เคียวที่ 9 : จับฆาตกร
ผมกลับมายืนอยู่หน้าหอพักหญิงวราพรอีกครั้งในเวลาเกือบหกโมงเย็นของวัน
สายตาผมมองไปยังใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้แถวนั้น เธอกำลังรอผมอยู่ บรรยากาศตอนนี้ถึงแม้จะไม่มืดมาก แต่แถวนี้กลับไม่มีคนเดินไปเดินมาเลยสักคน ผมเดินเข้าไปใกล้เธอเรื่อย ๆ
“คุณรู้ใช่ไหมว่าฆาตกรพักอยู่ห้องไหนในนั้น” ผมถามขึ้นหลังจากหันซ้ายหันขวาดูว่าไม่มีใครมองผมอยู่ วิญญาณสาวพยักหน้า
“คุณอยากให้ผมช่วยยังไง ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมช่วยคุณได้คือส่งคุณไปอีกโลก”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่ามันจะได้ชดใช้ !” เสียงดังขึ้นจนกลายเป็นตวาดจากวิญญาณสาว สายตาของวิญญาณสาวแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อนึกถึงฆาตกรที่ฆ่าเธอ
“งั้นคุณก็บอกผมมาสิ ว่าฆาตกรอยู่ห้องไหน ผมจะได้โทรเรียกตำรวจให้มาจับมัน”
“หึ ตำรวจเหรอ นายคิดว่าที่ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เพราะอะไร ? เพราะมันมีเส้นสายเป็นตำรวจใหญ่อยู่ในนั้นไง”
ผมพูดไม่ออก พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคดีมันถึงไม่คลี่คลายสักทีทั้งที่เวลาผ่านไปก็นานแล้ว เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง
“แล้วคุณจะมาหลอกหลอนคนอื่นให้มันได้อะไร ทำไมคุณไม่เข้าไปหลอกหลอนมันให้ไปสารภาพกับตำรวจล่ะ” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองนึกสงสัย มีข่าวเรื่องคนที่มาแถวนี้โดนหลอกไปหลายราย แถมคนที่เช่าหอพักนี้อยู่แทบจะย้ายออกกันเกือบหมดแล้วในตอนนี้
“ถ้าฉันทำได้ ฉันทำไปนานแล้ว ดูนั่น”
มือซีดชี้ไปทางด้านหน้าของหอพัก ด้านบนของประตูกระจกสีดำมีแผ่นอะไรเล็ก ๆ บางอย่างแปะไว้อยู่ ผมมองเห็นไม่ค่อยถนัด เพราะระยะจากตรงนี้ก็ไกลพอสมควร ขนาดผมมีสายตาที่โคตรดีของสกิลยมทูตติดตัวอยู่ก็ยังไม่ชัด ดูเผิน ๆ ก็คงไม่มีใครสังเกตเพราะมันอยู่สูงกว่าประตูมากอยู่
“มันแปะยันต์ไว้ ฉันเข้าไปในนั้นไม่ได้”
“นายช่วยฉันหน่อยซิ เอามันออกมา แล้วที่เหลือฉันจะจัดการให้มันสารภาพโดยการเข้าไปสิงร่างมันเอง พอมันถูกจับ ฉันจะยอมให้นายพาตัวไป”
“ก็ได้” ผมตอบ ตอนนี้ผมก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ ผมเป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่ง จะให้ไปตามจับคนร้ายหรือหาหลักฐานแบบตำรวจก็ไม่ได้ ร่วมมือกับผีสักครั้งคงไม่มีปัญหาอะไรมั้ง ปัญหาทุกอย่างจะได้จบลงไปสักที งานของผมจะได้เสร็จลุล่วง ฆาตกรเข้าคุก ทุกคนแฮปปี้
“ไอ้หนุ่ม นี่หอหญิง ห้ามผู้ชายเข้า”
ผมที่กำลังเดินไปที่ประตูกระจกด้านหน้าหอพัก ถูกเรียกโดยคุณป้าคนหนึ่ง ที่โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง ท่าทางจะเป็นคนดูแลหอ
“ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ โทรมาแล้วเขาไม่รับ คุณป้าช่วยขึ้นไปเคาะประตูให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
ป้าคนนั้นทำหน้าเหมือนรำคาญผม ก่อนเอ่ยถามว่าอยู่ห้องไหน ผมจึงบอกส่งเดชไป เพื่อหักเหความสนใจให้แกเดินไปที่อื่น ผมจะได้จัดการเอายันต์ที่แปะอยู่ด้านบนประตูนั้นออก
“401 ย้ายออกไปแล้ว”
กำแล้วไง
“เอ่อ ผมอาจจะจำผิดน่ะครับ 405”
น่าจะมีคนอยู่มั้ง
“ออกไปแล้ว”
เวรละ
“เอ่อ ห้องที่ยังไม่ย้ายออกแหละครับ ผมจำไม่ได้แล้ว”
“แน่ใจนะว่าชั้นสี่”
“ครับ”
ป้าแกทำท่าทางแปลก ๆ ก่อนรีบร้อนเดินออกไป
หลังจากที่ป้าเดินหายไป ผมก็เงยหน้ามองด้านบนประตูกระจกสีดำที่มียันต์สีแดงแปะอยู่ เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่มีใครอยู่แถวนั้นแน่ ๆ ผมจึงใช้พลังยมทูตที่มี ทำให้เกิดลมพัดจนยันต์ที่ติดอยู่บนประตูหอปลิวออกไป ก่อนใช้พลังอีกครั้งในการเปิดประตูหอโดยไม่ใช้คีย์การ์ด ในขณะเดียวกัน วิญญาณของหญิงสาวก็เดินตามหลังผมเข้ามา
ริมฝีปากสีม่วงดำแสยะยิ้มโดยที่ผมไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย ...
“อ้าว คีย์ มาทำอะไรที่นี่อะ” เสียงเรียกดังขึ้นระหว่างทางที่ผมกำลังจะขึ้นไปที่ชั้นสอง พี่ฟองนมเดินถือกล่องลังอะไรสักอย่างลงมาจากชั้นสองของหอพักพร้อมเพื่อนของเธออีกคนที่หอบข้าวของลงมาไม่ต่างกัน อะไรมันจะเหมาะเจาะเหมือนจับวางขนาดนี้
อึ้งสิครับ ...
ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้วะครับ โอ๊ย งานงอกอีกแล้ว
“อ๋อ คือผมแวะมาหา ... มาหา เอ่อ ... ใครบางคนแถวนี้อะครับ”
ผมยืนเก้อเกาหัวตอบพี่เขาไป ใครบางคน ใครว่ะเนี่ย สมองแบลงค์มาก ไม่รู้จะตอบยังไงดีเลย
“แล้ววันนี้ไม่เข้าห้องเชียร์เหรอ” พี่ฟองถามต่อ
“ผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ”
“แล้วทำไมไม่นอนพักอยู่หอล่ะ หรือโดดห้องเชียร์มาหาแฟน ?”
เอาเข้าไปดิ ผมจะแถต่อยังไงเนี่ย พี่เขาเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ผมโสดครับพี่ฟอง ผมโสดมาก
“ครับ เอ๊ย ! เปล่า คือแบบว่า ผมมาเอาของให้ไหมอะครับ เพื่อนของเพื่อนอีกที”
โอ๊ย งงไปอีก ผมพูดอะไรย้อนแย้งไปอีกแล้ว ตอนแรกมาหาเพื่อน ตอนนี้มาเอาของให้เพื่อน ทำไมเวลารีบผมรนได้ขนาดนี้นะ
“โอเค ๆ พี่ไม่ถามต่อละ พี่ก็แวะมาช่วยเพื่อนเก็บของย้ายหอเหมือนกัน พี่ไปก่อนนะ”
เฮ้ย อย่าทำหน้าอย่างนั้นดิครับพี่ฟอง ผมไม่ได้ต้องการปิดบังอะไรนะ
...
“ครับ” แล้วผมก็พูดไปได้แค่นั้น ได้แต่ส่งสายตามองพี่ฟองเดินออกจากหอนี้ไป
อ้าวเฮ้ย แล้ววิญญาณที่ตอนแรกอยู่ตรงนี้หายไปไหนแล้วเนี่ย ไม่ต้องรอให้ผมสงสัยได้นาน เสียงคนร้องโวยวายก็ดังขึ้นจากชั้นบนของหอ งานเข้าไปอีก ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสี่ ที่ได้ยินเสียงโวยวายดังที่สุด
“ออกไป ออกไป กูไม่ได้ทำ กูไม่ได้ทำ อั๊ก ปะ ปล่อยกู”
คุณป้าที่ผมหลอกให้มาตามเพื่อนกำลังบีบคอชายร่างท้วมคนหนึ่งอยู่ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือวิญญาณของหญิงสาวคนนั้นกำลังซ้อนทับอยู่ในร่างของป้าเขา ผมรีบเข้าไปกระชากตัวคุณป้าออกมาแต่ก็สู้แรงไม่ไหว โดนผลักกระเด็นออกมา โชคดีที่คนที่เหลืออันน้อยนิดในหอยังไม่มีใครเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” ผมร้องออกไป
นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุยกันไว้เลยแม้แต่น้อย ไหนบอกว่าจะสิงร่างฆาตกรแล้วเดินเข้าโรงพักไปสารภาพไง
“ฉันจะฆ่ามัน” เสียงตวาดดังกลับมาจากวิญญาณสาว
“ออกมาจากร่างนั้นซะ”
ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ผมไม่เอายันต์ออกหรอก … แบบนี้สินะ เขาเรียกว่าผีหลอกจริง ๆ
“คุณฆ่าเขาแล้วได้อะไร คุณจะฟื้นขึ้นมาหรือไง มันเป็นไปไม่ได้ คุณฟังผมให้ดี ๆ นะ ปล่อยให้เวรกรรมลงโทษเขาเถอะ มันจะมีบาปติดตัวคุณไปตอนพิพากษาเปล่า ๆ” ผมพูดเกลี้ยกล่อมให้เธอปล่อยชายคนนั้น ก็เข้าใจว่าแค้น ผมก็อยากให้คนแบบนี้ตาย ๆ ไปเหมือนกัน แต่ก็รู้ว่ามันผิดกฎยมทูต ที่ยอมให้ดวงวิญญาณทำร้ายมนุษย์
“ฉันไม่ผิด มันแหละผิด มันต้องชดใช้”
วิญญาณในร่างของคุณป้าหันกลับมามองผมตาขวาง
“แล้วคุณป้าคนนั้นเขาผิดอะไร ถ้าคุณฆ่าเขา คุณป้าจะกลายเป็นฆาตกรทันที” ผมพยายามพูดใช้เหตุผลเข้าช่วย เผื่อเธอจะใจเย็นขึ้นและเข้าใจอะไรได้บ้าง
“ดีซิ แม่ลูกกัน ชดใช้กรรมด้วยกันไปเลย”
อะไรนะ ! … แม่ลูกกัน
ผมหายแปลกใจแล้วว่าทำไมถึงมีผู้ชายอยู่ในหอนี้ได้ เพราะคุณป้าคนนี้เป็นแม่ของฆาตกรนี่เอง ชายคนนั้นเริ่มลิ้นจุกปาก ตาเริ่มกรอกไปทั่ว
เขากำลังจะตาย ...
ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องใช้เคียว เคียวใช้ดึงวิญญาณออกจากร่างที่สิงได้ ผมเรียกเคียวของตัวเองออกมา
วาบ !
แสงสว่างจ้าสีแดงเกิดขึ้นก่อนเคียวของผมปรากฏขึ้นอยู่บนมือ ผมกวาดเคียวไปในอากาศโดยเพ่งสมาธิไปที่ร่างคุณป้าก่อนเกี่ยวเคียวดึงกลับเข้าหาตัว ไม่รู้วิธีใช้หรอก แต่เซ้นส์มันบอกให้ทำแบบนี้ มันเหมือนเป็นสัญชาตญาณเหมือนตอนผมส่งวิญญาณไปนรกครั้งแรก
“โอ๊ย !”
เสียงร้องดังมาจากวิญญาณสาว ก่อนดวงวิญญาณจะถูกกระชากมาอยู่ด้านข้างผม
คุณป้าได้สติทันที ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า มือของตัวเองที่บีบคอลูกชายอยู่คลายออก รอยแดงชัดเป็นรอยมือที่คอของฆาตกร ฆาตกรไออย่างรุนแรงออกมาเนื่องจากขาดอากาศหายใจนานพอสมควร เจ้าตัวขยับตัวถอยห่างจากผู้เป็นแม่อย่างหวาดกลัว พร้อมพูดอะไรไปเรื่อยอย่างไม่มีสติ
“กะ กูยอมแล้ว ยะ ยอมแล้ว กูทำเองทั้งหมด กูฆ่ามึง”
“ลูก ลูกเป็นอะไร กลับเข้าห้องนะ ไม่เป็นไรแล้ว กลับเข้าห้อง”
คุณป้าพยายามจับตัวลูกชายตัวเองลุกยืนพร้อมดันให้เขาเข้าห้อง แต่โดนมือหนาสะบัดออก แล้วผลักจนล้ม น้ำตาคนเป็นแม่ไหลเป็นทางเมื่อเห็นสภาพลูกตัวเอง ขอบตาดำคล้ำ หมดสง่าราศี พูดจาไม่รู้เรื่อง รู้ทั้งรู้ว่าลูกตัวเองผิดก็ยังอยากจะปกป้องเพราะความเป็นแม่ ถึงขนาดยอมให้ซ่อนตัวเอาไว้ใกล้ที่เกิดเหตุ แถมหายันต์มาแปะไว้ที่หน้าหอเพื่อกันดวงวิญญาณตามคำบอกเล่าของญาติ ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดในการหลบตัว
“ไม่ ๆ กูไม่อยู่แล้ว กูจะไปหาตำรวจ กูยอมแล้ว ยอมแล้ว ยอมแล้ว”
ฆาตกรไม่สนใจอะไรอีกต่อไป วิ่งหนีแม่ของตัวเองลงบันไดไป ผมหันไปมองหน้าวิญญาณสาวที่อยู่ดี ๆ สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป แววตาทั้งสองข้างอ่อนลงเมื่อมองไปที่แม่ของฆาตกร
“ฉันไม่เคยมีแม่มาก่อน ฉันจะเห็นแก่แม่ของมันละกัน”
ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด รู้สึกสงสารคุณป้าคนนั้นเหมือนกันที่ร้องไห้แทบจะขาดใจอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นสภาพลูกของตัวเอง ผมหันมองไปอีกที ร่างของวิญญาณสาวก็หายตัวไปแล้ว
วันถัดมา เรื่องราวของคดีฆาตกรรมซอยท้ายมหาวิทยาลัยก็ถูกคลี่คลาย ตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้โดยง่ายดายเนื่องจากเจ้าตัวไปสารภาพด้วยตัวเองที่สถานีตำรวจ ต่อให้มีเส้นใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ข่าวนี้แพร่ไปทั่วจนคนเอาไปเล่าว่าวิญญาณนั้นเฮี้ยนมากถึงขนาดทำให้ฆาตกรยอมไปสารภาพด้วยตัวเองได้
“ไอ้คีย์ มึงดูนี่ดิ พวกมึงมาดูนี่”
ไอ้ชาบูที่นั่งข้าง ๆ สะกิดผม และเรียกเพื่อน ๆ ให้มาดูที่จอมือถือของมัน ตอนนี้เราเพิ่งเลิกเรียนรายวิชาหนึ่งในตอนเช้า
ภาพในจอเป็นวิดีโอตอนที่มันไลฟ์เล่นผีถ้วยแก้วลวงโลกให้คนในเพจมันดูเมื่อสองวันก่อน ช่วงก่อนที่จะปิดไลฟ์ไอ้ชาบูกำลังโบกมือลาแฟนเพจ ในวีดีโอกลับมีภาพเงาดำมืดอยู่ด้านหลังของมันกำลังยื่นมือไปที่แก้วซึ่งวางอยู่บนกระดาน
“โอ๊ย ! หลอนเลยว่ะพวกมึง” ไอ้อิฐพูด
“คราวหลังฉันไม่ไปทำอะไรแบบนี้กับแกอีกแล้วนะชา” ตามด้วยใยไหม
“เออ ไม่เอาแล้ว ต่อไปนี้เขียนเรื่องเล่าอย่างเดียวพอ ไม่มีรายการพิเศษแล้ว รอบแล้วกว่าจะเอาเส้นผมลงได้ แว็กซ์เซตผมเกือบหมดกระปุก”
แล้วพวกเราก็นั่งหัวเราะกัน
3.00 น. ติ้ด ๆ ติ้ด ๆ
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาสไลด์จอปิดเสียง หันไปมองเพื่อนสองคนที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน เมื่อแน่ใจว่าทั้งคู่ไม่น่าจะตื่นขึ้นมา ผมก็เดินออกไปนอกระเบียงเช่นเคยเพื่อส่งวิญญาณไปพิพากษาประจำวัน วันนี้มีแค่ไม่กี่คนเอง ไม่นานก็น่าจะเสร็จ
3.20 น.
ในที่สุดผมก็ส่งวิญญาณไปหมด ในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าเข้าห้อง แสงสว่างวาบก็เกิดขึ้นด้านหลังผม ทำให้ต้องหันไปดูอีกครั้ง ผมหันไปยิ้มให้กับดวงวิญญาณตรงหน้า เป็นดวงวิญญาณผู้หญิงผมยาว หน้าตาน่ารัก ในชุดนักศึกษากำลังยิ้มให้ผม
“เธอพร้อมแล้วนะ” ผมถามออกไป
“อื้ม ขอบใจสำหรับทุกอย่างนะ”
“หวังว่าเธอจะไปอยู่ในภพภูมิที่ดี เจอเรื่องแย่ ๆ มาเยอะ โชคดี”
มือเรียวยาวยื่นออกมาข้างหน้า ผมเอื้อมมือไปจับก่อนส่งเธอไปยังอีกที่ ผมรับรู้ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ เป็นความรู้สึกสุดท้ายที่เธอกลับไปหาพ่อของตนเอง ไปกราบลาท่านเป็นครั้งสุดท้ายแม้ว่าท่านจะมองไม่เห็นเธอก็ตาม แล้วร่างของเธอก็ค่อย ๆ หายไป ไม่รู้สิ การได้ช่วยเหลือดวงวิญญาณที่ทุกข์ทรมานมันทำให้รู้สึกดีแบบนี้เอง จบไปแล้วสำหรับเคสพิเศษ อย่างน้อยผมก็ได้เรียนรู้การใช้เคียวสักที
และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากงานครั้งนี้ … การเป็นยมทูต มันไม่ได้ง่ายเลย