บทที่ 262 หากว่าไม่กลัวตาย เช่นนั้นก็จงไล่ตามมา!
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“มุ่งหน้าไปทางตะวันออก!”
ลึกลงไปสามสิบกิโลเมตรใต้เมืองกุ่ยเหยี่ยน เจียงอี้อยู่บนหลังของเถาอู้ซึ่งกำลังไล่ล่ากลุ่มคนร้าย แต่แม้ว่าจะไล่ตามอยู่นาน เขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกมัน
หากไม่ใช่เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นของจิ้งจอกน้อย ป่านนี้เขาคงจะคลาดกับกลุ่มเป้าหมายไปแล้ว
“รองเจ้าสำนักฉี พวกท่านเตรียมตัวเข้าปะทะให้ดี ฝ่ายศัตรูนั้นแข็งแกร่งมิใช่น้อยและยังรวดเร็วมาก หากเดาไม่ผิด พวกมันคงถือครองศาสตราวุธระดับสวรรค์ด้วยเช่นกัน!”
หลังจากที่ไล่ตามมานานถึงสองชั่วโมง จมูกของเจียงอี้ก็กระตุกไม่หยุดเนื่องจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่เด่นชัดมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงรีบแจ้งข้อมูลที่ได้รับมาให้กับรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆได้ทราบ
“เจียงอี้ เจ้าไม่ต้องกังวลไป! ต่อให้ต้องตาย พวกเราก็จะช่วยจิ้งจอกน้อยกลับมาให้ได้!”
รองเจ้าสำนักฉี, รองเจ้าสำนักหลิ่วและคนที่เหลือต่างก็มองหน้ากันด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
จิ้งจอกน้อยตัวนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน หากว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือมันให้รอดพ้นจากมือพวกชั่วช้าได้ ทวีปแห่งนี้ก็จะเข้าสู่ยุคมืดอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนจะล้มตาย บุตรและบุพการีจะต้องพลัดพราก อนาคตจะไร้ซึ่งแสงสว่าง…
หากว่าปราศจากทางเลือกจริงๆ บรรดายอดฝีมือผู้ซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของทวีปนี้อย่าง สุ่ยโย่วหลาน, จูเก๋อชิงหยุนและคนที่เหลือต่างก็จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อกำราบกองทัพสัตว์อสูร
แน่นอนว่าบทสรุปของสงครามคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเกิดการสูญเสียอย่างมหาศาล
“หืม?”
หลังจากที่วิ่งต่อไปอีกหลายสิบกิโลมเมตร อุโมงค์ก็ไปสิ้นสุดบนพื้นผิวดิน ในตอนนี้เจียงอี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นของจิ้งจอกน้อยชัดขึ้น ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่ใช้ความเร็วทั้งหมดเพื่อตรงไปข้างหน้าและคอยใช้หูฟังเสียงด้วยความระมัดระวัง
“พวกมันอยู่ข้างหน้าและมีจำนวนถึงแปดคน! อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่อยู่เหนือกว่าขั้นที่เจ็ดทั้งหมด!”
เจียงอี้ตะโกนเตือน ในเวลาเดียวกันรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆต่างก็นำอาวุธออกมาเพื่อเตรียมพร้อมทำการต่อสู้
ปังง!
ทันใดนั้นหน้าดินก็ระเบิดออกพร้อมกับร่างขนาดยักษ์ของเถาอู้ที่พุ่งออกมา วินาทีต่อมากลุ่มของรองเจ้าสำนักฉีก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด
“ทางนั้น!”
ดวงตาของรองเจ้าสำนักฉีเผยรังสีอันเย็นชาออกมาขณะที่พุ่งไปทางยอดเขาซึ่งอยู่ทางซ้ายมือในขณะที่คนอื่นๆกำลังติดตามมาอย่างใกล้ชิด
ทางด้านของเจียงอี้ก็รีบเค้นพลังจนถึงขีดสุดและใช้แก่นแท้พลังสีดำยกระดับวิสัยทัศน์ เขามองเห็นร่างของคนแปดคนซึ่งสวมชุดคลุมสีดำและปิดบังใบหน้าทั้งหมดพร้อมทั้งกระสอบใบหนึ่งที่อยู่บนหลังของหนึ่งในนั้น
“จิ้งจอกน้อยอยู่ในกระสอบใบนั้น!”
ฟึ่บ!
รองเจ้าสำนักฉีระเบิดพลังและเปล่งเสียงคำราม
“พวกเจ้าทั้งหมดจงหยุดเดี๋ยวนี้และปล่อยจิ้งจอกน้อยมาซะ! ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร แต่การที่พวกเจ้าไปลักพาตัวลูกสาวของจักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นเท่ากับการนำภัยพิบัติครั้งใหญ่มาสู่มนุษยชาติ!”
“เหอะ!”
คนร้ายที่แบกกระสอบเพียงแค่เค้นเสียงในลำคอและไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งสัญญาณมือและให้กลุ่มคนชุดดำห้าในแปดแยกตัวออกไปเพื่อทำการสกัดกลุ่มของรองเจ้าสำนักฉีไว้
จากนั้นเขาและอีกสองคนที่เหลือก็ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดจนทิ้งไว้เพียงแค่ภาพติดตาและหายไปอย่างรวดเร็ว
“อินทรีมังกร!”
ทันใดนั้นเองเจียงอี้ก็เริ่มลงมือ เขาเสียเวลาไปหลายวันและยังลงทุนไปไม่น้อย เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกมันหนีรอดไปได้เด็ดขาด
เขาเก็บเถาอู้กลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและเรียกอินทรีมังกรออกมาแทนเพื่อที่จะไล่ล่าอีกฝ่ายต่อบนท้องฟ้า
“นี่มัน…?!”
รองเจ้าสำนักฉีและคนที่เหลือต่างพากันตกใจ ไม่ใช่ว่าสัตว์วิญญาณของเจียงอี้คือเถาอู้หรอกหรือ? แล้วเจ้าอินทรีมังกรตัวนี้มาจากไหน?
แต่ในขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น กลุ่มคนชุดดำทั้งห้าก็เข้ามาประชิดตัวเสียแล้วทำให้พวกเขาต้องทิ้งความสงสัยนี้ไว้ก่อนและเข้าปะทะกับศัตรู
ในเวลาเดียวกันรองเจ้าสำนักฉีก็รีบส่งโทรจิตไปหาเจียงอี้ “เจียงอี้ เจ้าจงรีบตามพวกมันไปและอย่าปล่อยให้พวกมันหนีรอดไปได้เป็นอันขาด เมื่อพวกเราจัดการเจ้าห้าตัวนี้เสร็จแล้ว พวกเราจะตามไปทันที!”
“ชู่ชู่!”
อินทรีมังกรกระพือปีกของมันและทำให้เกิดกระแสลมที่รุนแรง เจียงอี้ไม่กล้าที่จะบินสูงเกินไปนักเพราะกลัวว่าจะคลาดสายตาจากพวกมัน
บุคคลทั้งสามมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะอยู่ในขั้นที่แปดของขอบเขตเสินโหยวหรืออาจจะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวเลยก็เป็นได้
หากเจียงอี้ยังคงเดินทางอยู่บนพื้นดินอันขรุขระและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย เขาคงไม่อาจตามอีกฝ่ายได้ทันอย่างแน่นอน
“จี๊! จี๊!”
ในเวลานั้นเอง เสียงร้องเล็กแหลมก็ดังออกมาจากในกระสอบ ตามมาด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ดังเข้ามาในจิตใจของเขา
“ใต้เท้า! ช่วยเสี่ยวเฟยด้วย! เสี่ยวเฟยกลัว! เสี่ยวเฟยอยากกลับไปหาท่านแม่!”
“เจ้าจิ้งจอกน้อย!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ร่างของเจียงอี้ก็สั่นสะท้านและรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวเฟย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้ามาช่วยแล้ว!”
“ใต้เท้า เร็วๆเข้านะ! หากท่านช่วยพาข้ากลับไปหาท่านแม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านแม่ตอบแทนท่าน…”
แต่ทันทีที่ลำแสงสีขาวพุ่งออกมาเป็นครั้งที่สอง คนที่สวมชุดดำก็รู้สึกตัว จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือฟาดไปที่กระสอบด้านหลังทันทีเพื่อทำให้จิ้งจอกน้อยสลบอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปมองเจียงอี้ที่อยู่บนท้องด้วยสายตาอันเย็นชาและตะโกน
“ไอ้หนู! หากว่าไม่กลัวตาย เช่นนั้นก็ไล่ตามข้ามาเลย!”
“หน็อย! ไอ้พวกสารเลว!”
หลังจากที่เห็นการกระทำของคนผู้นั้น เจียงอี้ก็เริ่มมีโทสะ เขานำหินวิญญาณเพลิงออกมาพร้อมกับถ่ายเทพลังงานลึกลับที่ได้จากไข่มุกวิญญาณเพลิงให้กับอินทรีมังกรเพื่อป้องกันความร้อน
ทันใดนั้นเขาก็ขว้างหินวิญญาณเพลิงออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“หืม?!”
ทันทีที่หินวิญญาณเพลิงปรากฏออกมา ห้วงอากาศโดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยวเนื่องจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“หนีลงไปใต้ดิน!”
โชคดีที่เจียงอี้อยู่ห่างไปมากและผนวกกับความเร็วของพวกมันที่รวดเร็วเกินไปจนทำให้หินวิญญาณเพลิงไม่สามารถตามได้ทัน
หนึ่งในพวกมันนำดาบยาวสีทองออกมาและทิ่มแทงไปบนพื้นอย่างรวดเร็วก่อนทีทั้งสามจะกระโจนลงไป
ตู้มมมม!
หินวิญญาณเพลิงกระแทกใส่พื้นอย่างแรงและแผดเผาต้นไม้ใบหญ้ารอบๆจนเป็นจุณ พริบตาเดียวมันก็เปลี่ยนพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็นดั่งขุมนรก
“อินทรีมังกร กลับมา!”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าร่างของพวกมันหายลงไปใต้ดิน เขาก็ไม่กล้ารอช้าและรีบเรียกเถาอู้ออกมาแทนเพื่อทำการไล่ล่าต่อไป
ในขณะที่เขาขุดลงมาใต้ดินกว่าสามพันเมตร จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจึงทำให้ต้องเก็บเถาอู้กลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและนำไข่มุกวิญญาณเพลิงขึ้นมา พร้อมทั้งปลดปล่อยเพลิงโลกาออกมาห่อหุ้มตัวเองไว้
ฟับบ!
ทันใดนั้นเอง คลื่นดาบรูปจันทร์เสี้ยวที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ได้พุ่งเข้ามาใกล้โดยตัดผ่านชั้นหินจนกลายเป็นฝุ่นผงและตรงเข้าหาเจียงอี้ราวกับจะหั่นร่างเขาออกเป็นสองส่วน
ปัง! ปัง! ปัง!
ดีที่เจียงอี้นำเพลิงโลกาออกมาได้ทัน มิฉะนั้นเขาคงจะตายไปแล้ว เมื่อคลื่นดาบและเพลิงโลกาเข้าปะทะกัน มันก็เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง เพลิงโลกาสูญเสียพลังไปครึ่งหนึ่งในขณะที่คลื่นดาบสลายตัวไปอย่างสมบูรณ์
แค่ก!
แม้ว่าเพลิงโลกาจะเป็นฝ่ายมีชัย แต่ผลกระทบจากการปะทะกันของพลังทั้งสองสายก็ทำให้อวัยวะภายในของเขาได้รับบาดเจ็บและกระอักเลือดสีแดงสดออกมา
“เหอะ ไอ้หนู! ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายนัก เช่นนั้นก็จงตายเสียเถอะ!”
ในตอนนั้นเอง เงาดำสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากอุโมงค์พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ในเวลาเดียวกัน เขาก็นำหม้อสีเขียวใบเล็กใบหนึ่งขึ้นมา
ทันใดนั้น เจียงอี้ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกขนลุกขนพอง แม้ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ห่างออกไปไกล แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่เข้ามาโอบล้อมร่างของเขาและทำให้เลือดเนื้อภายในกายเดือดพล่าน
ซึ่งความรู้สึกนี้มันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่เผชิญหน้ากับตราประทับผู้ปกครองก็ไม่ปาน…
สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์!