เคียวที่ 6 : ผมเป็นยมทูต
“มึงว่ามันจะตื่นเมื่อไรวะ”
“ถามกู กูจะรู้ไหมเนี่ย”
“แกสองคนจะเสียงดังกันทำไม รบกวนคีย์มัน”
“เหรอ เสียงแกคนเดียวดังกว่าพวกฉันสองคนอีกไหม”
“ไอ้บ้าชา !”
“หยุดทะเลาะกันเลยพวกมึง เดี๋ยวแม่ไอ้คีย์กลับมาก็โดนดุหรอก มาเฝ้าลูกเขาหรือมารบกวน”
เสียงของคนสามคนดังเข้าสู่โสตประสาทสัมผัสของผมทันทีที่ผมเริ่มรู้สึกตัว คงจะเป็นพวกเพื่อน ๆ ของผมนั่นแหละ แสดงว่าตอนนี้ผมได้กลับมาบนโลกแล้ว แต่เอ๊ะ ... ทำไมทุกอย่างมันมืดขนาดนี้นะ หรือว่าเป็นตอนกลางคืน เออจริงสิ
ผมยังไม่ได้ลืมตา …
ผมลืมตา กะพริบตาเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่าง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกเหมือนเกิดใหม่ เรื่องที่ท่านพญายมราชบอกท่าทางจะจริงแฮะ เหมือนร่างกายผมดีขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน มันรู้สึกกระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อทุกมัดในตัวเหมือนได้ออกกำลังกายมาจนฟิต ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรบนร่างกายเลย ทั้งที่โดนรถชนมาขนาดนั้น ที่สำคัญผมจำได้ว่าผมสายตาสั้นนิดหน่อย ไม่มาก แต่ตอนนี้ผมกลับมองเห็นทุกอย่างชัดแจ๋ว แบบฟูลเฮชดี อย่างกับเบลล่าในทไวไลท์ที่เพิ่งกลายเป็นแวมไพร์ใหม่ ๆ เลย
“เฮ้ย ไอ้คีย์ตื่นแล้ว” ชาบูที่นั่งอยู่ที่โซฟาทางด้านขวามือผมพูดขึ้น ก่อนลุกพรวดพราดมาที่เตียง ตามด้วยใยไหม และอิฐ
“มึงเป็นไงบ้างวะ” ไอ้อิฐพูด
“คีย์ ลุกมาแบบนี้ได้ไง แกเพิ่งฟื้นนะ” ตามมาด้วยใยไหมที่พูดต่อ
ปากพูดอย่าง แต่การกระทำนี่แทบจะเรียกได้ว่ากระชากหัวผมไปกอด รุนแรงเหลือเกิน นี่ถ้าผมเพิ่งโดนรถชนแล้วฟื้นมาโดนแบบนี้นะ แผลคงอักเสบ
“เอ่อ ฉันโอเค ใจเย็น ๆ ไหม”
ผมเห็นไหมน้ำตาซึมด้วย
“มึงรู้เปล่าตอนมึงหลับไปนะเว้ย ไอ้ชามันกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะ อยู่แต่ห้องไม่ออกไปหาสาว ๆ เลย ส่วนไหมนี่ร้องไห้จนตาบวม” ไอ้อิฐพูด
“แกก็เหมือนกันอิฐ เห็นนิ่ง ๆ แต่เดินแผ่รังสีอึมครึม มองแรงไปทั่ว ไม่พูดกับใครตั้งหลายวัน จนทั้งคณะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้”
หืม พวกมันเป็นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ดีใจจริง ๆ ที่มีเพื่อนแบบนี้ แต่ผมแทบถอนคำพูดทันทีเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ก็เพื่อนรักกูนี่หว่า ถ้ามันตายไป ใครจะปลุกกูไปเรียน”
“ใช่ ใครจะสอนหนังสือกู ใครจะเก็บห้อง ใครจะซื้อมาม่าให้กูกิน” ชาบูเสริม
“จริง ไม่มีแกใครจะห้ามฉันไม่ให้ฆ่าไอ้บ้าชา” ตามมาด้วยใยไหม
ผมงี้น้ำตาซึมเลย ขำจนน้ำตาซึมนะ ไม่ใช่ซึ้ง
“โห รักกูกันมากเลยครับเพื่อน ๆ ที่รัก ว่าแต่ แม่กับพ่อกูไปไหนอะ” ผมพูดบ่นกับตัวเองก่อนประโยคหลังถามหาถึงพ่อแม่ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเกิดอุบัติเหตุทั้งทีเป็นไปได้เชียวเหรอที่พวกเขาจะไม่มา
“อ่อ แม่แกออกไปซื้อข้าว ส่วนพ่อแกติดสอน อีกสักพักคงมาแหละ นี่พวกเราก็เพิ่งได้ข่าวจากแม่แกเมื่อเช้า เหมือนแกรู้สึกตัว แม่แกเลยโทรบอกพวกฉัน เรียนเสร็จพวกเราก็เลยรีบมาเลย” ไหมพูด
“เออ อีกเรื่อง มึงหลับไปเกือบ 5 วันแน่ะ แถมโคตรปาฏิหาริย์ หมอบอกว่าตอนส่งมึงมาโรงพยาบาล มึงเสียเลือดเยอะมาก กะโหลกนี่แตกแบบไม่มีใครคิดว่าจะรอด หัวใจมึงก็หยุดเต้นไปแล้วด้วย แต่พอเวลาผ่านไป ร่างกายมึงกลับมีแค่แผลถลอกแล้วก็หลับไปแบบเจ้าชายนิทราซะงั้น แล้วก็ ๆ อีกเรื่องพี่รหัสมึงมาเยี่ยมมึงทุกวันเลยนะครับ” ไอ้อิฐพูดแซว
จริงดิ ... นี่พี่ฟองมาเยี่ยมผมทุกวันเลยเหรอ
“ใช่ พวกกูคิดว่าจะเสียมึงไปแล้ว นี่มึงห้อยพระไรปะ” ไอ้ชาพูดต่อ
พวกเราคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเสียงประตูห้องผมดังขึ้น
“คีย์ ! คีย์ฟื้นแล้วคุณ”
เสียงแม่พูดกับพ่อผมดังมาตั้งแต่เปิดประตูห้อง แล้วทั้งคู่ก็รีบจ้ำเข้ามาหาผมที่เตียง แม่เข้ามาสวมกอดผม ก่อนพ่อจะโอบกอดเราไว้ด้วยกันอีกที แม่ผมนี่น้ำตาไหล จนผมอดน้ำตาไหลตามไม่ได้ พวกเราทำซึ้งกอดกันอยู่เกือบนาที จนลืมเพื่อนสามคนของผมที่ตอนนี้ไปนั่งเป็นแบ็คกราวตรงโซฟาอยู่ข้างเตียงแล้ว
“คีย์เป็นไงบ้างลูก” แม่ผมพูด
“คีย์โอเคแล้วแม่ ไม่เป็นไรแล้ว”
“แม่ก็ใจหายใจคว่ำหมด ตอนหมอบอกว่าโอกาสรอดแทบจะไม่มี แม่คิดว่าจะเสียเราไปแล้ว แต่พอเห็นคีย์หายดี แถมดูแข็งแรงขนาดนี้ แม่ก็โล่งใจ”
“พ่อก็โล่งอกไปที เนี่ย เห็นไหมแม่ เราก็มีคีย์มันอยู่แค่คนเดียว ถ้าคีย์เป็นไรไป เราจะทำยังไง กลับไปทำเพิ่มดีไหม”
ยัง พ่อผมยังตลกได้อยู่ เล่นเอาพวกเราหัวเราะครืนกันทั้งห้อง
“บ้า คุณก็ พูดอะไรไม่รู้ เพื่อนลูกอยู่เต็มห้อง”
แม่ยิ้มเขินก่อนทุบอกพ่อไปดัง ปึ้ก ! จนร้องโอดโอย พ่อผมยังเฟี้ยวนะครับจะบอกให้ หน้าตา สีผิวของผมนี่ได้พ่อมาเต็ม ๆ หล่อ คม เข้ม ฮ่าฮ่า ใยไหมยังเคยเอารูปพ่อที่ไปอยู่ในเพจอาจารย์หล่อบอกต่อด้วยมาให้ผมดูเลย พ่อกับแม่ผมคบกันตั้งแต่สมัยเรียน แม่ผมมีผมตอนจบ ป.ตรี เรียกได้ว่าเรียนจบปุ๊บ แต่งงานมีผมเลย หลังจากนั้นพ่อก็ไปเรียนต่อโทเอกต่างประเทศ ก่อนจะมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ พ่อเล่าให้ฟังว่า แม่งอนพ่อที่ทิ้งพวกเราให้อยู่ที่ไทยอยู่หลายปี กลับมาก็ตามง้อตั้งนาน กว่าจะหายงอนผมก็เกือบจะเจ็ดขวบแล้ว
หลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็เรียกหมอมาดูอาการผมเกือบเย็น พวกเราคุยกันเพลินจนลืมตามหมอมาดูอาการหลังจากฟื้นเลย หมอดูทึ่งกับอาการของผมมาก ที่ดูแข็งแรงดีจนเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไร ทั้งทั้งที่ตอนมาโรงพยาบาลอาการผมสาหัสมาก หมอขอให้ผมอยู่ดูอาการอีกสักวัน แล้ววันถัดไปค่อยออกจากโรงพยาบาลได้
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึก รู้สึกหนาว ๆ ผิดปกติ ทั้งที่ยังห่มผ้าห่มผืนหนาอยู่ แต่มันไม่ได้เป็นความหนาวจากเครื่องปรับอากาศแน่ ๆ ผมรู้สึกได้ ตามมาด้วยเสียงของคนคุยกันเบา ๆ ไม่ต่ำกว่าสิบคนในห้อง เจอดีเข้าแล้วไงไอ้คีย์ ผมทำใจสู้อยู่พักหนึ่งก่อนจะลืมตา และทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมา ผมตกใจจนร้องไม่ออก เงาดำทะมืนของคนเป็นสิบยืนล้อมเตียงผมไว้ ไม่สิ ไม่ใช่คน ! โอย นี่มันบ้าอะไร ขึ้นชื่อว่าผี มีใครบ้างล่ะที่ไม่กลัว สติ ไอ้คีย์ สติ ผมหลับหูหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ผมลุกขึ้น แกล้งทำมองไม่เห็น แล้วเดินแหวกกลุ่มเงาพวกนั้นไปเปิดไฟกลางห้อง เพื่อที่จะให้ห้องสว่างขึ้น เผื่อพวกนั้นจะหายไป คืนนี้ไม่มีใครนอนเฝ้าผมครับ แม่กับพ่อกลับไปนอนที่บ้าน เพราะผมบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยสะดวกสบายเหมือนนอนเตียงที่บ้าน พวกท่านลำบากนอนโซฟาเล็ก ๆ มาหลายวันแล้ว ซึ่งผมคะยั้นคะยอตั้งนานกว่าแม่จะยอม อีกอย่างผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วด้วย ผมจึงขอนอนที่นี่คนเดียว
พรึ่บ … ไฟกลางห้องสว่างขึ้น แต่เงาพวกนั้นยังอยู่ครบ แถมตอนนี้กลับชัดแจ๋ว เห็นหน้าตารายละเอียดทุกส่วน โอ๊ย ผมจะทำยังไงดี
“พ่อหนุ่ม พวกเรามาดี อย่ากลัวเลย หลังจากพวกเราตาย รู้ตัวอีกทีก็มายืนมองพ่อหนุ่มหลับอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเรามาที่นี่ทำไม” คุณตาคนหนึ่งในกลุ่มวิญญาณพวกนั้นพูดขึ้น
เออจริงด้วย ผมเป็นยมทูตนี่หว่า ผมจะกลัวพวกเขาทำไม แล้วท่านพญายมราชบอกว่าวิญญาณจะมาหาผมเองเพื่อเป็นทางผ่านไปสู่นรก ละ…แล้วไงต่ออะ ผมต้องทำยังไง
“เอ่อ ผมเป็นยมทูตครับ”
พอผมพูดจบ กลุ่มวิญญาณก็หันไปซุบซิบกัน ผมเลยพูดต่อ
“ผมเป็นทางผ่านให้ทุกคนได้ไปสู่โลกถัดไปครับ”
แล้วผมก็เดินไปใกล้ ๆ คุณตาคนนั้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องทำยังไง แต่สัญชาตญาณมันบอกว่า ให้เอามือทั้งสองจับมือตาแกไว้ ทันทีที่มือผมแตะมือของตา แสงสว่างวาบก็เกิดขึ้น และเหมือนร่างของตาถูกดูดเข้ามาในตัวผมก่อนจะหายไป มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ขณะที่ตาแกถูกดูดเข้ามาในตัวผมนั้น ผมมีความรู้สึกเหมือนแกก่อนจะตาย มันเป็นความสุขที่มีลูกหลานกุมมือแกไว้ก่อนแกจะจากไป ผมเห็นภาพทุกอย่างในวันที่แกตาย แกตายที่นี่ โรงพยาบาลนี้หลับตาลงแล้วจากไปอย่างสงบและมีความสุข
ผมทำแบบนี้กับทุกคน จนครบ ดวงวิญญาณที่มาหาผมทุกดวงในวันนี้ ล้วนจากไปอย่างสงบทั้งสิ้น ส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุที่ตายไปเพราะหมดอายุขัย แต่ก็จะมีบางดวงวิญญาณที่ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยอมรับว่าตัวเองได้ตายไปแล้วอย่างสงบ ไม่มีเรื่องค้างคาใด ๆ จึงมาปรากฏตัวที่นี่ ผมเห็นภาพ และรับรู้ถึงความรู้สึกที่หลากหลายของทุกคนก่อนหมดลมหายใจสุดท้าย พอผมส่งทุกคนไปเสร็จ ก็กลับมาล้มตัวลงนอน รู้สึกคราวนี้จะได้นอนหลับสนิทจริง ๆ เสียที
เวลาพักผ่อนของผมหายไปไวเหมือนโกหก หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ผมต้องตามปั่นงาน การบ้านทุกวิชาที่หายไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งเปิดเทอมงานจะเยอะขนาดนี้ ซ้ำไปกว่านั้นดวงวิญญาณหลายดวงก็โผล่มารบกวนผมอยู่เรื่อย ครั้งแรก ๆ ก็ตกใจ แต่พอผ่านไปวันสองวันผมก็เริ่มชิน ผมมาสังเกตทีหลังว่าดวงวิญญาณจะออกมาปรากฏตัวต่อหน้าผมในแต่ละวัน ประมาณตีสามของทุกคืน ซึ่งคืนแรก ๆ ผมตกใจตื่น ร้องโวยวายลั่นหอ จนไอ้อิฐและไอ้คีย์ตื่นขึ้นมากลางดึก หลังจากนั้นผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้จนโดนไอ้สองตัวด่า
“มึงสมองกระทบกระเทือนเปล่าวะ เดี๋ยวนี้นอนเร็วตื่นเช้า ปกติมึงนอนดึกกว่าพวกกูอีก” ไอ้อิฐพูด
“เอ่อ ก็คือ เขาว่ากันว่านอนไวตื่นเช้าจะทำให้สดชื่นไง ก็กูแค่อยากเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ พวกมึงจะทำอะไรก็เบา ๆ ละกัน” ผมพูดไป
“ครับ ๆ คุณพ่อ พี่อิฐจะนอนไวเหมือนคุณพ่อไหมครับ”
ดู ดูไอ้ชาบูมันประชดประชัน
“ยังอะ กูคุยกับพี่รหัสอยู่”
“นี่มึงคุยกับพี่เขายังไง เปลี่ยนจากอีเมล เป็น MSN หรือยังวะ ฮ่าฮ่า”
ผมไม่อยากจะเชื่อเลย มีคนแบบพี่รหัสไอ้อิฐอยู่บนโลกด้วย