บาทที่ 38
บาทที่ 38
นาคาของเหล่าหญิงสาวต่างพากันฉวยอาวุธของนาคพันธุ์ที่กองอยู่บนพื้น พวกเขาไม่มีธุระอะไรกับสถานที่นี้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นนาคินินทร์และคนอื่นๆก็ชักชวนกันกลับออกไป
ในเมื่อมาถึงยังดินแดนแถบนี้แล้ว พวกเขาก็ถือโอกาสแวะไปยังสำนักหมื่นอสูร
ไม่นานนักพวกเขาก็ปรากฏตัวที่หน้าสำนักหมื่นอสูร
“หยุดไว้” เด็กหนุ่มหนึ่งในสี่ยืนอยู่ที่บริเวณปากทางเข้าพร้อมกับสัตว์อสูรประจำตัวสังเกตเห็นหงเซียวและเหล่าหญิงสาว พวกเขาทำหน้าตาสับสนเมื่อพบว่าไม่มีรายงานมาจากเส้นทางว่าพบเห็นคนเดินทางมาสำนักหมื่นอสูร
หงเซียวยิ้ม เขาไม่ได้ตรงไปที่อดีตที่พักของตนเองเพราะว่าไม่มั่นใจว่าใครครอบครองอยู่ในตอนนี้ และอีกอย่างหนึ่งเขาต้องการรู้ว่าสำนักหมื่นอสูรมีความก้าวหน้าเข้มแข็งมากน้อยเพียงใดแล้ว
หงเซียวล้วงป้ายประจำตัวออกมา เมื่อบรรดาเด็กหนุ่มเห็นป้ายนั้นพวกเขาพากันสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น
ป้ายนี้อ้างถึงบุคคลในตำนานของสำนักหมื่นอสูร ผู้อาวุโสกุ่ยสู่เซียว ผู้สร้างความเจริญให้กับสำนักหมื่นอสูรอย่างรวดเร็ว และเป็นบุคคลลึกลับที่สุดในสำนัก ในรอบสิบปีมานี้ไม่เคยมีใครพบเห็นตัวเขามาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าคนใหม่อย่างพวกเขาจะได้พบเห็นผู้อาวุโสแบบซึ่งๆหน้า
คำร่ำลือบอกว่าผู้อาวุโสจะเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาและมีหญิงสาวสวยสี่คนล้อมหน้าล้อมหลังด้วย แต่จริงแล้วกลับมีหญิงสาวรายล้อมเขาถึงห้าคน บางทีคำร่ำลืออาจจะผิดพลาดไปก็เป็นไปได้ พวกเขารีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งประสานมือกล่าวว่า “คารวะผู้อาวุโสกุ่ยสู่เซียว”
“ข้าหายตัวไปเป็นเวลานาน ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนจำป้ายประจำตัวของข้าได้ อืม ดี หลังจากนี้ก็ลองเข้าไปเยี่ยมชั้นคัมภีร์ของสำนักนะ ข้าจะทิ้งวิชาบางอย่างไว้” หงเซียวกล่าวกับเด็กหนุ่มเหล่านั้น ก่อนจะโบกพัดประจำตัวสาวเท้าก้าวเข้าไปในสำนัก
“ขอรับผู้อาวุโส” พวกเขาประสานเสียงรับ
หงเซียวเดินเข้าไปในสำนักซึ่งแตกต่างจากเดิมที่ปกติไม่ค่อยมีใครเดินไปมาตามเส้นทางเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลับคึกคักไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าหงเซียวเป็นใคร ในเมื่อเขาควรจะเป็นคนดังในเมื่อทั้งสวยทั้งหล่อทุกคนไม่มีรูปลักษณ์ของการหลอมเลือดสัตว์อสูรเลยแม้แต่น้อย
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดด้วยความประหลาดใจมาจากที่ไกล “เอ๋ นั่นท่านผู้อาวุโสหง-- กุ่ยสู่เซียวไม่ใช่เหรอ”
ผู้พูดนั้นตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว หงเซียวและบรรดาหญิงสาวต่างพากันหันไปมองและก็พบเห็นว่าเป็นคนที่เขาไม่รู้จักคนหนึ่ง แต่ก็ดูมีอายุล่วงไปที่สี่สิบกว่าปี ซึ่งก็เป็นไปได้ที่จะเป็นคนที่รู้จักเขา
“คารวะผู้อาวุโสกุ่ยสู่เซียว ข้าหลู่ปิน ผู้อาวุโสอาจจะจำข้าไม่ได้ แต่ข้าก็คือคนหนึ่งที่อยู่ใต้การนำของผู้อาวุโสในการโจมตีเมืองอวี้” ชายคนนั้นประสานมือกล่าว
“อย่างนั้นรึ ยินดีที่ได้พบ” หงเซียวกล่าว
“ผู้อาวุโสกุ่ยสู่เซียวจะไปพบกับท่านเจ้าสำนักใช่หรือไม่ ข้าขอนำทางให้ท่าน” เขากล่าวอย่างจริงจัง
“หือ เจ้าสำนักไม่อยู่ที่อาคารหลักแล้วเหรอ” หงเซียวแปลกใจ
“ไม่ใช่เช่นนั้นผู้อาวุโส เพียงแต่ว่านี่เป็นเกียรติข้าที่ได้รับใช้ และอีกอย่างก็เพื่อความสะดวกแก่ท่านผู้อาวุโส เพราะว่าท่านเจ้าสำนักไม่ได้อยู่ที่ชั้นเดิมแล้ว” เขากล่าวพร้อมทำหน้าแดง
“ฮ่าฮ่า ถ้าเช่นนั้นก็เอาสิ” หงเซียวตอบรับความปรารถนาดีของอีกฝ่าย
ระหว่างทางพวกเขาพบกับศิษย์ที่รู้จักกับหงเซียวอีกสองสามคน ทุกคนต่างพากันกระวีกระวาดเข้ามาทักทายและเข้าร่วมกลุ่มพาหงเซียวไปหาเจ้าสำนักนัยว่าเป็นเกียรติอย่างสูง
หงเซียวและสี่สาวต่างพากันอึ้ง เพราะสมัยก่อนนี้ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์แบบนี้เลย ส่วนชิวเยว่นั้นคึกคักตื่นตาตื่นใจไปกับสภาพแวดล้อมแปลกใหม่
ไม่นานนักพวกเขาก็เข้าไปถึงชั้นที่พำนักของเจ้าสำนัก ที่ซึ่งตอนนี้ออกมาต้อนรับถึงหน้าห้อง เพราะว่ามีศิษย์ที่ล่วงหน้ามาบอกกล่าวไว้ก่อนแล้ว
“คารวะท่านเจ้าสำนัก” หงเซียวและห้าสาวคำนับ
“เชิญเข้ามานั่งก่อน ท่านผู้อาวุโสเซียว ไม่ได้พบกับท่านนานมากแล้ว” เจ้าสำนักคารวะตอบแล้วพูดกับเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาเคยไปเยี่ยมถึงที่พักของหงเซียวแต่ก็พบว่าที่แห่งนั้นร้างไปไม่มีใครอยู่นานแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ได้แต่ส่งคนไปปัดกวาดทำความสะอาดเสมอ เผื่อว่าสักวันหงเซียวจะกลับมา
พวกเขาพากันเข้าไปนั่งดื่มจิบชาที่เจ้าสำนักสั่งให้สาวใช้นำมารินให้ พวกเขานั่งจิบชาดีกันอย่างผ่อนคลาย ก่อนที่หงเซียวจะเอ่ยว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อที่จะนำคัมภีร์มาให้กับท่านชุดหนึ่ง เพื่อที่ให้ท่านได้ช่วยเป็นแหล่งช่วยสร้างคนให้กับข้า”
เขานำเอาคัมภีร์ออกมาหลายเล่มยื่นส่งให้กับเจ้าสำนักหมื่นอสูร แล้วกล่าวต่อว่า “เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องอธิบายมากนัก ขอให้ท่านลองอ่านดูก่อนคร่าวๆ”
เจ้าสำนักหมื่นอสูรอ่านปกคัมภีร์แต่ละเล่มอย่างผ่านๆด้วยมือสั่นระริก คัมภีร์ชุดนี้คือชุดคัมภีร์ที่ใช้สร้างเซียน แต่เมื่อเขาอ่านลึกเข้าไปในเนื้อหาเขาก็บังเกิดความผิดหวังขึ้นมา เมื่อคัมภีร์เล่มแรกบ่งบอกไว้ว่าอายุผู้ฝึกวิชานี้ต้องไม่เกินยี่สิบห้าปี และที่น่าผิดหวังที่สุดก็คือถ้าหากว่าฝึกวิชาในคัมภีร์นี้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฝึกคัมภีร์เล่มอื่น
“น-นี่หมายความว่าตอนนี้ ท่านผู้อาวุโสเซียว เป็น...ซ-เซียน… อย่างงั้นรึ” เขาถามอย่างยากลำบาก มิน่าเขาไม่สามารถสัมผัสพลังปราณของพวกเขาได้นับตั้งแต่หงเซียวมาที่สำนักนี้แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น ก่อนหน้านั้นหงเซียวมีวิชาปราณที่สามารถปกปิดการรับรู้ของวิชาปราณอื่น แต่ตอนนี้เขาไม่มีพลังปราณเหลืออยู่เลยต่างหาก
หงเซียวยิ้ม พยักหน้า ชี้มือไปยังบรรดาหญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาว่า “พวกเธอทั้งหมดก็ใช่”
“คารวะท่าน---”
ก่อนที่เจ้าสำนักจะทันได้ลุกทำการคำนับ เขาก็ถูกพลังของหงเซียวยึดเอาไว้ “ท่านเจ้าสำนัก อย่าได้มากมารยาท พวกเราก่อนนี้เป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น อย่าได้คิดมากเลย”
เจ้าสำนักไม่อยากเชื่อว่าในห้องนี้จะมีเซียนมากกว่าคนธรรมดาเสียอีกในเวลานี้
“แม้ว่าท่านอาจจะไม่อาจเป็นเซียนได้ในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามท่านก็สามารถฝึกวิชาปราณนี้ก่อน แล้วใช้พลังปราณนี้ลดอายุลงจนสามารถที่จะฝึกวิชาเซียนได้” หงเซียวหยิบคัมภีร์อีกเล่มขึ้นมา วิชาปราณเซียนไร้ลักษณ์ ส่งให้กับเจ้าสำนัก เพื่อที่จะเป็นเซียนแล้ว ต้องฝึกวิชาปราณไร้ลักษณ์ให้ถึงเขตแก่นปราณก่อนจึงจะสามารถลดอายุลงได้
เจ้าสำนักหมื่นอสูรรับคัมภีร์ด้วยความยินดี “ข้าจะสร้างเซียนให้กับท่านอย่างเต็มความสามารถ”
“ข้าอยากให้ท่านเลือกคนที่ดีมีความรับผิดชอบต่อผู้คนมาฝึกวิชาเซียนด้วย ถ้าท่านดูคัมภีร์หลอมร่างต้นกำเนิด นั่นจะเป็นวิชาที่คล้ายกับวิชาหลอมเลือดอสูรของสำนักมากที่ต้องใช้เลือดสัตว์อสูรมาใช้ แต่ว่าหลอมร่างต้นกำเนิดนั้นจะต้องเลือกเลือดเนื้อสัตว์อสูรที่มีเชื้อสายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งข้าคิดว่านั่นคงจะมีน้อยยิ่งไปกว่าเดิม และคงจะมีเพียงคนจำนวนไม่มากนักที่จะได้ฝึกวิชาเพราะว่าสายเลือดสัตว์อสูรที่มีจำกัด อีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้านั้นก็ไม่อยากให้คัมภีร์เล่มนี้เป็นสาเหตุให้สัตว์อสูรทั้งหลายสูญสิ้นไป”
เจ้าสำนักนั่งนึกในใจว่ามีสัตว์อสูรสายพันธุ์ไหนบ้างที่มีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และเขาก็พบว่ามีจำนวนไม่มากจริงๆ เขาจะต้องคัดคนที่ดีมีพรสวรรค์และเหมาะสมและไม่อาจจะให้กับทุกคนได้ มิเช่นนั้นสัตว์อสูรที่เขาคอยเฝ้าดูแลฟูมฟักนี้อาจจะต้องสูญสิ้นไปเพราะคัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นไปได้
เขาจะต้องบริหารทุกอย่างและไม่เปิดเผยอะไรออกไปให้ใครทั้งสิ้น ไม่แม้จะเปิดเผยผู้ได้รับเลือดว่าเขาได้รับมาจากสัตว์ตัวไหน
เขาเฝ้าครุ่นคิดวางแผนทั้งหลายอย่างเงียบๆในใจ จนไม่รู้ว่าหงเซียวนั้นจากไปตอนไหนกัน
วิชาหลอมร่างต้นกำเนิดที่หงเซียวคิดขึ้นมานั้นมีอานุภาพมากเพียงไหน ต้องตอบว่ามันเป็นวิชาที่ทำให้คนธรรมดาสามารถสร้างชีพจรเซียนขึ้นมาได้โดยการทำให้มนุษย์นั้นอยู่ในสภาพของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในไข่ เมื่อพวกเขาเริ่มฝึกวิชาเซียนก็เหมือนกับไข่ที่เริ่มฟักเป็นตัวของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้เกิดชีพจรเซียนขึ้นมาได้ตามแบบของวิชาเซียนที่ได้ฝึกปรือ โดยไม่สนใจว่าจะได้เลือดมาจากสัตว์อสูรตัวไหน
ทำไมหงเซียวจึงสร้างกองกำลังเซียนขึ้นมา นั่นเป็นเพราะว่าจากที่เขารู้จากนาคินินทร์ เขาจะต้องตะลุยไปในทวีปอื่นและในมหาสมุทรเพื่อรวบรวมอาวุธของนาคินินทร์ให้ครบ
และในใต้สมุทรนั้นเป็นอาณาจักรนาคาที่มีกองกำลังนาคาที่ทรงอำนาจอยู่มากมาย