เคียวที่ 4 : ทัวร์นรก (Part 1)
ติ๊ง …
ชั้นพิพากษา ยินดีต้อนรับค่ะ Welcome to the Courtroom
เสียงของลิฟต์ดังขึ้น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก ผมจำได้แม่น เจ้าของเสียงพูดต้องเป็นพี่ขวัญแน่ ๆ ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ ผมงี้ถึงกับไม่มีทางเดิน #มีความใหญ่โต #มีความโอ่อ่า #มีความคนมหาศาล ต่างจากชั้นหนึ่งลิบลับ ที่มีพี่ขวัญอยู่แค่คนเดียว
พวกเราเดินผ่านผู้คนมากหน้าหลายตาที่ยืนออ เพื่อรอต่อแถวไปที่ไหนสักที่ บางคนก็ดูดี บางคนก็เลือดโทรมกาย ท่านพญายมราชเดินนำหน้าผมไปเรื่อย ๆ จนเรามาถึงหน้าประตูสีทองบานใหญ่
ผมเดินเข้าไปก็พบว่าข้างในมีลักษณะคล้ายกับศาลบนโลกเลย เป็นห้องขนาดใหญ่มาก ผมคิดว่าจุคนได้หลายร้อยคน ตรงด้านหน้าห้องมีบัลลังก์ศาลตั้งเด่นเป็นสง่า มีผู้ชายคนหนึ่งดูอายุไม่ห่างจากผมมากนั่งอยู่ แต่ใบหน้านั้นนิ่งขรึม ราวกับรูปแกะสลักทำให้เพิ่มความน่าเกรงขามเข้าไปอีก ทั้งสองข้างของชายคนนั้นมีที่นั่งวางขนาบ ทางด้านซ้ายมือ มีผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางใจดีอายุราว ๆ สามสิบนั่งอยู่ ในขณะที่ทางด้านขวาว่างไว้ บริเวณกลางห้องมีชายผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ ดูตื่นตระหนกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า แววตาดุของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หันมองมาที่สองบุคคลที่เข้ามาทางประตู ก่อนโค้งหัวลงเล็กน้อย คล้ายทำความเคารพ แล้วลุกจากบัลลังก์ไปนั่งที่นั่งด้านขวามือ
ท่านพญายมราชหันมามองผม ก่อนชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างหลายตัวบริเวณด้านหลังชายที่ยืนอยู่กลางห้อง คล้ายจะให้ผมนั่งรอ ผมไม่อยากเซ้าซี้ถามอะไร จึงเดินไปนั่งเพื่อดูการพิพากษา ตอนนี้ภายในห้องวังเวงพิกล มันเงียบมาก อย่างที่ผมบอก ห้องใหญ่ที่สามารถจุคนได้หลายร้อยคน กลับมีคนแค่ห้าคนเท่านั้นที่อยู่ในห้องตอนนี้ ตอนนี้ท่านพญายมราชได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แล้ว ผมรู้สึกถึงความกดดันมหาศาลมาจากท่านพญายมราช มันมากกว่าตอนที่ชายที่นั่งด้านขวามือได้นั่งบนบัลลังก์อีก
“ชื่ออะไร” เสียงดังกังวานไปทั่วเอ่ยถาม ชายที่ยืนอยู่กลางห้องลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยชื่อและนามสกุลของตนเองอย่างตะกุกตะกัก
“ศรีสอางค์ เจ้าตรวจสอบบุญที่ชายผู้นี้ได้กระทำไว้หน่อย”
โห ชื่อโบราณจัง พี่เขาตายยุคไหนเนี่ย
“ค่ะท่าน”
ผู้หญิงท่าทางใจดีด้านซ้ายมือท่านพญายมราชตอบ ก่อนก้มหน้าลงใช้นิ้วขีด ๆ เขียน ๆ อุปกรณ์บางอย่างคล้ายแท็บเล็ต ไม่นานภาพฉายสามมิติก็ปรากฏขึ้นตรงกลางห้อง เป็นภาพของชายผู้นั้น ตั้งแต่เล็กจนโต เป็นเหมือนวิดีโอที่ถูกเพิ่มความเร็วในการเล่น จนไม่น่าจะมองทัน แต่ผมกลับเห็นทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายผู้นั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย
ดูแล้วคนคนนี้เป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว ชายคนนี้เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่มีความกตัญญู ช่วยเหลือดูแลพ่อแม่ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อชายผู้นี้เติบโตขึ้นก็ได้มีหน้าที่การงานที่เจริญรุ่งเรือง อีกทั้งยังขยันทำบุญ ทำทาน สร้างวัด ปล่อยนก ปล่อยปลา
“เอาล่ะ นายดูเป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว ในชีวิตนี้ เคยทำความผิดอะไรบ้าง”
ชายผู้นั้นส่ายหัวแล้วบอกว่าผมจำไม่ได้
“สิงหราช เจ้าแสดงให้ชายผู้นี้ดูที ว่าเขาเคยทำอะไรไว้บ้าง”
สิงหราช ชื่อโบราณอีกแล้ว สงสัยตายยุคเดียวกับพี่ศรีสอางค์แน่ ๆ สิงหราชพยักหน้าแล้วทำแบบเดียวกัน คือเอานิ้วขีด ๆ อุปกรณ์คล้ายแท็บเล็ตตรงหน้า ก่อนภาพฉายสามมิติจะปรากฏตรงกลางห้องอีกครั้ง
คราวนี้ผมแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น มันตรงข้ามกับภาพที่ผมเห็นก่อนหน้าทั้งหมด ตั้งแต่เป็นเด็ก ชายคนนี้แอบลักเล็กขโมยน้อยมาตลอด อีกทั้งด้วยความที่เป็นคนหัวดี เมื่อมีหน้าที่การงานที่เจริญรุ่งเรืองก็ทำการยักยอกทรัพย์บริษัท และโกงผู้ร่วมงานด้วยหลายคน จนคนเหล่านั้นเดือดร้อนมาก ภาพหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุด ชายผู้นี้ถูกหนึ่งในบุคคลที่ตัวเองโกงยิงตาย ด้วยอายุเพียง 50 ปีเท่านั้น
หลังจากภาพสามมิติตัดจบ ดูชายผู้นั้นอึ้งเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอะไรขึ้นมา
“ทั้งหมดที่ผมทำ ผมทำเพื่อครอบครัว ครอบครัวผมอยากจนมาตั้งแต่เกิด ผมทั้งโดนดูถูก เหยียดหยามสารพัด กว่าจะมีวันนั้นได้ แล้วยังไง ผมก็ทำบุญ สร้างกุศลแล้วไง”
“ความยากจน ไม่ใช่ข้ออ้างในการทำความผิด บุญล้างบาปไม่ได้ !”
เสียงตวาดดังลั่นจนผมสะดุ้ง ชายผู้นั้นหน้าเสีย ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ความโกรธทำให้เกิดออร่าสีแดงแผ่ขยายออกมาจากตัวท่านพญายมราช มันกดดันทุกอย่างให้อยู่ในความตึงเครียด ก่อนจะค่อย ๆ จางหายออกไป
“ข้าได้ตัดสินแล้ว เจ้าจะได้ไปรับกรรมที่นรกชั้น 1”
ไม่รอฟังชายผู้นั้นพูดต่อ แสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นด้านล่างเท้าของชายผู้นั้น เหมือนโดนดูดลงไปที่พื้น ก่อนชายผู้นั้นจะหายไป
ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นจริง ๆ
หลังจากนั้นผมก็นั่งรอดูการพิพากษา คนแล้วคนเล่า ไม่อาจนับได้ เวลาผ่านไปจนผมรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่เห็น คนบางคนถ้าดูจากความดีที่เขาทำ เทียบไม่ได้เลยกับความชั่วที่ได้กระทำมากกว่า ทุกคนมีเหตุผลในการทำความผิดทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัว มักจะอ้างว่าทำเพื่อครอบครัว ทำเพื่อคนอื่น ทั้งที่จริงก็ทำเพื่อตนเองทั้งนั้น
ในที่สุดเวลาที่ผมรอก็มาถึง หลังจากพิพากษาวิญญาณดวงสุดท้ายเสร็จ ทั้งสามคนก็เดินตรงมาที่ผม ซึ่งบรรยากาศเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว
“โย่ว ว่าไงไอ้น้อง เด็กใหม่สิเรา”
ช็อกครับ คนที่พูดประโยคนี้ คือคนคนเดียวกับคนที่ตีหน้าขรึมนั่งด้านขวาท่านพญายมราชจริงเหรอ
“แหม ส่วนเรื่องชื่อพี่อะ พี่ว่าจะเปลี่ยนชื่อตัวเองตั้งนานแล้ว แต่พี่ว่าชื่อนี้ก็เพราะดีออก”
ตามมาด้วยเสียงของพี่ศรีสอางค์ กำแล้ว นี่เขาได้ยินทุกอย่างที่เราคิดเลยเหรอเนี่ย
“ก็ใช่น่ะสิไอ้น้อง เมื่อก่อนพี่ก็เป็น ตอนลงมาทำงานใหม่ ๆ นินทาบอสของเราไว้เยอะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เพียะ ! และแล้วมือวันพีชของท่านพญายมราชก็ยืดมาตบหัวพี่สิงหราช
“พวกเจ้าสองคนพาเด็กใหม่นี่ไปทัวร์ต่อเลย ข้าเหนื่อยละ”
“ค่ะ/ครับ บอส”
ผมแนะนำตัวอะไรไปนิดหน่อย ก่อนพี่ทั้งสองคนจะพาไปทัวร์ที่อื่นต่อ ซึ่งผมก็ได้ข้อมูลอะไรมาเยอะมาก ชั้นห้าของตึกนรกจะเป็นที่พักของพวกเรา เป็นเหมือนห้องในโรงแรมสุดหรูที่ผมโคตรชอบ ไม่ต่างอะไรจากชั้นสี่ที่เป็นห้องอาหารที่มีอาหารทุกชาติให้เลือกรับประทาน ผมก็เลยได้รับพลังงานมาเยอะพอสมควรเลย ส่วนชั้นสามเป็นฟิตเนส ให้พวกเราได้ออกกำลังกาย คลายเครียด ในโซนของชั้นสองเป็นห้องทะเบียนขนาดใหญ่ ที่รวบรวมรายชื่อของคนที่เกิดและตายในประเทศไทย รวมถึงฐานข้อมูลต่าง ๆ ทั้งบุญกรรม ภพภูมิเก่า ภพภูมิที่จะไปเกิดใหม่
ชั้นนี้มีผู้ดูแลแค่คนเดียว ซึ่งผมทึ่งมาก เพราะปริมาณข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องดูแลมันเยอะจริง ๆ แล้วคนดูแลก็เป็นแค่คุณลุงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกันเองมาก แกบอกว่าแกเพิ่งมาทำงานใหม่ที่นี้ได้แค่ 50 ปีเอง เอ่อ นั่นก็นานแล้วครับ แต่พี่ศรีกับพี่สิงห์ ชื่อเล่นของพี่ทั้งสองคนครับ พวกพี่แกบอกเรียกสั้น ๆ ก็ได้ ทำงานมานานกว่าลุงแกอีกครับ 100 กว่าปีแล้ว
หลังจากนั้นพี่ศรีกับพี่สิงห์ก็พาผมลงไปที่ชั้นศูนย์ ชั้นนี้ทำเอาผมตะลึงมากครับ นี่มันห้องสมุดที่ฮอกวอร์ตหรือเปล่า ทำไมมันดูอลังการขนาดนี้ ภายในห้องเป็นลักษณะทรงกลมที่มีชั้นหนังสืออยู่รอบแล้วก็มีบันไดวนขึ้นไป เมื่อเงยหน้าขึ้นไปข้างบน คุณแทบจะไม่เห็นเลยว่าชั้นหนังสือนี้มันจะไปสิ้นสุดที่ใด
“คีย์ ชั้นนี้สำคัญกับหน้าที่ยมทูตมาก เพราะจะรวมเรื่องราว พฤติกรรมต่าง ๆ ของวิญญาณทั่วโลก การตายของคนแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ซึ่งมันจะส่งผลต่อดวงวิญญาณ ถ้าตายแบบปกติก็ง่าย แต่ถ้าเจอเคสที่แปลกประหลาด วิญญาณบางดวงก็อาจมีพลังอำนาจเท่ายมทูตก็เป็นไปได้”
หืม ขนาดนี้เลยเหรอ ผมทำหน้าอึ้ง หลังจากฟังพี่ศรีพูด
“แต่ส่วนมากเราก็เจอแบบปกตินี่แหละ พี่ยังอยากลาออกจากการเป็นสุวานเลย ขี้เกียจตีหน้าขรึม จริง ๆ แล้วงานยมทูตสบายจะตาย ยมทูตแค่เป็นทางผ่านให้วิญญาณมายังโลกนี้ นี่ถ้าไม่นับยมทูตคนนั้นมัน …” พี่สิงห์ยังไม่ทันพูดจบ มือของพี่ศรีก็มาตะครุบปากพี่สิงห์ไว้ ผมมองหน้าถาม ประมาณว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอ
“ไม่มีอะไรหรอกคีย์ สิงห์มันก็พูดไปเรื่อย เพ้อเจ้อ”
แบบนี้มันมีแน่ ๆ แต่ชั่งเถอะ ผมเป็นคนไม่ขี้เผือกอยู่แล้ว
“เออ อาวุธสำคัญของยมทูต คีย์รู้ใช่ไหมคืออะไร”
ผมทำหน้างง ต้องมีอาวุธด้วยเหรอ
“โธ่ ท่านพญายมราช นี่กะจะให้พวกเราสอนงานทุกอย่างเลยหรือไง” พี่สิงห์บ่นเบา ๆ
“เคียวไง คีย์ ไหนคีย์ลองใช้จิตเรียกเคียวของคีย์ออกมาสิ”
งงหนักกว่าเดิม พี่สิงห์กับพี่ศรีถอนหายใจ ก่อนทั้งสองคนจะหลับตา แสงสีแดงปรากฏขึ้นบนมือของทั้งสองคน ก่อนเกิดเป็นรูปร่าง เป็นเคียวด้ามยาวขึ้นมา แต่รูปร่างต่างกัน ของพี่สิงห์จะมีขนาดใหญ่กว่าดูอันตรายกว่า ในขณะที่เคียวของพี่ศรีเรียวบางไม่ค่อยโค้งมีลักษณะคล้ายหอก
“เอ่อ ผมต้องทำยังไงอะครับ”
ผมจนปัญญาจริง ๆ หลังจากที่หลับตา ลืมตามาหลายรอบ
“คีย์ต้องมีสมาธิ จินตนาการเคียวของคีย์เองว่ามันหน้าตาเป็นยังไง แล้วมันจะปรากฏขึ้นมาบนมือ” พี่ศรีบอก ผมทำตามที่พี่เขาบอกอีกหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
“โอเค ไม่เป็นไร คีย์ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลา คงไม่เจอเคสที่มันหนักหน่วงเร็ว ๆ นี้หรอก” พี่สิงห์พูดขึ้นเหมือนยอมแพ้ ซึ่งผมก็ยอมแพ้เหมือนกัน
“งั้นเราไปชั้นที่ถูกเรียกว่านรกจริง ๆ กันเถอะ คีย์ทำใจให้ดี ๆ นะ ทานอาหารมาเยอะ อย่าให้เสียของละ เราเริ่มจาก hell 1 ไป 3 ละกัน”
ผมงี้ไปไม่เป็นเลย โดนขู่ซะขนาดนี้ เอาวะ นี่ใคร นี่นายคิรากรนะ !
ติ๊ง … เสียงลิฟต์เปิดขึ้น ไม่มีเสียงต้อนรับเหมือนทุกชั้นที่ผ่านมา เสียงที่ผมได้ยินเสียงแรกคือเสียงคนกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ผมแทบไม่อยากจะเดินออกไปจากลิฟต์เลย มันเหมือนเราหลุดออกมาจากโรงแรมห้าดาว ไปยังสถานที่ที่โคตรจะเลวร้าย ทันทีที่ก้าวแรกของผมเหยียบพื้นนอกลิฟต์ ผมถึงกับต้องก้มลงมอง มันเป็นดินที่แตกระแหงเหมือนขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยมีน้ำหยดลงบนนี้เลย ดูจากบรรยากาศแล้วที่นี่คงร้อนมาก ๆ แต่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย
พี่สิงห์กับพี่ศรีเดินนำผมไปจนถึงสะพานไม้อันหนึ่งดูใกล้จะพังเต็มที แต่มันไม่ใช่สะพานข้ามแม่น้ำ มันเป็นสะพานข้ามทะเลเพลิงขนาดใหญ่ ที่มีดวงวิญญาณนับร้อยนับพันอยู่ในนั้น ตะเกียกตะกาย จะปีนขึ้นแล้วก็ตกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลิ่นเนื้อไหม้คลุ้ง ตลบอบอวลจนผมแทบจะอาเจียน ผมรีบจ้ำเดินผ่านสะพานบ้านั้น ตามพี่ทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว
“หึ เป็นไงล่ะ นี่แค่ด่านแรกนะ”
ผมงี้หน้าซีดไปหมดแล้ว ใครมันจะไปชินเห็นอะไรแบบนี้ครั้งแรก
ถัดจากที่พวกเราข้ามสะพานนั้นมา ผมก็เห็นอะไรบางอย่าง เดี๋ยว นั่นมันไมโครเวฟขนาดยักษ์ ที่ตั้งอยู่หลายอันนี่นา มีคนอยู่ข้างในหลายร้อยคน ด้านหน้าไมโครเวฟยักษ์อันหนึ่ง มีชายวัยกลางคนทำหน้าเบื่อโลกยืนอยู่
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะเฮีย” พี่สิงห์ กับพี่ศรีเอ่ย ผมเลยยกมือไหว้ตาม
“เป็นไงมาไงกัน ถึงมานี่เนี่ย สิงห์ ศรี อ่อ พาเด็กใหม่มาทัวร์เหรอ” ชายวัยกลางคนพูด หันมามองผมแบบไม่สนใจเท่าไร
“ใช่ครับ” พี่สิงห์ตอบ
“อ่า ๆ เด็กใหม่ใช่ไหมเรา มานี่ ๆ กดตรงนี้ แล้วดู”
ผมว่าผมโดนแกล้งเข้าให้แล้ว ชายวัยกลางคนดึงผมไปกดปุ่มบริเวณไมโครเวฟยักษ์ กระจกใสด้านหน้าไมโคเวฟทำให้ผมเห็นคนที่อยู่ข้างในได้ชัดเจน ผมเริ่มถอยห่างออกมาจากกระจกตรงนั้นเมื่อมันเริ่มทำงาน ถ้าคุณนึกถึงไมโคเวฟที่บ้านคุณแล้วจินตนาการว่ามันจะเป็นยังไง คุณจะเข้าใจ หลังจากที่ผมกดไม่นาน คนข้างในก็เริ่มทำน่าหวาดกลัว
จานไมโครเวฟที่มีคนอยู่บนนั้นเริ่มหมุน แสงไฟสีอ่อนสาดส่องไปทั่วบริเวณภายใน หลักการของไมโครเวฟคือการทำให้โมเลกุลของน้ำสั่นจนเกิดความร้อน แล้วในร่างกายมนุษย์มีน้ำมากกี่เปอร์เซ็นต์ ทุกคนลองคิดดู มันจะทรมานแค่ไหนถ้าน้ำในร่างกายเราเดือดจัดขนาดนั้น
แผละ !
เศษชิ้นเนื้อหลังจากระเบิด กระเด็นมาติดที่หน้ากระจกไมโครเวฟ ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป เบือนหน้าหนี แล้วปล่อยของที่เพิ่งทานไปไม่นานพุ่งออกทางปาก หลังจากนั้นไม่กี่นาที เศษชิ้นเนื้อทั้งหลายเหมือนจะกลับมาประกอบร่างรวมกันกลายเป็นคนอีกครั้ง นี่มันหนักกว่าหนังสยองขวัญเรื่องไหน ๆ ที่ผมเคยดูอีก พี่ศรีเดินมาลูบหลังผมพร้อมปลอบใจ
“ใหม่ ๆ ก็อย่างงี้แหละคีย์ เดี๋ยวก็ชิน พี่เตือนแล้วว่าอย่ากินเยอะ”
“เฮียก็ ไปแกล้งน้องมัน น้องมันยังใหม่อยู่” พี่สิงห์ต่อว่า
“ฮ่าฮ่า ข้าเบื่อนี่หว่า ปีนี้ปีสุดท้ายสักที ข้าจะได้ไปอยู่ภพภูมิใหม่ เบื่อหน้าที่นี้จะตายอยู่แล้ว ขอโทษละกันพ่อหนุ่ม”
ผมผงกหัวหงึกหงัก ไม่มีอารมณ์ที่จะพูดอะไรทั้งนั้น
“จริง ๆ มันมีเครื่องปั่นอยู่อีกนะ คีย์อยากจะไปดูไหม”
ผมส่ายหัวอย่างรุนแรง มองไปยังสิ่งที่คล้ายกับเครื่องปั่นน้ำผลไม้ยักษ์ ที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไปอีกสองสามกิโลเมตร เห็นไกล ๆ ท้องไส้ก็ปั่นป่วนอีกแล้ว
“เราเลิกใช้พวกต้นงิ้ว กับเทน้ำมันเดือดกรอกปากมานานแล้ว คนทำความผิดเดี๋ยวนี้มันเยอะเกินไป เจ้าหน้าที่เราก็ไม่มี”
ผมพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจที่พวกพี่เขาพูดอธิบาย แล้วพูด ครับ ๆ ไปเรื่อย ตอนนี้สติผมหลุดไปเรียบร้อยแล้ว
“งั้นเราลงไปชั้นที่ต่ำกว่านี้เถอะ”
ผมงี้แทบจะกราบอ้อนวอนทันทีที่พี่ศรีพูดจบ ไว้ไปพรุ่งนี้หรือวันอื่นได้ไหม แต่ไม่เป็นผล พี่ทั้งสองบอกเป็นคำสั่งของท่านพญายมราชให้พาไปให้ครบถึงชั้นล่างสุด ผมจึงขอเวลาทั้งสองคนทำใจอยู่พักใหญ่ ก่อนเดินตามกลับไปที่ลิฟต์ตัวเดิม