ตอนที่ 5 ราตรีอันมืดมิดบนดวงจันทร์โฉมใหม่
ตอนที่ 5 ราตรีอันมืดมิดบนดวงจันทร์โฉมใหม่
หน้าซังยอนไร้ซึ่งความรู้สึกใดขณะที่มองไปยังอพาร์ทเม้นท์ มันเป็นตึกขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งพันแปดร้อยตารางฟุต ณ เขตม๊กดอง มันยากที่คนทั่วไปจะสามารถอาศัยในอาคารที่หรูหราเช่นนี้ได้ เขามองดูราวกับมีมนุษย์ต่างด้าวพึ่งลงมาสู่พื้นโลก
ก่อนพบมียุนเขาดูแลและเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างดี แต่ขณะนี้เขากลับดูโทรมและแย่ยิ่งกว่าครั้งที่เขาถูกเหวี่ยงลงพื้นโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแจโฮเสียอีก
หน้าเขาดูผอมอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้ดูแห้งตอบเสียยิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งสามารถเห็นโหนกแก้มเขาได้ชัดเจน ผมเขาพันกันยุ่งเหยิงและหนวดยังดูรกรุงรังอีกด้วย ทั้งเสื้อผ้าที่ดูยับยู่ยี่และมีกลิ่นโชยออกมาราวกับว่าไม่เคยซักมันเลยสักครั้ง แต่ถึงกระนั้นซังยอนไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขาได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้วดวงตานั้นช่างดูว่างเปล่าเหลือเกิน
แต่แล้วความหวังอันริบหรี่ที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อโผล่ขึ้นในดวงตาเขา มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เขาสูญเสียแต่ยังคงมีสิ่งหนี่งที่เหลืออยู่ เธอคือสมบัติที่ยิ่งใหญ่และมีค่าที่สุดในชีวิต
“ปะป๋า!”
เด็กผู้หญิงตัวเล็กวิ่งมุ่งหน้าไปหาซังยอนพร้อมกับเสียงที่ดังเจื้อยแจ้วเหมือนนก ใบหน้าซังยอนดูเป็นประกายขึ้นเมื่อเขาได้เจอเธอ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจและสิ้นหวังนั้นได้ทลายหายไปในพริบตา เหลือเพียงความรักที่ปรากฏขึ้นมาแทนที่ความรู้สึกพวกนั้นมันเอ่อล้นออกมาจากตัวเขาจนรู้สึกได้
เธอคือ วู ชินเฮ ซึ่งเป็นลูกสาวของซังยอนและมียุน
“ฮึ๊บ ลูกสาวสุดน่ารักของปะป๋า!”
หมับ!
ซังยอนกอดชินเฮไว้แน่น ชินเฮรีบกอดซังยอนตอบ เขาแต่งตัวมอมแมมและมีกลิ่นเหม็นออกมาจากตัว แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะชิดใกล้ซังยอน เขารับรู้ได้ถึงความร้อนในร่างกายเธอมันเป็นความอบอุ่นที่หายไม่ได้จากที่ไหน ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิกำลังพัดผ่านหัวใจที่เหี่ยวเฉาของซังยอน
“ลูกสบายดีใช่ไหม?”
ซังยอนมองไปที่ตาของชินเฮขณะพูด
ชินเฮคือเด็กที่กำเนิดจากคู่รักที่สมบูรณ์แบบ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้ นักแสดงเด็กที่ปรากฎอยู่ในทีวียังไม่สามารถเทียบได้ มันไม่ใช่สิ่งที่พ่อกับแม่คิดกันไปเอง แต่มันคือความจริงของคนทั้งโลกเลยต่างหาก
ดวงตาเธอกลมโตสดใสและยังอ้วนท้วนจึงทำให้เธอมีแก้มที่ดูจ้ำม่ำ เธอตัดผมสั้นประคอยิ่งทำให้เธอดูน่ารักขึ้นไปอีก
“อืม อันที่จริง...”
ชินเฮไม่เต็มใจจะตอบเท่าไหร่นัก เมื่อหน้าของลูกสาวก้มลงต่ำนิดหน่อยสายตาเขาเริ่มเปลี่ยนไป
“เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ซังยอนเสียงดังออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น หยุดจับผิดได้แล้ว”
เขาได้ยินเสียงที่เย็นชาพร้อมกับเงยหน้าขึ้น ความรักอบอุ่นที่เคยแสดงออกมาบนใบหน้าหายไป เหลือไว้เพียงความโกรธที่โหมกระหน่ำออกมาราวกับลมพายุ
“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมเธอถึงมีอาการแบบนี้?”
เธอเคยเป็นภรรยาที่เขาเคยรัก แต่ขณะนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจที่สุดในสายตาเขา เขาตะคอกใส่มียุนแต่เธอก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร
“ฉันก็แค่เลิกให้ความสำคัญ เพราะไม่ใช่ลูกของฉันอีกต่อไปแล้ว”
“เธอกล้าดียังไง...!”
ราวกับซังยอนถูกยั่วโมโห เขาจึงจะลุกขึ้น
กึก!
เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมากระทบแขนเสื้อ ชินเฮซึ่งอยู่ในอ้อมแขนเขาได้ดึงแขนเสื้อเขาลง ซังยอนที่กำลังจะลุกขึ้นถูกหยุด ในสภาวะที่อึดอัดเขาตัดสินใจนั่งลงอีกครั้งแล้วโอบกอดชินเฮ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
เขาลูบหลังลูกสาวอย่างนุ่มนวล พลางมองไปที่มียุน
“นี่พ่อแม่ของเธอรู้มั้ยว่าเธอกำลังทำอะไรแบบนี้?”
เขามองไปยังที่พักแห่งนั้นที่อยู่หลังเธออย่างรวดเร็วขณะตั้งคำถาม อพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นของครอบครัวมียุน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพ่อแแม่เธอ
บางทีมันอาจเป็นความหวังสุดท้าย ความรักที่มีต่อมียุนไม่มีอีกต่อไป แต่เขายังหวังว่าคนที่เขาเรียกว่า พ่อตา แม่ยาย จะหลงเหลือคุณความดีอยู่บ้าง
อย่างไรแล้วมันคือสิ่งที่ลูกสาวควรจะได้รับจากครอบครัวเธอ
“แน่นอน พวกท่านทั้งสองเป็นผู้บงการใหญ่สำหรับแผนนี้เลยล่ะ”
“นั้นสินะ เลวกันทั้งตระกูลพวกแกมันไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ”
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เจอหลานสาว แต่พวกเขาก็ยังไม่ออกมา แค่นี้เขาก็พอคาดการณ์ได้แล้ว
“คุณอยากคิดอะไรก็คิด ถึงพวกเราจะเลวยังไง มันก็คงดีกว่าการเป็นขอทานที่ไม่มีเงินสักวอน”
ราวกับว่าเธอเลือกแต่จะพูดตอกย้ำซ้ำเติม ความน่าขยะแขยงของเธอมันแทบจะเป็นพรสวรรค์ไปแล้ว มันคือความผิดพลาดอย่างมากที่ฝากชินเฮไว้กับมียุน แม้มันจะเป็นเรื่องยากแต่เขาควรจะรักษาชินเฮไว้
“กลับบ้านเรากันเถอะ ชินเฮ”
เขาจับมือลูกสาวเขาแล้วยืนขึ้น เมื่อเธอเห็นพวกเขาจับมือกันจะเดินออกไป มียุนทิ้งท้ายประโยคหนึ่งไว้
“รักษาสัญญาด้วยล่ะ”
ซังยอนหันหน้าจ้องมองไปที่มียุน แต่เธอยังคงทำตัวไม่สะทกสะท้านขณะที่กำลังพูด เธอไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแต่ซังยอนรับรู้ได้โดยการอ่านปากของเธอ
สิทธิ์การเลี้ยงดู
หากซังยอนยังคิดแก้แค้นแจโฮและมียุน เธอก็จะสามารถเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูชินเฮในฐานะแม่ได้ ซังยอนกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ปะป๋า มันเจ็บ!”
ซังยอนได้สติกลับมาเพราะเสียงชินเฮ เขาคลายมือออก มันดูเจ็บปวดสำหรับชินเฮเห็นได้จากสีหน้าเธอ แต่ถึงอย่างนั้นชินเฮก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากซังยอน
ซังยอนกัดริมฝีปากในขณะที่เขาหันหลังให้มียุน
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีวันเอาตัวเองไปเสี่ยงกับงูพิษอีก พวกแกเองก็อย่าบังอาจมายุ่งกับเราแล้วกัน”
“คุณควรห่วงเรื่องของตัวเองเถอะ คุณไม่มีอะไรที่ฉันต้องการเลยสักอย่าง ทำไมฉันถึงต้องไปเสียเวลากับคุณด้วย?”
มียุนหันหลังให้ทั้งคู่
“เอ๊ะ! คุณได้บอกกับฉันตอนขอแต่งงานรึเปล่านะ? คุณบอกว่าจะทำให้ฉันมีความสุข ยินดีด้วย คุณรักษาคำพูดแล้ว คุณปล่อยให้ฉันได้รับเงินมากพอที่จะทำให้ฉันมีความสุขไปตลอดชีวิต ฉันแค่อยากขอบคุณกับสิ่งนั้น”
ซังยอนไร้ซึ่งคำตอบใด มียุนไม่ได้หวังว่าจะได้รับคำตอบจากซังยอนตั้งแต่แรก เธอหันไปทันทีที่เธอกล่าวสิ่งที่ต้องการจะพูดเสร็จและเดินกลับไปยังอพาร์ทเม้นท์
เอกสารหย่าถูกส่งออกไป นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่แสดงว่าซังยอนและมียุนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกในฐานะคู่สมรส
ซังยอนเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังวิ่งหนีจากที่ที่สกปรกน่าขยะแขยง เด็กอย่างชินเฮจึงได้รับแรงจากการย่ำเท้าเป็นครั้งคราว ถึงอย่างนั้นเธอไม่ได้ใส่ใจและยังเกาะติดซังยอนแน่นพร้อมกับวิ่งออกมาจากที่นั่นเร็วที่สุด
แทนที่ชินเฮจะร้องไห้ที่ได้แยกกับแม่ของเธอ แต่เธอกลับไม่หันไปมองแม้แต่น้อยว่าแม่เธอจะเป็นอย่างไร เธอรู้ดีคนที่เรียกว่าแม่ได้ตัดสิ้นเยื่อใยทั้งหมดทิ้งไปแล้ว
* * *
สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น ตั้งอยู่รอบนอกเมืองกรุงโซล มันค่อนข้างถูกหากเทียบกับย่านคนรวยในใจกลางเมือง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นบ้านในกรุงโซลที่ค่อนข้างแพงถ้าเทียบกับบ้านแถวชนบท รูปลักษณ์บ้านเดี่ยวสองชั้นหลังนี้แสดงให้เห็นถึงความร่ำรวยของเจ้าของบ้าน
แต่แล้วซังยอนไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้อีกต่อไปแล้ว เขาเป็นแค่อดีตเจ้าของบ้านเท่านั้น ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการเป็นผู้ชายธรรมดาเสียอีก
เขาพาชินเฮออกมาจากบ้านครอบครัวอดีตภรรยาซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกปีศาจไร้จิตใจ สุดท้ายแล้วซังยอนพาเธอไปที่บ้านหลังเก่า ถึงแม้มันจะไม่ใช่บ้านเขาอีกต่อไปเพราะหนี้สิน แต่ยังพอมีเวลาก่อนที่บ้านจะถูกอสังหาริมทรัพย์ยึด ยิ่งกว่านั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งยังไร้ซึ่งครอบครัวและญาติพี่น้อง เขาไม่ไว้ใจให้ชินเฮอยู่กับใครอีกแล้ว
เมื่อเดินเข้าประตูไป ภายในบ้านดูสะอาดตา มียุนมักจะใช้บริการทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากเธอใส่ใจดูแลในรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก ลายนิ้วมือของมียุนปรากฏอยู่ทั่วบ้าน ถ้ามีใครสักคนมาเห็นบ้านหลังนี้คงคิดว่าเป็นบ้านตัวอย่างให้เยี่ยมชมเป็นแน่
ที่นี่ยังคงมีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่งบ้านอยู่ แต่มีใบยึดทรัพย์สีแดงติดไปทั่วซึ่งทำให้ความสง่างามทุกอย่างในบ้านดูย่ำแย่ลง
ชินเฮไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้ซักพักใหญ่ เธอจึงดูมีความสุขพร้อมถอดรองเท้าออกและวิ่งเข้าไปในบ้าน เธอกระโดดขึ้นไปบนโซฟาในห้องรับแขก หลังจากนั้นเธอก็เริ่มหมุนไปรอบตัว
ซังยอนรู้สึกดีใจที่เห็นสิ่งนี้
ความรู้สึกดีเหล่านั้นอยู่เพียงชั่วครูชั่วคราว เมื่อต้องนึกถึงสิ่งที่จะตามมาในอนาคตมันทำให้เขาเริ่มปวดหัว เขามีหนี้สิ้นกองเท่าภูเขาแต่ยังต้องจัดหาเรื่องอาหาร เสื้อผ้าและที่พักอาศัย เหนือสิ่งอื่นใดแล้วสิ่งที่พ่อแม่ชาวเกาหลีกังวลที่สุด คือ ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาเล่าเรื่องของลูก ซังยอนคิดวิตกเกี่ยวกับมันราวกับมีบางอย่างหนักอึ้งกดอยู่บนไหล่ทั้งสอง
“ปะป๋า”
ชินเฮเรียกหาซังยอนขณะที่เขาดูสิ้นหวังเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะตามมา
“หนูหิวจัง”
ลูกสาวเขากุมหน้าท้องแน่นขณะมองไปที่พ่อของเธอ ซังยอนตัดสินใจผลักความกังวลใจทั้งหมดไว้ข้างหลัง
“ได้เลย ไปหาอะไรทานกัน”
เมื่อเขามองไปด้านนอกพบว่าพระอาทิตย์กำลังตกดิน ข้างนอกดูมืดมิด ชั่วขณะนั้นที่เขาได้มองดูลูกสาวและอยากจะซื้อของอร่อยให้เธอทาน เขาหยิบกระเป๋าเงินขึ้นพร้อมกับเปิดดู เขาเจอแบงก์สิบวอนอยู่สอง สามใบ และยังมีบัตรเครดิตแต่นั้นมันก็เป็นแค่บัตรพลาสติกที่ใช้งานไม่ได้ ทั้งยังตรวจดูกระเป๋าเงินอีกครั้งก็พบแต่เศษเหรียญ
เมื่อไม่นานนักเขามักจะมีเงินติดตัวห้าร้อยวอนในกระเป๋าเงินและยังมีบัตรเครดิตอีกหลายใบเพื่อใช้จ่าย สิ่งนี้ทำให้ฐานะปัจจุบันเขาดูแย่ลงไปอีก
“ปะป๋า! ไข่ดาว! หนูอยากกินไข่ดาว!”
ชินเฮดึงแขนเสื้อซังยอนขณะที่เธอพูด ซังยอนมองไปที่ชินเฮ
เท่าที่เขารู้ชินเฮไม่ชอบกินไข่ดาว เธอเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่รักที่จะกินพิซซ่า คัลบี และไก่ แต่ชินเฮยังมีใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มในขณะที่เธอร้องเรียกที่จะกินไข่ดาว
มีคนกล่าวไว้ว่าเด็กจะเข้าใจต่อสิ่งรอบตัวได้ดี ชินเฮอายุเพียงห้าขวบแต่เธอเริ่มกังวลเรื่องพ่อของเธอ เขารู้สึกซึ้งใจแต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียใจที่เด็กผู้หญิงอายุห้าขวบต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อย่างไม่มีทางเลือก ตาเขาเริ่มแดงก่ำ
แต่ทว่าเขาไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาต่อหน้าลูกสาวผู้ที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เพื่อพ่อได้
“…ได้สิ มา เรามาทำไข่ดาวกัน”
“เย้! ไข่ดาว! หนูชอบทานไข่ดาว!”
ความจริงแม้เขาล้มละลายไม่ได้หมายความว่าเขาถูกยึดไปเสียหมด อย่างน้อยเขายังมีอาหารมากพอที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกหิวในอนาคตอันใกล้ เขาหยิบไข่ที่เหลืออยู่ออกมาจากตู้เย็นและเดินเข้าไปในห้องครัว
ห้องครัวดูสะอาดกว่าที่คิด เขาคิดว่ามันคงไม่ง่ายที่จะเห็นมียุนทำอาหาร เธอเคยหุงข้าวแค่บางครั้ง นั้นคือทั้งหมดที่เธอทำ พวกเขามักจะออกไปกินข้างนอกหรือซื้อเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ อุปกรณ์ทำอาหารจึงดูใหม่เกือบทั้งหมด
เขาเทน้ำมันลงไปในกระทะและเร่งไฟให้แรงขึ้น ในขณะเดียวกันก็หยิบเครื่องเคียงออกมาจากตู้เย็น ชินเฮนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารอยู่แล้ว ทั้งยังกำลังมองพ่อของเธอจัดเตรียมโต๊ะ เขาตอกไข่สองใบและวางลงบนกระทะที่กำลังร้อน
ชี่!
ไข่ขาวใสกลายเป็นสีขาวขุ่นในทันที มาพร้อมกับกลิ่นหอมที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง เขาเจาะไข่แดงและเริ่มใส่เกลือลงไป เมื่อด้านหนึ่งสุกแล้วเขาเริ่มพลิกอีกด้าน ไม่นานนักไข่ดาวสองใบที่ดูแสนอร่อยก็พร้อมทาน ซังยอนเริ่มบรรจงวางไข่ลงบนจาน
“ว้าว!”
ชินเฮชูมือทั้งสองของเธอขึ้นเมื่อเธอเห็นไข่ดาววางไว้อยู่ต่อหน้าเธอ
“หื้ม? ปะป๋าไม่ทานด้วยกันเหรอคะ”
เธอตั้งคำถามขณะที่เห็นไข่ดาวทั้งสองใบวางไว้ตรงหน้าเธอ ซังยอนส่ายหน้าไปมา
“ปะป๋าชอบทานเครื่องเคียง ชินเฮทานให้หมดเลยนะลูก”
ชินเฮลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พลางสงสัยว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี แต่ขณะนั้นซังยอนเซ้าซี้ให้เธอทานไข่อีกครั้ง ดันนั้นเธอจึงค่อยเริ่มทานข้าวไข่ดาว
ซังยอนหยิบช้อนขึ้นมาพร้อมตักข้าวพูนเข้าปาก ขณะกินข้าว สายตาก็ยังคงมองที่ชินแฮ เขากำลังเคี้ยวข้าวในปาก แต่ก็แทบไม่ได้รับรู้รสชาติอะไรเลย
‘ใช่ เราไม่ได้สูญเสียไปหมดทุกอย่างสักหน่อย อย่างน้อยเราก็ยังมีชินเฮ’
เขาสูญเสียไปทั้งบริษัท บ้าน ภรรยาและเพื่อน แต่เขายังคงมีลูกสาวคนที่คอยส่งยิ้มและเชื่อในตัวเขา
ซังยอนสัญญากับตัวเองขณะมองลูกสาวที่กำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย