ตอนที่แล้วเคียวที่ 15 : วันปล่อยผี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 17 : รับน้องนอกสถานที่

เคียวที่ 16 : Midterm นรก


วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

หลังผ่านวันปล่อยผีที่ผมโดนสวดจนหูชาหลังเลิกงานเลี้ยงฉลองไอ้ชาบู ที่มันดันไม่รู้กาลเทศะไปเล่นหัวท่านพญายมราช สองอาทิตย์ให้หลังก็กลายเป็นสัปดาห์นรกของนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย เพราะมันคือสัปดาห์สอบมิดเทอมนั่นเอง

ผมและผองเพื่อนตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในหอสมุดของมหาวิทยาลัย ที่มีใยไหมเป็นคนติวเนื้อหาวิชาแคลคูลัส ที่จะสอบในอีกสองวันข้างหน้าให้กับทุกคน

“ชาฉันเพิ่งสอนแกไปเมื่อกี้เอง ข้อนี้ต้องอินทิเกรตแบบบายพาส” ใยไหมพูดพร้อมฟาดหัวไอ้ชาไปหนึ่งป้าบ เมื่อก้มลงไปดูวิธีทำที่ชาบูได้คำนวณไว้

“โอ๊ย เจ็บนะ ก็มันมีตั้งหลายวิธี ใครจะไปจำได้ล่ะเจ๊” เจ้าตัวกล่าวแล้วเอามือลูบหัวตัวเอง

“คีย์กับอิฐยังจำได้เลย ครีมด้วยใช่ปะ”

“ครับ ผมมันโง่เอง ขอโทษครับ”

“ไม่ต้องมาประชด ทำใหม่เลย” ใยไหมดุ

“เบา ๆ หน่อยพวกมึง เดี๋ยวโดนด่า กูเห็นป้าเขาจ้องพวกมึงอย่างกับจะกินหัวมาสักพักละ” ผมเตือนพวกมันเมื่อเห็นว่าเสียงชักจะเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับสายตาของบรรณารักษ์ห้องสมุดที่จ้องเขม็งมายังโต๊ะของกลุ่มพวกเรา

“เพราะแกคนเดียวเลย ไม่น่าใช้แกมาจองเลย อดเข้าไปใช้ห้องสัมมนากลุ่มย่อยเลย” ใยไหมพูด

ห้องสัมมนากลุ่มย่อยภายในหอสมุดเป็นห้องย่อยเล็ก ๆ สำหรับนักศึกษาที่ต้องการใช้พื้นที่ส่วนตัว หรือพูดคุยเฉพาะกลุ่ม จุคนได้ประมาณ 5-8 คน แต่เนื่องจากพวกเราพลาดมาจองช้า ห้องจึงถูกใช้ไปจนหมด

“อ้าว ชาไม่ผิดนะเจ๊ นู่น โทษไอ้คีย์นู่น มัวแต่คุยไลน์กับพี่ฟอง ใช่ปะไอ้อิฐ”

นั่น กูโดนอีกแล้วไง ... ตอนนี้ผมกับพี่ฟองอยู่ในสถานะจีบกันอย่างเป็นทางการ ช่วงนี้เลยคุยกันบ่อยเป็นพิเศษ

“เดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมพูดก่อนรีบผละตัวออกมาทันที เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะโดนบ่นเป็นเป้าหมายต่อไป

ระหว่างทางไปห้องน้ำ รอบบริเวณต่างเต็มไปด้วยกลุ่มนักศึกษาที่เข้ามาใช้บริการในห้องสมุด ที่มุมอับสายตามุมหนึ่ง ร่างของนักศึกษาชายใส่แว่นคนหนึ่ง กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น มันจะไม่แปลกเลย ถ้าผมไม่สังเกตเห็นว่าร่างของชายคนนั้นโปร่งแสง ซึ่งถ้าคนปกติมองไปยังตรงนั้นจะเห็นหนังสือเล่มหนึ่งกำลังพลิกหน้าไปมาด้วยตัวเอง คงจะตกใจน่าดู

... คนคนนี้ ไม่ใช่คนนี่หว่า

ผมเดินตรงเข้าไปหาชายคนนั้น ทำไมถึงมีวิญญาณมาอยู่ที่ห้องสมุดได้ล่ะเนี่ย

“คุณ” ผมทักไป หลังจากหันซ้ายหันขวาพบว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น

“เรียกผมเหรอ” วิญญาณนักศึกษาใส่แว่นคนนั้นหันหน้ามาหาผมพร้อมชี้ไปที่ตัวเองก่อนพูด

“ใช่ เรียกคุณนั่นแหละ”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เจ้าตัวทำหน้าสงสัยเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังถามออกไป

“ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้”

“ก็มาอ่านหนังสือเตรียมสอบไงครับ”

คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมอึ้งไปเลย จะมาเตรียมสอบยังไง ในเมื่อตัวเองตายกลายเป็นวิญญาณไปแล้วเนี่ย วิญญาณดวงนี้ต้องไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วแน่ ๆ

“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองตายไปแล้ว คุณเป็นวิญญาณ” ผมถอนหายใจก่อนพูดออกไป

“นี่พูดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย”

นั่น มีหงุดหงิด ไม่รู้ตัวเลยสักนิด เมื่อเห็นเจ้าตัวทำท่าเหมือนไม่เชื่อว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว ผมก็หยิบหนังสือแถวนั้นบนชั้นหนังสือมาเล่มหนึ่ง ก่อนแกว่งมันไปที่แขนของชายคนนั้น ให้เห็นภาพว่าหนังสือมันทะลุผ่านแขนเขาไปมาอยู่ ที่ใช้หนังสือไม่ใช้ตัวเองสัมผัส ก็เพราะว่าร่างกายผมสามารถสัมผัสเขาได้โดยตรง เนื่องจากยมทูตสามารถสัมผัสวิญญาณได้ นั่นอาจทำให้เขาไม่เชื่อ

“บ้า ! เป็นไปได้ไง ผมจะตายได้ยังไง แล้วทำไมผมถึงสัมผัส ถึงเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านได้ล่ะ” เขาพูด ดูตกใจเป็นอย่างมากในสิ่งที่ผมทำ

“วิญญาณถ้ามีความเชื่อมั่นมาก ๆ ก็สามารถทำให้ตัวเองมีพลัง จนเคลื่อนย้ายสิ่งของได้แหละครับ ซึ่งตอนที่คุณหยิบหนังสือมาอ่าน คุณเชื่อว่าตัวเองยังไม่ตาย คุณจำเรื่องก่อนที่ตัวเองจะตายไม่ได้เหรอครับ” ผมถามออกไป

“ผมไม่รู้ ผมจำได้แค่ว่า ผมเพิ่งจะมาอ่านหนังสือสอบที่นี่เมื่อไม่นาน ส่วนก่อนหน้านั้น ...”

“เฮ้ยไอ้คีย์ มาทำไรตรงนี้วะ”

เสียงเรียกขึ้นมาทางด้านหลังทำให้ผมหยุดความสนใจตรงหน้าไว้แค่นั้น ไอ้อิฐกำลังเดินตรงมาที่ผม

“เปล่า ๆ กูแค่มาหาหนังสืออะไรนิดหน่อย” ผมบอกมันไป ก่อนหยิบหนังสือที่วิญญาณอ่านอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ไอ้อิฐเดินเข้ามาใกล้ ก่อนหยิบหนังสือในมือผมไปดูหน้าปก

“atlas of anatomy เดี๋ยว ๆ ได้ข่าวมึงเรียนวิศวะนะไอ้คีย์”

นั่นไง ...

“อ่อ กูหยิบมาดูเฉย ๆ อะ แล้วมึงอะ มาทำไรแถวนี้”

แถซิครับรออะไรอยู่

“กูจะออกไปซื้อของมากินเล่นอะ”

ดีนะที่ไอ้อิฐมันเป็นคนไม่ค่อยขี้สงสัยอะไรมาก บอกอะไรไปก็เชื่อไปซะทุกอย่าง

“เขาห้ามเอาของกินเข้ามาไม่ใช่เหรอวะ” ผมพูดออกไป ห้องสมุดใครเขาให้เอาของกินเข้ามาวะเนี่ย

“เออน่า อยากกินไรปะ เดี๋ยวกูซื้อมาเผื่อ”

“เอาอะไรก็ได้” ผมตอบไปส่ง ๆ

“เค ๆ”

พูดจบเจ้าตัวก็หันหลังเดินกลับไปที่ลิฟต์ของหอสมุดที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไรนัก ผมหันกลับไปมองวิญญาณดวงนั้นอีกที เขาก็หายไปแล้ว

“ง่วงแล้วอะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหม ตีหนึ่งแล้ว”

ป๊อกกี้ชิ้นสุดท้ายในกระเป๋าเป้ไอ้อิฐเข้าไปอยู่ในปากไอ้ชา ก่อนมันจะพูดประโยคนี้ขึ้นมา สุดท้ายไอ้อิฐก็ลักลอบเอาขนมเข้าห้องสมุดและแอบมานั่งกินกันได้สำเร็จ โชคดีที่ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในห้องสัมนาย่อยเพราะกลุ่มที่แล้วออกไปกันตอนห้าทุ่ม เราจึงได้เขามานั่งในนี้กันต่อ ซึ่งพอมาอยู่ในนี้ ก็ไม่ค่อยเป็นที่จับตามองจากบรรณารักษ์เท่าไร

“งั้นพรุ่งนี้ 10 โมงเช้าเจอกันใหม่ละกัน เหลือเวลาอีกวันเดียว สู้ ๆ ทุกคน” ไหมพูดออกมา ดูจากสภาพแต่ละคนสมองตอนนี้คงจะรับความรู้มาจนล้นไม่มีที่เก็บเลย

“เค ๆ ขอบใจมากไหม”

“เจอกัน ๆ”

พวกเราลากัน นัดเจอกันพรุ่งนี้อีกที ก่อนต่างคนจะแยกย้าย ครีมกลับกับไหม ส่วนไอ้อิฐ ไอ้ชา กลับรถของผม

“พวกมึง กูว่ากูทำกุญแจห้องตกไว้ข้างบนว่ะ เดี๋ยวขึ้นไปหาแปบ”

หลังจากลงลิฟต์มาชั้นล่าง ผมก็ทำท่าล้วงกระเป๋ากางเกง แกล้งลืมกุญแจ ผมยังมีเรื่องคาใจกับวิญญาณดวงนั้นอยู่ เลยคิดว่าจะขึ้นไปเจออีกครั้ง ซึ่งถ้าเขาเข้าใจว่าตัวเองได้เสียชีวิตไปแล้ว จะได้ส่งไปยังอีกโลกหนึ่งได้เลย ไม่ต้องรอให้ถึงตีสาม

“ให้พวกกูขึ้นไปช่วยหาเปล่า” ไอ้อิฐถามขึ้นมา

“ไม่เป็นไรอะ พวกมึงไปรอที่รถเลย” ผมบอก ก่อนกดปิดประตูลิฟต์หลังจากพวกมันได้ออกไปกันแล้ว

เมื่อผมไปถึงที่บริเวณเดิมก็เห็นวิญญาณดวงนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น เจ้าตัวดูเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเอามาก ๆ ถ้าเดาไม่ผิดจากหนังสือที่เขาอ่าน ผมคิดว่าเขาคงเป็นพวกนักศึกษาแพทย์ หรือไม่ก็พวกคณะสายสุขภาพนี่แหละ

“ผมจำเรื่องราวก่อนที่ผมจะตายไม่ได้เลย” ดวงวิญญาณพูดขึ้น เมื่อผมเข้าไปใกล้

“คุณฟังผมนะ ผมเป็นยมทูต ผมจะส่งคุณไปอีกโลกหนึ่งเอง ในขณะที่ผมส่งคุณไป คุณน่าจะจำได้เอง เพราะผมจะเห็นเหตุการณ์และรับรู้ความรู้สึกของคุณก่อนคุณจะตาย ยื่นมือมาซิ” ผมพูด มองซ้ายมองขวาอีกครั้งเมื่อไม่เห็นว่าไม่มีใคร ผมก็ยื่นมือทั้งสองข้างไปหามือของเขา

“ทำไมผมไม่ไปไหนล่ะ” ชายคนนั้นพูด หลังจากยืนนิ่งจับมือกันมาสักพัก จนบรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วน ผมก็ต้องแปลกใจเพราะปกติแล้ววิญญาณจะถูกดูดเข้ามาผ่านตัวผมแล้วหายไปนี่นา

“ผมก็ไม่รู้” ผมตอบไปตรง ๆ มีอยู่กรณีเดียว ที่วิญญาณไม่สามารถไปได้ คือเขายังไม่ปล่อยวาง เหมือนวิญญาณที่หอพักหญิงที่ผมไม่สามารถส่งเขาไปได้เหมือนกันจนกระทั่งได้รับความยุติธรรม

“แต่ก็แปลก ผมไม่เห็นเรื่องราวอะไรสักอย่างก่อนตายของคุณเลย”

“ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น ผมจำได้อย่างเดียวว่าผมมาที่หอสมุดเพื่ออ่านหนังสือสอบ”

“คุณจำได้ไหมว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ผมถามเขาอีกครั้ง

“ก็สี่ห้าชั่วโมงได้แล้วครับ ที่ผมอ่านหนังสือเตรียมสอบไฟนอลอยู่ที่นี่”

“เดี๋ยวนะ ไฟนอลอะไรครับ ช่วงนี้มันสอบมิดเทอม”

ดวงวิญญาณดูตกใจในสิ่งที่ผมพูดออกออกไป เหมือนไม่อยากที่จะเชื่อ

“อะไรนะครับ แล้วเดือนนี้เดือนอะไรครับ ไม่ใช่พฤษภาคมเหรอ”

“ผิดแล้วครับ เดือนนี้มันเดือนตุลาคมแล้วครับ”

การที่วิญญาณคิดว่าเวลาสี่ห้าเดือนที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่สี่ห้าชั่วโมงแสดงว่าเขาต้องจดจ่อกับการอ่านหนังสือขนาดไหนกันเนี่ย

“ผมไม่เข้าใจ ถ้าเวลามันผ่านไปนานขนาดนั้น แล้วทำไมผมถึงอ่านหนังสือไม่ไปถึงไหนเลยล่ะ” เขาพูด คิ้วขมวดจนผูกกันเป็นโบ

“คุณมั่นใจไหมว่าคุณอยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนที่เพื่อนผมมาเจอผม คุณหายไปไหน”

ผมสงสัยเพราะว่าเหมือนจะมีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับช่วงเวลาของเขา

“ผมไม่ได้หายไปไหน ผมแค่กะพริบตาคุณกับเพื่อนก็หายไปแล้ว ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ … ไม่รู้สิ ผมเหมือนได้ยินใครกำลังเรียกผม”

“ผมว่ามันมีเวลาส่วนใหญ่ของคุณที่มันหายไปกับอะไรสักอย่าง”

ผมว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ตลอดเวลาหรอก มันจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ ขณะที่ผมคิดอยู่ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นจนผมต้องหยิบมันออกมารับ เป็นไอ้อิฐนั่งเอง

“เจอยั้งเนี่ยไอ้คีย์ พวกกูยืนรอที่รถจนยุงจะหามอยู่แล้ว” ไอ้อิฐพูดสายมา พวกนี้ก็เร่งจัง

“เออ ๆ เจอแล้ว กำลังลงไป รอแปบ”

“พรุ่งนี้ผมจะมาหาคุณอีกครั้ง รอที่นี่นะ ผมต้องไปแล้ว” ผมพูด ดวงวิญญาณดวงนั้นพยักหน้า ผมจึงเดินออกมา

ก่อนออกจากหอสมุด ผมตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่ให้บริการยืมหนังสือ มองหาบรรณารักษ์ที่หน้าตาดูเป็นมิตรที่สุด ก่อนเดินเข้าไปใกล้

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” ผมถามออกไป

“ช่วงสอบไฟนอลเทอมที่แล้วเคยมีคนตายที่นี่ไหมครับ”

“จะบ้าเหรอเธอ มีที่ไหน เอาอะไรมาพูด” บรรณารักษ์ตอบผมกลับมา

“แหะ ๆ ผมก็แค่ได้ยินเขาเล่ามากันน่ะครับ”

“เขาก็เล่ากันไปเรื่อย แต่จริง ๆ เทอมที่แล้วมีคนเกือบตายอยู่ที่นี่แหละ เห็นเขาว่ากันว่าเป็นนักศึกษาแพทย์มาอ่านหนังสือที่นี่เครียดจัด ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อาการกำเริบขึ้นมาจนสลบไปเลยล่ะ”

“จริงเหรอครับ”

“ว่าแต่เธอถามไปทำไม” บรรณารักษ์คนนั้นถามผม

“อ่อ เปล่าครับ พวกเพื่อนผมมันชอบพูดอะไรไปเรื่อยครับ ก็เลยอยากไปบอกว่าไม่เคยมีคนตายที่นี่”

พอได้คำตอบผมก็เดินออกมา ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่ตายแน่ ๆ มิน่า ผมถึงมองไม่เห็นเรื่องราวใด ๆ ก่อนเขาตายเลย

เช้าวันถัดมา ผมผละตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนเพื่อไปบอกสิ่งที่ตัวเองได้รู้มาให้กับดวงวิญญาณดวงนั้น เขากำลังนั่งรอผมอยู่ที่เดิม ในความคิดของผมตอนนี้ ผมคิดว่าร่างของเขาน่าจะนอนอาการโคม่าอยู่ที่ไหนสักแห่งนี่แหละ แสดงว่าวิญญาณใช้เวลาส่วนมากในการอยู่ในร่างตัวเองที่ไม่รู้สึกตัว สลับกับการมาอยู่ที่นี่ เนื่องจากก่อนเขาหมดสติ จิตใต้สำนึกของเขายังคงจดจ่อกับการอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งนี้อยู่ ไม่ได้รู้ตัวว่าร่างของตัวเองได้ไปอยู่ที่อื่นแล้ว

“ผมว่าคุณยังไม่ตายหรอก” ผมบอกเขาไป

“คุณเป็นโรคหลอดเลือดสมองน่ะ อาการคุณกำเริบในวันที่คุณมาที่นี่ สมองคุณคงขาดออกซิเจนจนทำให้เกิดภาวะเจ้าชายนิทรา ผมคิดว่าร่างของคุณต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งแหละ”

เมื่อคืนนี้ผมนั่งเสิร์ชเกี่ยวกับอาการของโรงหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเข้าสู้ภาวะเจ้าชายนิทรา เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้เหมือนกันในกรณีแบบนี้

“จริงเหรอครับ ผม... ผมได้ยินเสียงคนเรียกอีกแล้ว โอ๊ย !” วิญญาณดวงนั้นพูดก่อนเอามือกุมหัวตัวเอง เหมือนเจ็บปวด

“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ หลับตาแล้วนึกถึงเสียงนั้นครับ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเสียงที่ทำให้คุณเข้าร่างได้ โชคดีนะครับ” ผมพูดประโยคนั้นเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนเห็นร่างโปร่งแสงของดวงวิญญาณค่อย ๆ หายไป การที่เขารู้ตัวแล้วว่าเขาเป็นวิญญาณ น่าจะทำให้ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่อีก คราวนี้น่าจะกลับเข้าไปสู่ร่างได้ถาวรสักทีนะ

ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาด ร่างของชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ ใบหน้าซูบผอมจากการไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ เมื่อคนเป็นแม่ที่เฝ้าอยู่กำลังเรียกชื่อเขา ใบหน้าของคนเป็นแม่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เพราะรู้ว่าตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา อาการของลูกชายตัวเองไม่ได้ดีขึ้นเลย ต่อให้สภาพร่างกายยังคงทำงานอย่างปกติ แต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่ยอมลืมตาขึ้นมา

“บอล บอลได้ยินแม่ไหมลูก”

คนเป็นแม่เฝ้ารอเพียงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้ลูกตัวเองลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าพูดเป็นครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้าน ร่างตรงหน้าก็ยังคงนิ่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มือของหญิงวัยห้าสิบปีเอื้อมไปจับมือของลูกชายตนเองอย่างมีความหวัง อย่างน้อยให้เขาได้รู้ถึงความรักที่แม่คนนี้ได้มีให้

เหมือนคนบนฟ้าจะเห็นใจความรักของคนเป็นแม่ นิ้วมือที่แทบจะมีแต่กระดูกขยับขึ้นมา จนผู้เป็นแม่แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เจ้าตัวลุกจากเก้าอี้กระวีกระวาดเพื่อออกไปบอกพยาบาล

น้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลด้วยความสุขใจ

ปาฏิหาริย์ มันมีจริงสินะ...

“เป็นไงบ้าง ทำได้กันปะ” ใยไหมทักขึ้นมา หลังจากพวกเราเดินออกมาจากห้องสอบวิชาแคลคูลัส ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาสุดท้ายของมิดเทอมพอดี

“ก็หน้าจะผ่านแหละ แกติวตรงมากเลยไหม” ผมบอกไหมไป เอาเข้าจริงผมมั่นใจเกือบจะทุกข้อ ซึ่งข้อสอบมันบังเอิญเป็นแนวเดียวกันกับที่ไหมติวให้เลย เปลี่ยนแค่บางอย่างนิดหน่อย ถ้าจะมีข้อผิด ก็คงเป็นเพราะความสะเพร่าคิดเลขผิดของผมนี่แหละ

“เฮ้อ จารย์ออกยากเว่อร์ ได้ทำว่ะ ไม่ใช่ทำได้” ไอ้ชาพูดขึ้น

“กูก็พอทำได้นะ แต่ไม่รู้ถูกหรือเปล่า” ตามด้วยไอ้อิฐ

“เอาน่าทุกคน คะแนนยังไม่ออกเลย อย่าเพิ่งเครียดไป” ครีมพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้แต่ละคนต้องคิดมาก ก็จริง ไว้รอผลคะแนนออกค่อยมาลุ้นกันอีกทีว่าจะเป็นยังไง

“เดี๋ยวพวกเราต้องไปที่คณะกันต่อนะ” ไหมพูดขึ้นต่อ

“ไปไมอะ”

“เห็นว่าจะคุยกันเรื่องรับน้องภาควิชานอกสถานที่อะ”

โห นี่ขนาดกลางเทอมแล้วยังรับน้องไม่จบเลย ผมงี้เชื่อเลย กิจกรรมปีหนึ่งเยอะมาก ๆ ครับ หลายอย่างนู่นนี่นั่น รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปไวเหลือเกิน

“กลางเทอมแล้วยังไม่หยุดรับอีกเหรอวะ ฮ่าฮ่า” ไอ้อิฐหัวเราะขึ้นมา

“รอบนี้น่าจะชิว ๆ อารมณ์ไปเที่ยวกันมากกว่าอะ”

ค่ายรับน้องนอกสถานที่จะถูกจัดขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ตามที่ผมกับเพื่อน ๆ ได้ไปประชุมกันมา ก็ดีเหมือนกันจะได้ถือโอกาสไปพักผ่อนด้วย เพราะสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปคือทะเลครับ ขออย่างเดียวเลย อย่าให้มีฝนมาละกัน ช่วงนี้ยิ่งสามวันดี สี่วันตกอยู่ด้วย ผมกับเพื่อน ๆ หลังจากเข้าประชุมเรื่องกิจกรรมนอกสถานที่เสร็จ พวกเราก็พากันไปฉลองกินหมูกระทะร้านแถวมหาวิทยาลัยกัน นับเป็นวิธีคลายเครียดที่ดีอย่างยิ่งหลังสอบ เหมือนปลดปล่อยทุกอย่าง การกินจะเยียวยาทุกสิ่งครับ

กว่าจะกลับมาถึงหอก็เกือบสี่ทุ่ม ผมกับเพื่อน ๆ แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวก่อนเข้านอน หลังจากนอนตีหนึ่งตีสองกันมาหลายวันติด แต่ละคนก็ดูเพลียมาก ๆ แต่ผมดูท่าจะหนักสุดเพราะต้องตื่นตีสามมาส่งวิญญาณที่นอกระเบียงห้องอีกที หลังจากพวกเพื่อน ๆ หลับกันไปแล้ว

ติ้ด ๆ ติ้ด ๆ

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือข้างเตียงมาสไลด์จอปิดเสียง ก่อนลุกยันตัวขึ้นมา หันไปสังเกตเพื่อนทั้งสองคนที่ยังคงหลับสนิทดี ผมก็ค่อย ๆ เปิดประตูเดินไปหลังระเบียงห้องที่เริ่มมีวิญญาณโผล่ขึ้นมาให้ผมส่งไปยังอีกโลกหนึ่ง วันนี้มีแค่สี่ห้าคนเองครับ ถือว่าวันนี้ในบริเวณของผมมีคนตายน้อยมาก ๆ หลังจากส่งวิญญาณเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้าห้องไป

พรึบ !

ไฟกลางห้องถูกเปิดจนสว่างจ้าขึ้นมา

ก่อนผมจะเห็นเพื่อนสนิททั้งสองคนยืนจ้องผมราวกับเป็นผู้ต้องหาอะไรสักอย่าง

ซวยแล้ว ... ตื่นมากันได้ไงวะเนี่ย

“ไอ้คีย์ มึงออกไปทำไรข้างนอกนั่นอะ อย่าบอกว่าออกไปสูดอากาศแบบคราวที่แล้วนะ” ไอ้อิฐพูดเปิดก่อนเลยครับ หลังจากผมเดินเข้ามาแล้วนั่งลงบนเตียงของตัวเอง ในสมองกำลังคิดอย่างหนักเพื่อเตรียมหาเรื่องโกหกพวกมันอยู่

“มึงมีอะไรปิดบังพวกกูหรือเปล่า” ตามมาด้วยไอ้ชาบู ใจเย็น ๆ นะพวก สมองคิดเรื่องโกหกไม่ทันละตอนนี้

“มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ว่ามึงตื่นตีสามแล้วออกไปที่ระเบียงทุกวันอะ”

เดี๋ยวนะ ... นี่พวกมันรู้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ผมว่าผมดูจนแน่ใจว่าพวกมันหลับไปเรียบร้อยแล้วนะ ไหงเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปเนี่ย

“ใช่ ตั้งแต่มึงโดนรถชนคราวนั้น ก็รู้สึกว่ามึงมีอะไรบางอย่างปิดบังพวกกูอยู่”

“บอกพวกกูมาเถอะ ว่ามึงออกไปทำอะไรมืด ๆ คนเดียว”

“มันไม่มีอะไรหรอก พวกมึงอะคิดมาก” ผมตอบพวกมันไปหลังจากโดนยิงไปหลายคำถาม

“มึงยังเห็นพวกกูเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่าวะ”

เอาล่ะไง ดราม่ามาเต็ม ทำหน้าทำตาเคร่งเครียดกันเชียว ถ้าบอกไปพวกมันจะไม่ช็อกตายกันเหรอ

“กูบอกไม่ได้”

ผมบอกไม่ได้จริง ๆ ท่านพญายมราชย้ำนักย้ำหนาก่อนผมกลับมา ว่าห้ามบอกเรื่องที่ผมเป็นอะไรให้ใครได้รับรู้เด็ดขาด

“มึงจะไม่บอกดี ๆ ใช่ไหม”

ไอ้ชาบูทำหน้าทำตาเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว นี่คิดจะทำอะไรกันวะ

“ไอ้อิฐจับตัวมัน”

ทันทีที่ไอ้ชาบูพูดจบ ไอ้อิฐก็เดินมาข้างหลังผมก่อนล็อกตัวผมไว้

“เฮ้ย ! พวกมึงจะทำไร กูไม่เล่นนะเว้ย”

และแล้ว ...

“ไอ้... ไอ้... โอย หยุด ! หยุด ! ยอมแล้ว ยอมแล้ว โอ๊ย ฮ่าฮ่า โอย ยอม หยุด ๆ”

ผมกำลังถูกพวกมันรุมจี้เอวจนขำท้องแข็งไปหมดแล้ว โอย เหนื่อย ... ผมเป็นคนบ้าจี้ บ้าจี้เอามาก ๆ ด้วย มันสองคนรู้จุดอ่อนนี้ดี

“ว่ามา”

“คือ... ฮ่าฮ่า เฮ้ย ! กูยังไม่ทันพูดเลย”

ผมที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคไอ้ชาก็ยื่นมือมาจี้เอวผมอีกรอบ

“ชามึงหยุดเล่น ให้มันพูดก่อน”

“กูออกไปส่งวิญญาณมา”

ไหน ๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมว่าบอกความจริงไปให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า ยังไงไอ้สองคนนี้ก็เพื่อนสนิทผม ผมไม่บอก ไอ้สองคนไม่ไปพูดต่อ เรื่องนี้จะไปถึงหูท่านพญายมราชได้ยังไง

“พูดเรื่องไรของมึงวะ งง วิญญาณอะไร” ไอ้อิฐพูดทำหน้างง ๆ

สุดท้ายผมก็เริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่วันที่ผมถูกรถชนให้พวกมันฟังตั้งแต่แรก เรื่องของวิญญาณที่หอพักหญิง เรื่องที่ไปช่วยไอ้อิฐจากสี่แยกอาถรรพ์ รวมถึงเรื่องไอ้ชาที่ไปอุ้มท่านพญายมราชพร้อมกับเล่นหัวในวันปล่อยผีที่ผ่านมาอีกด้วย พวกมันทำท่าจะไม่เชื่อ ผมเลยพิสูจน์โดยการทำให้หมอนที่อยู่บนเตียงของพวกมันทั้งสองลอยขึ้นมา จนทำเอาแต่ละคนอ้าปากค้าง

“นะ ... นี่เรื่องจริงเหรอวะ ! งั้นมึงก็ตายไปแล้วจริง ๆ ดิ”

“ใช่กูตายไปแล้ว แต่กูได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งสามร้อยปี แลกกับการที่ต้องเป็นยมทูต”

“แล้ววันนั้น เด็กที่มึงบอกว่าเป็นหลาน คะ…คือ พญายมราช”

“เออดิ วันนั้นกูโดนสวยยับเลยเพราะมึงอะ”

ผมตอบคำถามที่พวกมันสงสัยไปอีกหลายข้อ กว่าพวกมันจะหมดคำถามก็เกือบเช้า เลยกลายเป็นว่าพวกเราคืนนี้ไม่มีใครได้นอนสักคน สุดท้ายก็มาหลับกันจนเกือบเจ็ดโมงเช้า

แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่ต้องเก็บความลับของผมจากมันทั้งสองคนอีกต่อไป อีกอย่างที่รู้ก็คือ พวกมันเป็นห่วงผมจริง ๆ ในทุกเรื่อง ผมดีใจนะ ที่มีพวกมันเป็นเพื่อน ทุกครั้งที่มีปัญหา อาจจะพึ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พวกมันก็ยังอยู่ข้างผมเสมอ แค่ได้กลับมายิ้ม มาหัวเราะกับพวกมัน ชีวิตมันก็ดีมากแล้ว

เพื่อนแท้ในชีวิตของคนเราหาได้ยากเย็นมาก แต่เมื่อหาเจอแล้ว ก็ควรรักษามิตรภาพนั้นไว้ให้คงอยู่นานที่สุด คนที่ผมสามารถกล้าเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อนแท้ มีไม่กี่คนหรอกบนโลกใบนี้

และมันสองคนคือหนึ่งในนั้น …

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด