ตอนที่ 2 ราตรีอันมืดมิดบนดวงจันทร์โฉมใหม่
ตอนที่ 2 – ราตรีอันมืดมิดบนดวงจันทร์โฉมใหม่
หากมนุษย์เราถูกตั้งคำถามว่า “คุณใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุดหรือยัง” จะมีสักกี่คนจะตอบอย่างมั่นใจว่า “แน่นอน!” คงมีเพียงมนุษย์ที่ไม่ประมาท ไม่เกียจคร้านถึงตอบแบบนั้นได้ ท้ายที่สุดผู้คนเหล่านี้มักมุ่งหน้าเพื่อพบเป้าหมายแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต พวกเขาได้มาถูกทางแล้ว
ถึงกระนั้นคำถามนี้ยังคงยากที่จะตอบสำหรับใครอีกหลายคนอยู่ดี มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้คนคอยบอกว่า “ฉันอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด!!!” แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถใช้ชีวิตอย่างที่กล่าวไว้ได้จริง น้อยคนนักที่จะสามารถยึดถือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ นี้คงเป็นที่มาทำให้ใครหลายคนต้องใช้วิธี “แก้ไขปัญหาระยะสั้น”
ด้วยบริบทที่กล่าวมานั้น ซังยอนไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะตอบว่า “แน่นอนสิ!” ถ้ามีใครสักคนถามว่า “เขาใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุดหรือยัง” และนี้คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดว่าได้พาตัวเองมาเจอความสุขที่สุดแล้ว
บนโลกนี้เขาเป็นคนหนึ่งที่ได้รับความโชคดีเลยไม่น้อย ทั้งมีหน้ามีตาในสังคม มีภรรยาที่งดงาม ลูกสาวที่น่ารักและมิตรสหายที่ซื่อสัตย์อีก หากมองในด้านชีวิตสังคมและครอบครัวไม่ว่าใครก็ล้วนต้องอิจฉา เขายังคงเชื่อมั่นว่าจะมีความสุขที่สุดกับชีวิตที่เหลืออยู่ ตราบใดที่ยังทำงานด้วยความขยันขันแข็งและไม่โลภมากจนเกินไป
แต่แล้วหนทางชีวิตไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป แม้ว่าเราตั้งใจที่จะเดินไปตามเส้นทางที่เราวางไว้ มันอาจมองดูเรียบง่ายแต่กลับกันเส้นทางนั้นอาจจะแตกต่างออกไปเหมือนอีกฟากหนึ่งของภูเขาเลยก็ได้
ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เมฆที่ลอยเป็นคู่ยิ่งทำให้บรรยากาศสดชื่น แสงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบไปทั่วพื้นดิน มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้เราพร้อมจะหยุดทุกสิ่งและออกไปผจญภายนอก ถ้าได้ดื่มด่ำบรรยากาศนั้นคงสามารถเติมเต็มพลังชีวิตที่หดหู่ให้สดใสได้ แม้กระทั่งบางคนที่ไม่แม้แต่จะสนใจผู้อื่นกลับรู้สึกอยากเอื้ออาทรต่อผู้อื่น นี่มันเป็นบรรยากาศน่ารื่นเริงยิ่งนัก
แม้โลกนี้ยังเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่แสนวิเศษ แต่มันคงเป็นแค่เรื่องธรรมดาสำหรับคนทั่วไป เพราะบางทีในเรื่องดีก็ยังคงมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอยู่เช่นกัน
ตู๊ม!!
แค๊ก!
เสียงทื่อดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงกรีดร้องร้องเจ็บปวด
ตรงหน้าคือตึกกังนัมสูงระฟ้า ภาพนี้งดงามยิ่ง แต่ขณะนี้ก็มีชายลึกลับคนหนึ่งเดินตกหลุมกลางทางเดินเท้า
ชายคนนี้เหมือนจะอยู่ในช่วงวัยกลางคน อายุราวสามสิบกลาง ดูหล่อเหลา ริ้วรอยที่ใบหน้าเป็นสิ่งบ่งบอกอายุที่ชัดเจน กาลเวลาผันผ่านสังขารย่อมแปรเปลี่ยน ริ้วรอยเหล่านี้ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมน่าดึงดูด ตำหนิเพียงหนึ่งเดียวที่พบเห็นคือไขมันช่วงหน้าท้อง ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะชาวเกาหลีวัยกลางคนส่วนใหญ่มักมีพุงเพราะดื่มเบียร์มากเกินไปทั้งนั้น
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาไม่อาจกลบสภาพเขาในตอนนี้ได้ ที่เห็นคือคนซกมกผู้หนึ่ง
ผมเขาดูยุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ทั้งยาวจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตัดผมนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หนวดเคราไม่ได้รับการดูแล รูปลักษณ์สื่อได้ถึงสภาพจิตใจเขาตอนนี้ แต่อย่างน้อยสูทที่สวมใส่ก็ยังดูดี แม้ว่าจะมีรอยยับและสกปรกไปบ้างก็ตาม สภาพเขาราวกับคนเร่ร่อน ถ้าหากมีคนพบเจอเขาตอนนี้ หนึ่งเดียวที่กระทำแน่คือถอยห่างออกมาเพราะสภาพนั้นทั้งย่ำแย่และซกมกอย่างมาก
อึ้บ!!
เขาพยายามพยุงตัวเองขึ้นหลังจากที่ล้มลงกระทบพื้น เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หลังราวกับถูกไฟไหม้ทั้งหายใจได้ยากลำบาก ในขณะนั้นทำให้เขาอยากจะนอนลงบนพื้นที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เขาลุกขึ้นยืนอย่างงุ่มง่าม ณ เวลานี้เปรียบเขาเป็นวีรบุรุษที่ได้ผ่านความยากลำบากและเสียสละอย่างหนักจนมาถึงหน้าปราสาทของราชาปีศาจ เขามองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่เกลียดแค้น
ณ หน้าตึกสูงระฟ้าท่ามกลางบรรยากาศปลอดโปร่ง มีแสงแดดสะท้อนจากหน้าต่างของตึกส่องไปทั่วบริเวณ ตึกสูงยังตั้งตระหง่านอยู่ดังเดิม แต่สายตาชายผู้นั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนเขาเคยมองตึกนี้เป็นดั่งมิตรสหาย แต่ดูสิ!! ตอนนี้เขากลับมองตึกนั้นด้วยสายตาที่เกลียดชังราวกับว่ามันเป็นศัตรู
ชายลึกลับเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง เขาไม่สามารถสยบความเกลียดชังในใจพร้อมทั้งเดินตรงไปที่อาคารอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงก้าวเท้าหนักอึ้งที่สะท้อนให้เห็นถึงความโกรธแค้น
เขาหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าตึก
ซึงง!
เขาเงยหน้ามองชายร่างใหญ่ยักษ์สองตนที่กำลังขวางทางเดิน
เมื่อก่อนเขาไม่เคยถูกเรียกว่าไอ่เตี้ยสักครั้ง เขาสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตร บ่อยครั้งที่เขามักต้องก้มมองผู้อื่น แต่พวกเขาตัวใหญ่กว่ามากอย่างน้อยน่าจะสูงราวหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ถึงภายนอกจะดูผอมบางแต่ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงราวกับถูกสร้างให้อึดทนเหมือนบ้านอิฐพร้อมสวมสูทที่รัดกุม ลักษณะเหมือนพึ่งมาจากฝูงจลาจล แต่ความจริงถูกจ้างมาเพื่อหยุดผู้ก่อเหตุความรุนแรงและทำผิดกฎหมายต่างหาก ใช่ พวกเขาคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตึกแห่งนี้
“ออกไปให้พ้นทาง!”
เขายังดื้อรั้นและพยายามที่จะผลักเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้พ้นทาง แน่นอน พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เข้าไปได้แน่ พวกเขาเริ่มรู้สึกรำคาญและผลักกลับอย่างแรง เขาถูกผลักไปด้านหลังอย่างช้า ๆ แต่ทว่าครั้งนี้ไม่ได้ล้มลงกับพื้นแบบครั้งก่อน ถึงแม้อย่างนั้นเขาไม่ได้รู้สึกยินดีหรืออยากขอบใจเลยสักนิด
“พวกสวะ! บอกให้ออกไปให้พ้นทาง!!”
ถึงแม้ว่าจะโดนโจมตีอย่างหนักแต่เขาก็ยังพุ่งสู้อย่างไม่ย่อท้อ ท้ายที่สุดแล้วความพยายามนั้นกลับเปล่าประโยชน์ เจ้าหน้าที่ทั้งสองถูกจ้างมาเพื่อปกป้องตึกหรูแห่งนี้ แน่นอนพวกเขาย่อมได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อการจู่โจมของซังยอนล้มไม่เป็นท่า หนึ่งในเจ้าหน้าที่ได้เตะเท้าไปข้างหน้าพร้อมผลักไหล่เขาจนเสียหลัก จากนั้นเขากลิ้งตกไปยังจุดเดิมที่เคยถูกโยนออกมา
อ๊าก!!
นี้เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกผลักกลับมาบนทางเดิน เขาล้มลงจนคิดว่าพื้นดินนี้เป็นเพื่อนเขาไปเสียแล้ว เขาร้องออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด
ถึงกระนั้น ความอัปยศอดสูและบาดแผลที่ได้รับไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ เขาลุกขึ้นอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ทั้งสองถอนหายใจด้วยความรำคาญและเหนื่อยล้ากับการกระทำของเขา ความโกรธพรั่งพรูออกมาผ่านสายตา ในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งผ่านประสบการณ์มาหลายประเภท และได้พบเจอผู้คนอย่างชายผู้นี้นับไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ชินกับการพบคนเหล่านี้ ความจริงแล้วค่อนข้างรู้สึกเบื่อหน่ายทุกครั้งที่ยังเจอสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก
พวกเขาคิดว่าควรจะเรียกตำรวจแต่เจ้าของตึกห้ามไว้ พร้อมกับบอกว่าภาพลักษณ์ของบริษัทจะต้องดูไม่ดีแน่ถ้ามีผู้คนเห็นรถตำรวจอยู่หน้าตึกเต็มไปหมด แต่กลับกันพวกเขาคิดว่าภาพลักษณ์ของบริษัทจะต้องมัวหมองมากกว่าถ้ายังมีผู้คนแบบนี้วนเวียนอยู่รอบตึก แต่ถึงยังไงคำสั่งของหัวหน้าต้องมาก่อนเสมอ
เหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสองอยากปลดปล่อยความโกรธ พวกเขาพร้อมแตกหักกันไปข้างหนึ่งแล้วล่ะ
“พอได้แล้วคุณอูซังยอน”
มีบุคคลปริศนาเดินออกมาจากตึก
เจ้าหน้าที่ทั้งสองเหมือนจะจนปัญญา งานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จเพราะพวกเขาไม่สามารถไล่คนบ้าคลั่งออกไปได้ ทำให้หนึ่งในหัวหน้าต้องออกมาจัดการเอง เมื่อหัวหน้าพวกเขาเดินออกมาจากตึก เจ้าหน้าที่ทั้งสองจ้องมองซังยอนเหมือนต้องการจะฆ่าเขาให้สิ้นซาก
แต่ซังยอนไม่ได้สนใจพวกเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือมีใครบางคนเดินออกมาจากตึกเพื่อรับฟังเขา
“หัวหน้าเช!!”
ซังยอนเดินพุ่งไปหาชายที่เรียกกันว่าหัวหน้าเชอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่เข้ามากั้นตัวซังยอนออกไป แต่หัวหน้าเชกลับโบกมือปัดให้พวกเขาหยุด เจ้าหน้าที่ทั้งสองดูผิดหวังที่ต้องถอยกลับ เพราะเห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาพวกเขาพร้อมจะจัดการเขาอย่างเต็มที่แล้ว ท้ายที่สุดซังยอนไม่ได้สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น แต่ที่เขาสนใจคือหัวหน้าเชคนนั้นต่างหาก
“ได้โปรดให้ผมเข้าไปด้านในเถอะนะ ผมต้องพบแจโฮ”
ซังยอนพูดออกมาอย่างสุดเสียงราวกับว่าหัวหน้าเชคือความหวังสุดท้าย แต่แล้วหัวหน้าเชทำลายความหวังนั้นทิ้งโดยการปัดมือซังยอนออกไป
“ท่านประธานกำลังยุ่ง ถ้าคุณต้องการพบท่านประธาน คุณไม่ควรทำแบบนี้ คุณควรจะทำการนัดหมายล่วงหน้าพร้อมบอกเวลาและสถานที่ด้วย”
“ทุกเวลาทุกนาทีมันสำคัญมากนะ!! แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะโทรกลับหาผม ผมพยายามจะนัดหมายกับทางเลขาเขา แต่สุดท้ายเขาก็เอาแต่ให้ผมรอแล้วเงียบหายไป”
“ถ้างั้นคุณควรรู้จักรอบ้างสิ”
“ผมบอกคุณแล้ว ว่าผมไม่มีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น!!”
ภายในใจซังยอนเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวแตกต่างกับหัวหน้าเชที่ยังทำตัวเย็นชา มันชวนให้นึกถึงทุ่งหญ้าในไซบีเรียช่วงฤดูหนาวอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่มีท่าทีที่จะช่วยซังยอนสักนิด ซังยอนเริ่มตระหนักว่า เมื่อไม่นานนี้หัวหน้าเชเคยโค้งคำนับเขาด้วยความเคารพ แต่ทั้งหมดกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงแค่เขาได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ แน่นอนซังยอนรู้สึกละอายและสังเวชเขายิ่งนัก ก่อนอีกฝ่ายจะจากไปเขาอยากจะถ่มน้ำลายและด่าทอใส่
ทว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
“หลีกไป! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องได้พบแจโฮ! เขาทำแบบนี้กับเพื่อนได้ยังไงกัน!”
ซังยอนเริ่มผลักหาทางเพื่อมุ่งไปข้างหน้า
“ทำไมแกถึงได้ทำตัวแบบนี้! พวกเขาไม่ได้สอนมารยาทให้แกเลยรึไง!”
หัวหน้าเชตะโกนใส่ซังยอน
“ให้ฉันเข้าไป! ให้ฉันเข้าไป!”
ซังยอนยังคงต่อสู้ แต่เขาไม่สามารถต่อต้านหุ่นที่แข็งแรงอย่างกับเหล็กของหัวหน้าเชได้ เมื่อยังเด็กซังยอนเคยเป็นนักกีฬามาก่อน แต่ตอนนี้เขาอายุเกือบจะสามสิบแล้วทั้งยังพัวพันกับแอลกอฮอล์และบุหรี่จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอลงมาก ชีวิตในสังคมเขาต้องอยู่กับมัน แต่กลับกันหัวหน้าเชออกกำลังกายและถูกฝึกฝนอย่างหนัก ซังยอนไม่สามารถเอาชนะได้เขาถูกโยนทิ้งราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งโดยฝีมือของหัวหน้าเช
ครึ้ม!!
มันเป็นครั้งที่สามที่เขากลิ้งลงไปกับพื้น
“แกเป็นถึงประธานบริษัท.... เอ๊ะ! เหมือนจะไม่ใช่อีกต่อไปแล้วสินะ!!”
หัวหน้าเชเยาะเย้ยพร้อมหัวเราะด้วยความซะใจ
“ก็นะ แกก็เคยเป็นประธานบริษัทมาก่อน แกควรมีมารยาทและสติปัญญาในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่านี้!”
“พ..พวกแกไม่มีสิทธิ์พูดถึงมารยาทและการรับรู้ถึงสถานการณ์อะไรทั้งนั้น!”
ซังยอนหายใจอย่างเกรี้ยวกราดขณะที่เขาจ้องมองหัวหน้าเชด้วยสายตาที่อาฆาต
“แกคิดจริงเหรอว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้? ฉันจะฟ้องพวกแกทุกคน!”
เขาตะโกนออกไปราวกับว่ามันเป็นความพยายามครั้งสุดท้าย แต่ทว่าคำขู่ไม่มีน้ำหนักมากพอ เขาตกอยู่ในสถาวะที่น่าขยะแขยงและน่าสงสาร ใครจะไปกลัวคำขู่ที่ออกมาจากปากคนแก่ที่ไม่มีคนสนับสนุนแบบเขากันล่ะ ? พวกเขาเป็นถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทชั้นนำที่ได้รับการยอมรับระดับโลกเชียวนะ
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ...”
หัวหน้าเชยืนเกาะอกพร้อมทั้งพูดอย่างอวดดี
ในช่วงขณะนั้นซังยอนหันมาจ้องมองหัวหน้าเช พวกเจ้าหน้าที่ และตึกสูงระฟ้าด้วยความอาฆาตแค้น เขาทำได้แค่นั้น มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าหัวหน้าเชกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองเกรงกลัวสายตาเขาและเพียงแค่การจ้องมองก็ไม่สามารถทำลายตึกแห่งนี้ได้
ท้ายที่สุดแล้วซังยอนไม่ได้อะไรจากการมาที่นี่ เขาแทบยอมรับความจริงไม่ได้และหันกลับไปด้วยความโกรธ
เขายืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสดใสที่พร้อมจะเยียวยาสภาพจิตใจผู้คน ซังยอนหันหลังให้กับตึกสง่างามราวกับว่าตึกนั้นจ้องมองเขาลงมาด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม เขาถอยกลับไปโดยไม่ส่งเสียงคร่ำครวญใดและยอมเป็นผู้แพ้ที่น่าสมเพช