆ คุยไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว คีย์ต้องกำจัดทิ้งอย่างเดียว”
“ขอบคุณมากครับพี่ ผมกำลังจะออกไปจัดการ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้ว”
“โอเค ระวังตัวด้วย”
รอบที่แล้ว ที่ผมไปบอกเรื่องยมทูตตาสีฟ้ากับพญายมราช ท่านก็เล่าให้ฟังถึงการเพิ่มพลังของยมทูตแบบทางลัด ที่ไม่ต้องฝึกสมาธิ แต่มันเป็นวิธีที่ผิด ยมทูตสามารถเพิ่มพลังตัวเองได้ด้วยการกลืนกินดวงวิญญาณ ทุก ๆ ดวงวิญญาณที่กลืนกินเข้าไปจะต่ออายุขัยยมทูตเท่ากับเวลาที่ดวงวิญญาณมีชีวิตตอนเป็นมนุษย์ พร้อมกับเพิ่มพลังที่ใช้ในการควบคุมธาตุทั้งสี่ แต่ราคาของมันก็คือ หากหมดอายุขัยการเป็นยมทูตเมื่อไร โทษทีทำไป จะทำให้ถูกขังอยู่ในนรกชั้นสามตลอดกาลเลย
สิ่งที่ยมทูตตาสีฟ้าและสาวกทำ คือการใช้วิญญาณหาเหยื่อใหม่ให้ตัวเองได้กลืนกินดวงวิญญาณไปเรื่อย ๆ โดยอาศัยช่องว่างในระยะเวลา 13 วัน ที่รายชื่อยังไม่ถูกส่งให้กับยมทูตปกติ กว่าทางฝ่ายทะเบียนจะทราบถึงความผิดปกติที่บริเวณนั้นมีคนตายซ้ำ ๆ กันบ่อย ก็ช้าไปเสียแล้ว เนื่องจากวันวันหนึ่งคนตายมีจำนวนมาก และการที่เราให้เวลาดวงวิญญาณถึง 13 วัน ก็เพื่อที่จะให้โอกาสดวงวิญญาณได้ปล่อยวาง ได้ล่ำลาคนที่รักบนโลกเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวิญญาณรู้สึกหมดห่วงเมื่อไร ร่างของวิญญาณก็จะไปเจอกับยมทูตตอนตีสามทันที
หลังจากที่ผมวางสายจากพี่เคนตะ ผมก็เดินออกจากรีสอร์ตตรงไปที่บริเวณชายหาดที่เปลี่ยว ๆ ตรงนั้นอีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางผมรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตลอดเวลา สัญชาตญาณป้องกันตัว ทำให้หันหลังกลับไปดูบ่อยขึ้น จนในที่สุดผมก็พบสาเหตุว่าใครที่มันสะกดรอยตามผมมา
“นี่พวกมึงตามกูมาทำไมเนี่ย” ผมพูดออกไปพร้อมหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เป็นชาบูกับอิฐนั่นเอง พวกมันสองคนหลบอยู่หลังต้นไม้แถวนั้น เมื่อถูกจับได้ทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมา
“พวกกูอยากเห็นมึงจับผีอะ” ไอ้อิฐตอบ คำตอบที่ได้ ทำเอาผมอยากเอามือกุมขมับ
“มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะเว้ย”
“เอาน่าพวกกูสัญญาจะดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ไม่กวนมึงหรอก” ตามมาด้วยชาที่พูดต่อ นี่มึงหายอกหักแล้วใช่ไหม
“ตามใจ กูรู้ ต่อให้ห้ามยังไงพวกมึงก็จะแอบตามมาอยู่ดี” ผมพูด ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พวกนี้ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุครับ ห้ามไม่เคยได้หรอก
พอไปถึงบริเวณนั้นผมก็ได้ใช้ทักษะที่เรียนมาใหม่กับพี่เคนตะทันที ผมเรียกเคียวตัวเองขึ้นมาก่อนหมุนมันออกไป 360 องศา เกิดแสงสว่างวาบสีแดงเป็นวงกลมกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ก่อนเสียงกรีดร้องโหยหวนจะดังขึ้นตามมา มันเป็นการทำให้วิญญาณปรากฏตัวครับ ในกรณีที่เรามองไม่เห็นว่าวิญญาณอยู่ตรงไหน
ผมโบกมือให้ชาบูกับอิฐกลับไปหลบหลังต้นไม้ เนื่องจากทั้งสองคนเดินออกมาดูราวกับเห็นการแสดงที่น่าตื่นเต้น อีกอย่างหนึ่งคือ ผมทำให้พวกมันมองเห็นวิญญาณได้ครับ เรื่องนี้เปิดคู่มือยมทูตเอา การที่จะทำให้คนธรรมดาเห็นวิญญาณได้ก็แค่ใช้มือยมทูตแตะที่เปลือกตา ไม่ต้องถึงขนาดเอาดินจากบนศพในป่าช้ามาป้ายเปลือกตาเลย
“ยอมไปกับผมดี ๆ เถอะ” ผมบอกออกไป
ร่างตรงหน้าดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมอ้ากว้างขึ้น ก่อนวิ่งตรงมาหาผม ราวกับจะกัดให้ได้ จริงอย่างที่พี่เคนตะพูด วิญญาณที่ถูกครอบงำจากยมทูตแทบจะไม่รับฟังอะไรเลย
เฟี้ยว ฉับ ...
ผมเหวี่ยงเคียวไปตรงหน้าตามที่พี่เคนตะสอน หัวของวิญญาณกระเด็นหลุดออกจากบ่าทันที ก่อนร่างของวิญญาณจะสลายหายไป เฮ้อ... สำเร็จไปด้วยดี
ตุบ !
แรงลมที่มองไม่เห็นผลักผมจนกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้นทราย ก่อนร่างหนึ่งจะโผล่ออกมาจากเงามืด
“ยมทูตของไอ้เปี้ยกนั่นสินะ มาลองกันหน่อยดีกว่า กล้าดียังไง มาฆ่าคนของกู”
ชายคนนั้นดูราวอายุสามสิบต้น ๆ ผมมั่นใจได้ทันทีเลยว่าคนคนนี้คือสาวกของยมทูตตาสีฟ้าแน่ ๆ วิญญาณคงถูกครอบงำจากคนคนนี้ ไม่คิดว่าจะได้เจอซึ่ง ๆ หน้า
ผมยันร่างตัวเองขึ้นมา ก่อนยกเคียวขึ้นปะทะกับเคียวของคนตรงหน้า คมโลหะของเคียวกระทบกันจนเกิดประกายไฟสีแดงออกมา เคียวทั้งสองกระทบกันอยู่หลายครั้ง จนกระทั่ง
เฟี้ยว ...
ผมพลาดจนได้ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีที่บริเวณต้นแขนข้างขวาที่ถือเคียว เลือดไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว ร่างของคนตรงหน้าแสยะยิ้มออกมาจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ผมตวัดเคียวไปอีกรอบให้เกิดลำแสงสีแดงคล้ายเคี้ยวพุ่งออกไป ร่างตรงหน้าหลบทัน ผมจึงใช้มือข้างซ้ายที่ไม่ได้บาดเจ็บบังคับทรายที่หาดทรายให้ลอยสูงขึ้น จนจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ๆ ก่อนพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
ตู้ม ...
คราวนี้โดนเต็ม ๆ ร่างนั้นร้องขึ้นมา ก่อนกระเด็นล้มลงไปนอนกับพื้น ผมคิดว่าทรายคงเข้าตาด้วยเพราะร่างนั้นเผลอปล่อยเคียวของตัวเองเอามือทั้งสองไปกุมที่ตาทั้งสองข้าง
ไม่รอช้า ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปใส่ทันทีก่อน ง้างหมัดขึ้นต่อยที่ใบหน้าของคนคนนั้นอยู่หลายครั้งจนเลือดกบปาก จนกระทั่งร่างนั้นเหมือนจะตั้งหลักได้ ผมโดนแรงอัดอากาศที่มองไม่เห็นผลักจนกระเด็นออกไปอีกแล้ว
“ไอ้เด็กเวร !” ร่างของคนคนนั้นรีบลุกขึ้นมาตะคอกอย่างเดือดดาล เช็ดเลือดที่ปากตัวเอง ก่อนหยิบเคียวตัวเองที่ร่วงอยู่เดินตรงมาที่ผม ปลายเคียวกำลังจะฟาดมาที่ตัวผม แต่ผมไหวตัวทัน ถีบเข้าที่กลางท้องของคนที่พุ่งเข้ามากระเด็นออกไป แขนขวาผมตอนนี้รู้สึกชาไปหมดแล้ว ผมว่าผมฝึกทักษะการต่อสู้มาดีพอแล้ว แต่เมื่อให้สู้กับยมทูตด้วยกันเองนี่ กลายเป็นแค่เกือบดีไปเลย เอาวะ มาลองอีกซักตั้ง
ผมพุ่งตัวไปยังร่างตรงหน้า คมเคียวกำลังกระทบกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
เฟี้ยว ...
ผมฟันไปโดนกลางหน้าอกของคนตรงหน้า เลือดไหลทะลักออกมาทันที ร่างตรงหน้ายังไม่ยอมแพ้ ฟันผมกลับมาเหมือนกัน แผลเดิมเลย มือขว้างขวาของผมแทบจะไม่มีแรงถือเคียวต่อแล้ว รู้สึกชาไปหมด ผมรู้ตัวเลยว่าเลือดผมไหลไปที่พื้นทรายเยอะมาก แผลที่เกิดขึ้นจากยมทูตสามารถรักษาตัวเองได้ก็จริง แต่มันต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
ผมพลาดอีกครั้ง หมอนั่นมีประสบการณ์มากกว่าผม โจมตีมายังแผลเดิมอีกแล้ว มือผมถือเคียวไม่ไหวอีกต่อไป คมเคียวล่วงฉับลงไปยังพื้นทราย ผมขยับตัวถอยห่างเพื่อหลบเคียวของคู่ต่อสู้ แต่ขามันก็อ่อนแรงจนล้มลง และแล้ว ...
ตุบ !
ท่อนไม้ขนาดใหญ่ฟาดเข้าไปที่กลางหัวด้านหลัง ของคนตรงหน้าผมด้วยฝีมือของไอ้อิฐ เท่านั้นยังไม่พอ พอคู่ต่อสู้ผมล้มลงไป ชาบูก็วิ่งเข้ามาตะลุมบอน กระทืบร่างนั้นราวกับโกรธแค้นกันมานานแสนนาน
สู้กันจนลืมเลย ... ว่าผมมีพวกมันมาด้วย
“เฮ้ย ! พวกมึงพอแล้ว เดี๋ยวมันตาย มาช่วยกูหน่อย” ผมพูด บอกพวกมันที่ยังคงรุมกระทืบยมทูตคนนั้นอยู่ ให้มาช่วยพยุงตัวผมขึ้น หมดแรงจริง ๆ
“มึงเป็นไงบ้างวะ เชี้ย เลือดไหลเต็มเลย” ไอ้อิฐพูด พยุงตัวผมขึ้นมาก่อนถาม
“กูโอเคเดี๋ยวมันก็หยุด ร่างกายกูมันรักษาตัวเองได้”
“เฮ้ยไอ้ชา พอแล้ว กูต้องเอามันไปส่งที่นรกอีก” ผมร้องบอกไอ้ชาเมื่อเห็นมันยังคงเอาตัวลงไปคล่อมต่อยหน้าคนที่นอนสลบอยู่ตรงนั้น บอกได้คำเดียวเละ หน้าเละไปแล้ว
“ทำไมเพิ่งจะเข้ามาวะ”
“โอ้โฮ ถามมาได้ ดูมึงกับมันสู้กัน อย่างกับพวกฮีโร่มาร์เวล กูสองคนเป็นมนุษย์ธรรมดาครับ ออกมาช่วยก็เพราะรักเพื่อนนะครับเนี่ย” ไอ้อิฐตอบ ผมหัวเราะกับคำประชดประชันของมัน
“เออ ๆ ขอบใจมาก ไม่มีพวกมึงกูแย่แน่”
ดีจริง ๆ มีเพื่อนอย่างมันสองคนเนี่ย
“แล้วเอาไงกับมันดี” ชาบูถาม
“มึงไปหาอะไรก็ได้มามัดมันหน่อย เดี๋ยวกูจะลงไปนรกตอนนี้เลย”
“มึงโอเคแน่นะ” ไอ้อิฐพูด ถามย้ำผมอีกทีเพื่อความชัวร์
“เออ กูไหวแล้ว เลือดหยุดไหลแล้วเนี่ย”
ร่างกายผมรักษาตัวเองได้รวดเร็วมาก ผมต้องรีบพายมทูตคนนี้ไปส่งนรกก่อนมันจะฟื้นขึ้นมา
หลังจากหาเชือกมามัดตัวยมทูตที่นอนสลบไว้แล้ว ผมก็บอกให้อิฐกับชากลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ต ล้างเนื้อล้างตัวซะ เพราะตอนมันพยุงผมขึ้นมา และก็ตอนจับคนที่สลบอยู่มามัด เลือดเลอะเสื้อพวกมันด้วย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะตกใจ เนื่องจากตอนนี้เวลาก็เกือบจะตีสามแล้ว
พอชาบูกับอิฐออกไป ผมก็จับตัวยมทูตที่สลบอยู่ก่อนนึกถึงภาพตึกนรกเพื่อที่จะไปที่นั่น ผมยังไม่เคยลงมาในนรกตอนกลางคืนมาก่อนเลย พอลงไปถึง เปิดประตูเข้าไปข้างในเงียบมาก มองไปที่แผนกต้อนรับก็ไม่เห็นพี่ขวัญนั่งอยู่ สงสัยจะหลับกันไปหมดแล้ว ทีนี้ผมจะเอายังไงล่ะเนี่ย ผมลากตัวยมทูตที่ยังสลบอยู่ตรงไปยังโซฟา ก่อนนั่งรออยู่ตรงนั้น
ติ้ง ...
เสียงประตูลิฟต์เปิดออกมา พร้อมกับร่างของพี่ขวัญที่อยู่ในชุดนอนไม่ได้นอนเดินตรงมาหา
โอ๊ย ... เลือดกำเดาแทบพุ่ง
“คีย์นี่เอง พี่ก็ว่าใครเข้ามาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ นั่นพาใครมาด้วยน่ะ” พี่ขวัญพูด เดินมานั่งโซฟาตรงกันข้ามกับผม
“พา ... นมทูต เอ้ย ยมทูตที่ทำผิดมาส่งน่ะครับ ว่าแต่ พี่รู้ได้ไงว่าผมมา” ผมถามพี่เขาไป เพราะนึกว่าจะไม่มีใครรู้ซะอีกว่าผมมาที่นรกในเวลานี้
“ที่นี่เขามีสัญญาณเตือนคล้ายสัญญาณกันขโมยนั่นแหละ เดี๋ยวพวกคนอื่นก็ตามลงมาแหละมั้ง”
ไม่เกินห้านาทีร่างของพี่สิงห์ พี่ศรี พญายมราชในชุดนอน ก็เดินออกมาจากประตูลิฟต์ตรงมาหาผม
“เฮ้ย นี่จับไอ้นี่มาได้ด้วยเหรอ เก่งนี่หว่าไอ้น้อง” พี่สิงห์ทักขึ้นมาพร้อมเดินเข้าไปพลิก ๆ ตัว ดูหน้าของยมทูตที่ผมจับมาได้กับมือ ก่อนสายตาพี่สิงห์จะเลื่อนไปจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผมค้างอยู่หลายวินาที ฮ่าฮ่าฮ่า ผมนึกว่าผมเป็นคนเดียวซะอีก
“มองอะไรสิงห์” เสียงพี่ศรีกล่าวขึ้นมาอย่างเยียบเย็น โดนแล้วล่ะครับพี่สิงห์
“ขวัญกลับไปแต่งตัวให้เรียบร้อย นี่เป็นคำสั่ง”
และแล้วท่านพญายมราชตัวน้อยก็พูดขึ้นมา
“ได้ค่ะ เฮ้อ ก็มันร้อนนี่คะ แล้วนี่ก็นอกเวลางานแล้วด้วย” พี่ขวัญพูด ยกมือขึ้นมาพัดบริเวณหน้าตัวเอง ก่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เดินนวยนาดออกไป
“ใช้ได้นี่คีย์ จับมาได้ด้วยตัวคนเดียวด้วย” พี่ศรีเอ่ยชม
“ได้เพื่อนช่วยไว้ด้วยน่ะครับ ไม่งั้นผมแย่แน่ ๆ”
“เดี๋ยวนะ เพื่อนช่วยไว้ หมายความว่าไง” ท่านพญายมราชพูดแทรกขึ้นมาขัดจังหวะพี่สิงห์ที่เหมือนจะอ้าปากถามอะไรผมต่อ เฮ้ย ... นี่ผมพูดอะไรออกไปวะเนี่ย
“เอ่อ... คือว่า...”
ว่าแล้วก็โดนซักจนละเอียดยิบ เลยต้องบอกไปหมดทุกอย่าง ผมโดนบ่นไปอีกหนึ่งชุดใหญ่ แต่ก็พยายามบอกว่าเพื่อนทั้งสองคนของผมไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อแน่นอน พวกมันเก็บความลับได้ดีเยี่ยม แถมยังช่วยผมจับไอ้ยมทูตที่นอนอยู่ตรงนี้ไว้ด้วย
“แล้วพี่จะเอาไงกับคนคนนี้ต่ออะครับ” ผมพูด ชี้ไปทางคนที่นอนสลบอยู่ แล้วถามพี่สิงห์
“เดี๋ยวพวกพี่จัดการสืบสวนต่อเอง ว่าพวกมันมีแผนการจะทำอะไรอีกหรือเปล่า แล้วเดี๋ยวส่งมันไปนรกชั้นสาม”
แค่ได้ยินชื่อนรกชั้นสามผมก็ขนลุกแล้ว ไปมาล่าสุดนี่จิตโคตรตกเมื่อไปเจอะเจออะไรแบบนั้น
“แล้วเรื่องยมทูตตาสีฟ้าที่ผมบอกไปคราวที่แล้ว ได้เรื่องอะไรไหมครับ” ผมถามเรื่องยมทูตตาสีฟ้า ที่ผมเอาเรื่องมาบอกท่านพญายมราชไว้คราวที่แล้ว เนื่องจากทุกคนบอกว่าไม่มีใครพบเห็นยมทูตคนนั้นมานานแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผม เลยต้องมาหารือกันเป็นพิเศษเพื่อหาเบาะแสจับตัวยมทูตคนนั้นให้ได้
“มันเดินนำพวกเราไปก้าวหนึ่งตลอด พี่คิดว่าการจะตามหาตัวคนคนนั้น ต้องสืบหาจากเหล่าสาวกของพวกมัน” พี่สิงห์พูดต่อ
“แล้วพวกมันแค่ต้องการมีชีวิตอยู่ไปเรื่อย ๆ แลกกับการที่ต้องกลืนกินดวงวิญญาณแค่นั้นเองเหรอครับ” ผมถามเพราะสงสัยว่าสิ่งที่พวกมันต้องการจริง ๆ มีแค่นี้เองเหรอ การมีอายุขัยถึง 300 ปีสำหรับยมทูต ผมก็ว่ายาวนานพอแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดเบื่อ ไม่กลืนกินดวงวิญญาณ แล้วหมดอายุขัยเข้าสักวันจริง ๆ ต้องไปอยู่ในนรกชั้นสามตลอดกาล ผมว่า มันดูเหมือนจะไม่คุ้มเลย
“นั่นมันแค่จุดเริ่มต้น” พี่ศรีบอก
“ที่พวกมันต้องการจริง ๆ น่ะ ... นรกแห่งนี้ต่างหาก” ตามด้วยพญายมราช
“พวกมันต้องการบริหารจัดการนรกที่นี่ด้วยตัวเอง”
“จะเรียกว่าการปฏิวัติก็คงจะไม่ผิดหรอก นรกคงจะวุ่นวายน่าดูถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมา”
“ตอนนี้พวกเราก็กำลังเตรียมตั้งรับอยู่ เผื่อว่าวันไหนจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา”
“นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะครับเนี่ย” ผมพูดออกไปอย่างอึ้ง ๆ
ตลกร้ายจริง ๆ ถ้าวันหนึ่ง พวกนั้นได้กลายมาเป็นคนควบคุมนรกแห่งนี้จริง ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าอะไรที่จะเกิดกับที่นี่ มันจะเลวร้ายขนาดไหนกัน
“คีย์รีบกลับไปข้างบนเถอะ นี่จะเช้าแล้ว ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยไม่ใช่เหรอ” พี่ศรีเตือน
“อีกเรื่องครับ ผมจะติดต่อคนในนรกอย่างไร ให้รวดเร็วที่สุดน่ะครับ โทรศัพท์ได้ไหม” ผมถามออกไปเพราะที่ผ่านมา ผมลงมาหาและพูดคุยด้วยตลอดไม่เคยติดต่อผ่านตอนอยู่บนโลกเลย
“นึกถึงหน้าคนที่อยากจะพูดด้วย แล้วก็แค่พูดในใจออกไป” เสียงพี่สิงห์พูดออกมาโดยไม่ขยับปากแม้แต่น้อย แต่ เสียงพี่เขามันกลับดังก้องอยู่ในหัวผม
“โอเคครับ” ผมตอบเขาไปโดยคิดในใจเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ
พอกลับมาถึงบนโลก ผมก็แอบย่องเข้าไปในห้องนอนรวมเพื่อที่จะมาเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนกับของเก่าที่เปื้อนเลือด เจอชาบูกับอิฐนั่งเล่นเกมโทรศัพท์มือถือกันอยู่บนฟูกนอน นี่พวกมันไม่ง่วงกันเลยหรือไง อิฐกับชาบูทำท่าทางเหมือนทางสะดวกกวักมือเรียกผมเข้าไป ภายในห้องนอนรวม คนอื่น ๆ ยังคงหลับสนิทกันอยู่ บางคนนี่ดูท่าทางจะเมามากด้วยมั้ง เพราะผมเห็นขวดเหล้า กระป๋องเบียร์วางอยู่เกลื่อนห้องเลย เมื่อคืนคงจะมีปาร์ตี้หนักระหว่างรุ่นพี่ รุ่นน้องที่นี่แน่นอน ผมเลยสามารถแอบเข้ามาเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครเห็น
“เรียบร้อยดีไหมวะ” ไอ้อิฐถามขึ้นมาเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“ก็น่าจะโอเคแหละ นี่พวกมึงสองคนไม่ง่วงเหรอ” ผมถามพวกมันไป
“สิ่งที่พวกกูเจอทำให้ตาสว่างไปเลย อีกอย่าง มาทะเลทั้งที อยากไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าอะ กูเอากล้องมาด้วยเนี่ย” อิฐบอกพร้อมหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจออกมาโชว์ ก่อนเอามาคล้องไว้ที่คอ อิฐเป็นคนรักการถ่ายภาพมากครับ แล้วมันก็ถ่ายรูปสวยด้วย ถ้าเข้าไปดูในไอจีมันจะมีแต่ภาพอาร์ต ๆ ทั้งนั้น แต่มันไม่ค่อยเน้นถ่ายภาพคนหรอกครับ ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็ยังชอบถ่ายรูปให้พวกเพื่อน ๆ อยู่ดี ด้วยเหตุนี้ เวลาพวกเราไปเที่ยวที่ไหน อิฐเลยกลายเป็นช่างภาพประจำกลุ่มอยู่เสมอ
“ปะ งั้นไปกัน กูจะไปเดินเล่นด้วย จะหกโมงเช้าแล้ว” ผมบอก อยากออกไปสูดอากาศเย็น ๆ สดชื่น ๆ เดินเล่นแถวชายหาดอยู่พอดี
“เออ เอาดิ แต่ตากูจะลืมไม่ขึ้นแล้วเนี่ย” ชาบูพูดขึ้นมา
“กูไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างเลย ว่ามึงจะลืมตาหรือหลับตา” ไอ้อิฐพูดพร้อมหัวเราะ จริงของอิฐ ไม่ค่อยจะเห็นถึงความแตกต่างด้วยซ้ำว่าชาบูลืมตาหรือหลับตาคุยกับพวกผมอยู่
“โห ไอ้อิฐ เดี๋ยวกูตบคว่ำ แม้วลงมาจากดอยอย่างมึง อย่ามาแซวเดือนมหาลัยนะเว้ย”
“ค้าบ พ่อคนหล่อ”
ระหว่างทางที่พวกเราเดินออกมาจากรีสอร์ตเพื่อไปยังริมชายหาด ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนเดินออกมาจากห้องพัก ที่อยู่ไม่ห่างกันมากเท่าไรนัก
“นั่น ไหมกับครีมนี่หว่า” ผมพูด หันไปมองหน้าไอ้ชา
“มึงเรียกให้ไปเดินเล่นด้วยกันดิ”
“มึงแน่ใจนะ” ผมถามมัน
“เออน่า กูทำใจไวจะตาย” ชาบูตอบก่อนยิ้มจนตาปิด
“มึงโม้ปะเนี่ย”
คนบ้าอะไรจะทำใจได้ไวขนาดนั้น แอบชอบมาตั้งหลายปี ขนาดเรื่องผมกับแพท ผมยังเก็บเอาไปคิดแล้วคิดอีก กว่าจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เพื่อนได้ก็ตั้งนาน
“ไม่ได้โม้”
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
“เซ้าซี้ว่ะไอ้คีย์ กูจะเป็นก็เพราะมึงนี่แหละ”
โอเค ๆ ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร ผมเลยตะโกนเรียกสองสาวให้ไปเดินเล่นด้วยกัน
ไหมมีท่าทีปกติดีกว่าที่ผมคิด เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ เจ้าตัวยิ้มกว้างก่อนเข้ามาทักทายทุกคน ผมเหลือบไปมองหน้าชาบู มันก็ทำทุกอย่างเหมือนปกติเช่นกัน
“เรื่องเมื่อคืนอะ ระหว่างเรา ขอให้ทุกอย่างมันเป็นเหมือนเดิมนะไหม”
อยู่ ๆ ชาบูก็พูดขึ้นมากับไหม ซึ่งพวกเราทิ้งสองคนนั้นไว้ให้เดินตามมาทางด้านหลัง
“แกเป็นเพื่อนฉันอยู่แล้วชา ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก”
“ขอบใจนะ”
“อื้ม”
พวกเราต่างยิ้มเมื่อเห็นสองคนนั้นปรับความเข้าใจกันได้
พระอาทิตย์สีแดงดวงกลมโตกำลังโผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า พวกเราห้าคนกำลังแอ็คท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานโดยมีอิฐเป็นช่างภาพ ผมว่าอิฐคงถ่ายไปได้หลายร้อยรูปเลยทีเดียว แต่ละคนนี่มีท่าเยอะจริง ๆ หลังจากปล่อยให้อิฐเป็นช่างภาพอยู่นานผมก็ไปแลกหน้าที่กับมัน จะได้มีภาพเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง หลังจากทุกคนเช็ครูปที่ดีที่สุดของตัวเองเพื่อที่จะเอาไปอัพลงเฟส ไอจีได้แล้ว ผมก็เรียกทุกคนมารวมกันเพื่อจะถ่ายรูปรวม
“พวกมึง ๆ มาถ่ายรูปเซลฟีกันดีกว่าห้าคน” ผมตะโกนบอกเพื่อน ๆ
“มา ๆ”
“เจ๊สนใจถือกล้องปะ” ชาบูหันไปถามใยไหม
“ไม่เอาฉันไม่ถือกล้อง เดี๋ยวหน้าบาน”
“หูย มา ๆ เดี๋ยวถือให้” ผมบอกก่อนหมุนหน้ากล้องให้อยู่ในโหมดเซลฟี ดีใจที่เพื่อนทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว แม้จะรู้ว่าลึก ๆ ไอ้ชามันก็ยังเสียใจอยู่ก็เถอะ แต่ได้ขนาดนี้สำหรับคนร่าเริงอย่างมันก็ดีมากแล้ว
“พร้อมนะ หนึ่ง สอง สาม !”
ผมหมุนหน้าจอของกล้องกลับมาดูภาพ มันเป็นภาพของพวกเราห้าคนกำลังฉีกยิ้มให้กับกล้องอย่างเต็มที่ ผม ชาบู และอิฐย่อตัวกอดคอกันสามคนอยู่ด้านหน้า ในขณะที่สองสาวอยู่ด้านหลังพวกเรา ฉากหลังเป็นหาดทรายสีขาวกับน้ำทะเลที่กำลังซัดเข้าสู่ชายฝั่ง พระอาทิตย์สีแดงกลมโตขึ้นมาได้เกือบทั้งดวงแล้ว ในภาพอาจจะมีย้อนแสงบ้างนิดหน่อย แต่ผมว่าภาพที่ได้ออกมา ค่อนข้างที่จะสวยทีเดียวเลยแหละ
ทุก ๆ ความสัมพันธ์มีขีดจำกัดของมันเมื่อเวลาผ่านไป แต่ผมว่า มันมีความสัมพันธ์อันหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
ความสัมพันธ์แบบเพื่อน ...
มิตรภาพแบบนี้นี่แหละ ที่จะอยู่กับเราตลอดไป ...