เคียวที่ 5 : ทัวร์นรก (Part 2)
ติ๊ง … เสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนประตูจะเปิดออก
บรรยากาศที่นี่ผิดกับชั้นบนลิบลับ ข้างบนร้อนอย่างกับถูกไฟเผาทั้งชั้น แต่ที่นี่กลับหนาวจนสุดขั้วหัวใจ ผมมารู้ที่หลังว่าพวกที่ทำหน้าที่อยู่ที่ตึกนรกจะไม่ได้รับความรู้สึกร้อนหรือหนาว แต่พวกวิญญาณที่นี่จะรู้สึก บริเวณรอบไม่มีเสียงร้องโหยหวนทรมานเหมือนข้างบน มีแต่ความเงียบเข้าปกคลุม เงียบจนผมได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ที่นี่ไม่น่าจะมีใครอยู่ด้วยซ้ำ
พื้นและบริเวณรอบ ๆ ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่ดูเหมือนไม่มีวันละลาย ประกอบกับสถาปัตยกรรมโบราณที่ผมดูไม่ออกว่าอยู่สมัยไหน ทั้งรูปปั้นน้ำแข็ง ทั้งเสาขนาดยักษ์เหมือนผมหลุดมาในโลกแฟนตาซียังไงอย่างนั้น จะผิดไหม ถ้าผมบอกว่าที่นี่สวย มันงดงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน พวกเราเดินผ่านมาสักพักจนผมเก็บความสงสัยไม่ได้แล้ว ว่าทำไมที่นี่มันเงียบผิดปกติขนาดนี้
“พี่สิงห์ ที่นี่เป็นนรกแบบไหนครับ ทำไมมันเงียบแบบนี้ วิญญาณก็ไม่มี”
สิ้นคำถามพี่สิงห์ก็หัวเราะ
“ดูดี ๆ ซิคีย์ วิญญาณน่ะ อยู่เต็มไปหมด คีย์มองแต่ข้างบน ลองมองข้างล่างบ้างซิ”
ผมงงกับคำตอบของพี่เขาสักพัก ก่อนจะสังเกตเห็นที่พื้นที่เรายืนอยู่ มันคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันมีอะไรอยู่ใต้สระน้ำแข็งนี่ด้วย เงาดำทะมึนหลายร้อย หลายพันดวง กำลังตะเกียกตะกาย พุ่งตัวเองชนแผ่นน้ำแข็งหนาที่เรายืนอยู่ข้างบน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล บางร่างขาดหายใจก่อนจมลงไป แล้วผุดขึ้นมาใหม่ วนเวียนไปอยู่อย่างนั้น
“คนพวกนี้ ตอนมีชีวิตอยู่ ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คอยแต่กดหัวคนอื่นให้ต่ำลง พอกลายมาเป็นวิญญาณก็จะเป็นแบบนี้แหละ”
“แล้วถ้าเทียบกับทะเลเพลิงชั้นข้างบน คนพวกนั้นทำอะไรไว้ครับ”
“อ่อ พวกข้างบนเป็นพวกชอบทำให้คนอื่นและครอบครัวคนอื่นเดือดร้อน พวกขายยาเสพติด ทำร้ายร่างกายคนอื่น”
“ส่วนที่คีย์เห็นรูปปั้นคนต่าง ๆ ที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่หุ่นแกะสลักน้ำแข็งหรอกนะ มันคือวิญญาณที่ถูกประดับด้วยเครื่องแต่งกาย ด้วยเพชรนิลจินดา ที่ขโมยมา” พี่ศรีพูดเสริม
พวกเราเดินออกมาเรื่อย ๆ จนพ้นบริเวณทะเลสาบก็เจอสถาปัตยกรรมคล้ายเทวาลัยโบราณ ที่สร้างด้วยน้ำแข็งทั้งหมด เหมือนเป็นที่อยู่ของใครสักคน
“สิงหเดช ศรีสอางค์ ไม่เจอพวกท่านนานเลยนะ”
เสียงใสของผู้หญิงคนหนึ่งดังกังวานไปทั่วบริเวณ ทันทีที่พวกเราเดินเข้าไป
“ข้าพายมทูตผู้นี้ มาชมสถานที่ของท่าน” พี่สิงห์เอ่ยขึ้น ที่นรกนี้ ผู้ดูแลในแต่ละส่วน เหมือนเกิดคนละยุคกันจริง ๆ ภาษาและสำนวนที่ทุกคนใช้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“คีย์ ท่านผู้นี้ คือผู้ดูแลนรกชั้นนี้ เรียกได้ว่าอาวุโสที่สุดในบรรดาพวกเรา มากกว่าท่านพญายมราชด้วยกระมัง”
ผมยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าท่านผู้นี้ ที่พี่ศรีพูดถึงอยู่ตรงไหน เพราะผมยังไม่เห็นใครเลย
ทันทีที่ผมคิดจบ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏกายอยู่ข้างหน้าพวกเราทั้งสามคม ใบหน้างดงามราวกับเทวรูป เครื่องแต่งกายโบราณที่ผมไม่รู้ว่ามาจากยุคไหน แต่บอกได้ว่างามแบบไม่มีที่ติจริง ๆ สวยงาม ดูลึกลับและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
“ข้ากำลังเบื่อ ๆ อยู่เลย ไม่มีใครมาเยี่ยมข้านานแล้ว ที่นี่ก็เงียบเสียจริง ตามข้ามาสิ”
พวกเราเดินตามท่านผู้นั้นไปที่ห้องห้องหนึ่ง ภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องมีแท่นหินแท่นหนึ่ง เหมือนเป็นที่นั่งสำหรับท่านผู้นั้น พร้อมกับหมอนน้ำแข็งแบบสามเหลี่ยม ที่คุณมักเห็นตามละครแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่พวกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะใช้นั่งนอน แล้วมีข้าทาสบริเวณนั้นนั่งพับเพียบโบกพัดอยู่ข้าง ๆ
ผมว่า ผมทราบแล้วแหละ ว่าทำไมข้างนอกถึงเงียบสงัด ห้องที่พวกเราอยู่ไม่ได้มีแค่พวกเรา มีวิญญาณนับร้อยดวงนั่งพับเพียบ รวมกันอยู่สองฝั่งทาง แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ ปากของดวงวิญญาณถูกเย็บติดกัน บางดวงวิญญาณเปลือกตาก็ถูกเย็บติดกันด้วย บางคนแขนขาด บางคนขาขาด นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้
“ท่านคงยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่สินะ ดวงวิญญาณพวกนี้ต้องอยู่รับใช้ข้า ตอนเป็นมนุษย์ ใช้อวัยวะของตนเองไม่ถูกวิธี อย่างพวกนั้น ชอบดูถูก พูดจาว่าร้ายให้ผู้อื่นเดือดร้อน ในเมื่อใช้มันไม่ถูกต้อง ข้าจะเป็นคนเย็บติดมันเข้าไว้ด้วยกันเอง ส่วนนั่นก็ตัดแขนเด็กแล้วนำไปขอทานหาประโยชน์เข้าตัว ข้าเลยตัดแขนมันเสีย” เสียงของท่านผู้นั้นเอ่ยขึ้นมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดา พร้อมชี้ไปยังกลุ่มวิญญาณที่ริมฝีปากถูกเย็บติดกันสนิทและที่ถูกตัดแขน ซึ่งดวงวิญญาณเหล่านั้นรีบก้มหน้าทันที ดูเกรงกลัวเป็นอย่างมาก
“เจ้าอยากจะลองเย็บปากพวกนั้นดูบ้างไหมล่ะ” ท่านหันมาหาผม
“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ” ผมพูด ส่ายหัวพร้อมถอยออกห่าง จนท่านหัวเราะ
“เจ้าทำให้ข้านึกถึงยมทูตคนหนึ่ง เขาก็มีลักษณะคล้ายกับเจ้านี่แหละ แต่พอเวลาผ่านไป …”
ท่านไม่พูดต่อเดินหันหลังกลับไปนั่งที่กลางโถง ผมเริ่มจะสงสัยเรื่องของยมทูตคนนั้นแล้วสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นมีแต่คนพูดถึง
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นั่นต่ออีกไม่นานนัก หลังจากชมทั่วบริเวณก็เดินกลับมาที่ลิฟต์ ระหว่างทางผมพยายามเซ้าซี้พี่สิงห์กับพี่ศรีเรื่องยมทูตคนนั้นแต่พี่ทั้งสองก็ไม่ยอมบอกผม เฉไฉไปเรื่องอื่นตลอดทาง
“เอาล่ะ คีย์ ชั้นล่างสุดแล้ว ชั้นนี้จะเป็นชั้นที่หนักที่สุด พี่ให้เวลาเราทำใจก่อน”
พี่ศรีกดปุ่มลิฟต์ปิดเมื่อเราลงมาถึงชั้นล่างสุด ผมแทบจะล้มทั้งยืน นี่มีอะไรที่มันโหดร้ายกว่านี้อีกเหรอ เอาวะ ชั้นสุดท้ายแล้ว ผมเลยบอกพี่ทั้งสองไปว่าผมโอเคเปิดเลย
ติ๊ง … ประตูลิฟต์เปิดออก
เหมือนผมได้สูดกลิ่นอายของความกลัวเข้ามาเต็มปอด ชั้นนี้เหมือนโรงแรมบนโลกมนุษย์ แต่เมื่อคุณเดินออกมาจากลิฟต์คุณจะเห็นว่าสองฝั่งทาง ด้านซ้ายและขวามือมันไม่มีที่สิ้นสุด ประตูห้องนับร้อยนับพัน เรียงกันอยู่ พร้อมกับโคมไฟสลัว ติด ๆ ดับ ๆ ตลอดสองฝั่งทางเหมือนโรงแรมผีสิงไม่มีผิด
“ชั้นนี้อันตรายที่สุด และเป็นชั้นที่ดวงวิญญาณจะทรมานที่สุดเช่นกัน ดวงวิญญาณที่มีความอาฆาตสูงและทำกรรมหนักจะอยู่ที่นี่” พี่สิงห์อธิบาย แล้วทั้งสองคนก็เรียกเคียวของตัวเองขึ้นมา ถึงขนาดเรียกเคียวตัวเองขึ้นมา ผมไม่ไปดูก็ได้นะ และเร็วกว่าความคิดผม เสียงพี่ศรีก็เอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ ต้องไป ยมทูตทุกคนต้องรู้จักทุกส่วนของนรก พวกพี่แค่เรียกเคียวมาเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินเฉย ๆ แต่เราจะไปห้องที่มันอันตรายน้อยที่สุดและวิญญาณเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรเราได้”
ทำเอาผมไม่กล้าพูดอะไรต่อเลย พวกเราเดินมาทางด้านขวาของลิฟต์ ไกลพอสมควรก่อนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
“เอาล่ะ เข้าไปกัน”
ทันทีที่ประตูถูกเปิด ผมรีบเอามือปิดจมูกทันที กลิ่นคาวเลือดชวนอาเจียนคลุ้งไปทั่วห้อง ผมแทบจะเบือนหน้าหนีกับสิ่งที่เห็น ห้องแห่งนี้เป็นเหมือนห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่โรงพยาบาลธรรมดา พี่สิงห์บอกผมว่า มันเป็นนรกของผู้หญิงที่ทำแท้งลูกตัวเองหลายครั้งด้วยกัน เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาไม่หยุด ภาพเบื้องหน้าของผมคือผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงหยั่งขา แล้วมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมากมายทางการแพทย์กำลังลอยไปลอยมาเหมือนมีหมอมาจัดการอยู่
และแล้ว ภาพที่ผมหวาดกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น คีมที่ลอยอยู่คีบหัวเด็กตัวเท่าฝ่ามือออกบนถาด เลือดไหลเยิ้มเต็มไปหมด ผู้หญิงคนนั้นน้ำตาไหล ร้องไห้ไม่หยุด กรีดร้องจนเหมือนคนบ้า จากนั้นไม่นาน เด็กที่ตัวเท่าฝ่ามือก็ค่อย ๆ ขยับตัว แล้วคลานกลับเข้าไปในตัวผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ... กระบวนการนี้ดำเนินต่อไป ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ผมไม่ไหวแล้ว ผมหันหลังวิ่งออกไปจากห้อง โดยไม่สนใจฟังเสียงร้องเรียกของพี่ทั้งสอง มันน่าหดหู่ น่าหดหู่เหลือเกิน ผมคงจิตตกไปอีกหลายวัน ผมปิดประตูดังปั้ง ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงกับกำแพงตรงข้ามกับประตูนรกนั่น ไม่นานประตูบานนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ก่อนที่พี่สิงห์และพี่ศรีจะออกมาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างผม
“คีย์ คีย์ต้องเข้าใจนะ ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมา มันมีเหตุและผล หน้าที่ที่พวกเรากำลังทำอยู่ก็เหมือนเป็นกรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีใครรู้หรอก ว่าทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ ส่วนคนพวกนั้น เขาทำอะไรไว้ เขาก็ต้องได้สิ่งนั้นตอบแทน” พี่ศรีพูดขึ้นเบา ๆ
“ใครเป็นผู้คุมชั้นนี้ครับ” ผมหันไปถามพี่สิงห์เบา ๆ ผู้คุมนรกชั้นนี้ต้องจิตตกสุด ๆ แน่ถ้าต้องมาพบเจออะไรแบบนี้ตลอดเวลา
“นรกชั้นนี้ไม่มีผู้คุมหรอก ทุกห้องต่างมีการชดใช้กรรม ในรูปแบบที่ตัวเองทำ มันเป็นบาปกรรมที่เลวร้ายที่สุดที่พวกเขาได้ทำเอาไว้ คีย์ต้องไปดูอีกห้องนะ ท่านพญายมราชสั่งเอาไว้”
“ขอเวลาผมอีกแปบหนึ่งนะครับ”
มันหมดแรงจริง ๆ ชั้นที่ผ่านมาเทียบอะไรไม่ได้กับชั้นนี้เลย ชั้นก่อน ๆ ผมรู้สึกถึงความทรมานของดวงวิญญาณ ความหวาดกลัว แต่สำหรับชั้นนี้ มันมากกว่านั้น มันหดหู่ โดดเดี่ยว สิ้นหวัง ท้อแท้ หลากหลายอารมณ์ จนผมรู้สึกว่าดวงวิญญาณพวกนั้น อาจกลายเป็นบ้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ประตูของห้องถัดไปถูกเปิดออก เสียงร้องโอดโอยพร้อมกับเสียงสุนัขเห่าดังไปทั่ว ห้องนี้เป็นห้องของชายคนหนึ่งที่ชอบทรมานสัตว์เลี้ยงของตนเอง ที่นี่เป็นเหมือนห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง พวกเราเดินลงมาทางบันไดหลังจากเปิดประตูบานนี้ กลิ่นเหม็นอับและกลิ่นคาวเลือดโชยมาแต่ไกล มีเพียงไฟสลัว ๆ จากหลอดนีออนดวงเดียว ที่ให้แสงสว่างกับที่นี้ ภาพที่อยู่ตรงหน้าผมมันน่าเวทนามาก
ชายร่างอ้วนคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ในกรงสุนัขที่เล็กจนแทบจะขยับแขนขาไม่ได้ สุนัขสามสี่ตัวทั้งเห่า ทั้งกัดเขาอยู่รอบกรง เนื้อส่วนที่เลยลูกกรงออกมา ถูกกัดจนแผลเน่าเฟะ น้ำเหลืองไหลย้อย ทั้งหนอน ทั้งมดแดงไต่เต็มไปหมด
“ปล่อยกู ! ปล่อยกู ! ไอ้หมาบ้า โอ๊ย !”
ชายคนนั้นร้องราวกับคนบ้า ตาเหลือกโพลง เขาไม่รู้สึกถึงการมาของพวกเราด้วยซ้ำ ผมรู้สึกอยากจะอาเจียนเต็มที จึงขอตัวออกมาทั้งที่อยู่ในห้องนั้นไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ ผมนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ หลังจากกลับขึ้นมาที่ชั้นหนึ่งของตึกนรก มันหดหู่ มันเครียด ความรู้สึกหลากหลายมันเทเข้ามา
นี่ไม่ใช่หนังหรือภาพยนตร์สยองขวัญ นี่คือเรื่องจริง มันเลวร้ายมาก ผมไม่รู้ตัวว่านั่งตรงโซฟาอยู่ที่ชั้นหนึ่งอยู่นานเท่าไร ไม่รู้ว่าพี่สิงห์กับพี่ศรีออกไปเมื่อไรด้วย ผมสติหลุดจริง ๆ รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเหมือนโซฟาข้างตัวยุบลงจากน้ำหนักของใครบางคน ผมจึงหันไปมอง ท่านพญายมราชนั่นเอง
“คีย์ สิ่งที่นายเห็นมันคือความโหดร้ายของมนุษย์ นายเพิ่งเกิดมาแค่ 18 ปีบนโลก อาจจะยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ แต่เชื่อเถอะ ชีวิตบนนั้นมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นหรอก เมื่อนายเปลี่ยนสถานะตัวเองจากมนุษย์ นายจะมองเห็นอะไรที่มันมากขึ้น กว้างขึ้นกว่าเดิม หน้าที่ของพวกเราสามารถเศร้าได้ หดหู่ได้ แต่จงเรียนรู้มัน และเข้าใจมัน ใช้ชีวิตของนายในฐานะยมทูตให้มีความสุขที่สุด”
คำพูดของท่านพญายมราชฉุดให้ผมคิดอะไรหลายอย่าง ก็จริงอย่างที่ว่า โลกมันไม่ได้มีแค่ด้านเดียว มันมีทั้งด้านดี ด้านไม่ดี เราต้องรู้จักมองมันให้เป็น และอยู่กับมันให้ได้
“ครับ ผมจะพยายาม” ผมพูดพร้อมกับยิ้ม แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่ดูพยายาม แต่ผมก็จะทำมันให้เต็มที่
“นายพร้อมจะกลับไปเจอเพื่อน เจอครอบครัวนายหรือยัง ?”
“เดี๋ยวครับ ผมยังไม่รู้เลย ว่าพอผมขึ้นไป ต้องทำอะไรบ้าง”
ท่านพญายมราชถอนให้ใจเฮือกใหญ่ ก่อนยื่นหนังสือเล่มหนาอันหนึ่งให้ผม ผมก้มมองหนังสือที่หยิบมา หน้าปกเขียนว่า ‘คู่มือยมทูต’
“ว่าละ ศรีสอางค์กับสิงหราชบอกฉันว่า หลังจากนายขึ้นมา ทั้งสองคนสอนอะไร พูดอะไรด้วย นายก็ ครับ ๆ อย่างเดียว แต่ไม่ได้เข้าใจที่พวกเขาพูดเลยใช่ไหม”
ไม่ได้ไม่เข้าใจ ผมสติหลุดจนไม่รับรู้อะไรแล้วต่างหาก
“วิญญาณของคนตายจะมาหานายเอง เขาจะผ่านร่างนายเข้ามาเพื่อลงมายังนรก พูดง่าย ๆ นายคือประตูทางเชื่อมระหว่างนรกกับโลก แต่จะมีอีกเคสหนึ่งที่วิญญาณไม่ยอมมา นายต้องไปจับพวกเขามา ฝ่ายทะเบียนจะติดต่อนายไปเอง ว่าบริเวณพื้นที่ของนาย มีวิญญาณดวงไหนที่ไม่ยอมมาหานาย แล้วนายต้องไปจัดการ หาวิธีใช้เคียวของนายให้ได้ ไม่มีใครสอนหรอก ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยากรู้อะไร ดูในคู่มือเอา อีกอย่าง เรื่องนายเป็นยมทูต ปิดไว้เป็นความลับห้ามบอกใครเด็ดขาด”
ท่านพญายมราชพูดอะไร เกี่ยวกับกฎอีกยาวเหยียด ซึ่งผมจับใจความได้แค่นี้
“จริง ๆ หน้าที่ยมทูตไม่จำเป็นต้องลงมายังนรกก็ได้ นายสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์ปกติ แต่ถ้านายอยากลงมา ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ เพียงแค่ตั้งสมาธิและนึกถึงที่นี่ เอาล่ะ ร่างนายบนโลกหลับไปหลายวันละ ถึงเวลาที่ต้องกลับไปเสียที”
ผมยังไม่ทันจะอ้าปากถามอะไรต่อ แสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นบริเวณใต้เท้าผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาล ที่ดูดผมลงไป
อ๊าก ! ผมร้องโวยวาย ความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงยังไงอย่างงั้น ขากลับนี่ กลับแบบตอนมาไม่ได้เหรอ … แล้วภาพสุดท้ายที่ผมเห็นจากนรก คือใบหน้าที่เล็กนิดเดียวของเด็กมัธยมต้นผู้มีดวงตาสีแดงก้มมองลงมา ก่อนจะกลายเป็นจุดสีขาวเล็ก ๆ แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำสนิท
“หวังว่านายจะอยู่ทำงานจบครบกำหนดนะ อย่าให้เป็นเหมือนอีกหลายคนเลย” พญายมราชเอ่ยขึ้น ก่อนแสงสีแดงจะหายวับไปจากพื้น
ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าคนคนนั้นจะได้ยินหรือเปล่า