เคียวที่ 15 : วันปล่อยผี
วันถัดมา ผมไปรับไอ้อิฐกลับมาจากโรงพยาบาลในช่วงตอนเย็นของวัน
โชคดีที่หมอสามารถให้มันกลับวันนี้ได้ เนื่องจากวันนี้จะมีกิจกรรม Freshy Night ซึ่งเป็นกิจกรรมปลดปล่อยความมันของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งด้วยคอนเสิร์ตจากวงดนตรีชื่อดังที่จะมาเล่นดนตรีที่มหาวิทยาลัยของเรา พร้อมกับกิจกรรมประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยอีกด้วย งานนี้ผมกับไอ้อิฐต้องตามไปเชียร์สองเพื่อนซี้ของพวกเราที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนคณะไปแข่งอยู่แล้ว
“คีย์” ไอ้อิฐหันมากระซิบผมขณะที่ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งรถกลับมหาวิทยาลัยกันอยู่
“หืม ว่าไงวะ”
“สามคนที่นั่งเบาะหลังใครวะ”
หึ ๆ จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ พี่สิงห์ พี่ศรี แล้วก็พญายมราช ที่จะขอมาเที่ยวบนโลกหนึ่งวัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันปล่อยผี ทั้ง ๆ ที่ผมบอกว่า วันนี้ผมไม่ว่างต้องไปเชียร์เพื่อนแข่งประกวดดาวเดือน แต่ทั้งสามคนก็ยังรบเร้าอยากมาเจอบรรยากาศแบบนี้บนโลกบ้าง อ้างเหตุผลสารพัด จนผมใจอ่อนขัดไม่ได้
“เขาเป็นญาติห่าง ๆ กูน่ะ มาจากต่างจังหวัด จะเข้าไปดูวงดนตรีด้วยเย็นนี้ พวกเขาชอบวงนี้มากเลย”
“แต่งานนี้มันเข้าได้แค่นักศึกษาที่มีบัตรไม่ใช่เหรอวะ”
“เอ่อ เห็นเขาบอกว่า รู้จักกับคนตรวจบัตรน่ะ เลยน่าจะเข้าไปได้ ใช่ไหมครับ”
ผมพยักพเยิดหันไปโบ้ยให้ทางด้านหลังที่งึมงำตอบ ถลอกหมดละสีข้างผม ดีนะที่ไอ้อิฐมันพอเข้าใจไม่ถามอะไรต่อ ทั้งสามคนเบาะหลังยังดูสบายใจนั่งชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางบนโลก ท่านพญายมราชก็นั่งกินไอติมดูมีความสุขดี สีตาที่เคยเป็นสีแดงตอนนี้กลายเป็นสีดำเหมือนพวกผมแล้ว ไม่รู้แอบใส่คอนแทกต์เลนส์ทับหรือเปล่า ตอนนี้มีแต่ผมนี่แหละที่ต้องจำคำโกหกกันลืม เผื่อมีคนมาถามอีก เดี๋ยวจะตอบไม่เหมือนเดิม
ผมพาทั้งสี่คนไปนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟแถวมหาวิทยาลัยเพื่อรอให้ถึงเวลากิจกรรมในตอนเย็น เนื่องจากหอในไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปได้ ถึงเข้าไปได้ก็ต้องแสดงบัตรประชาชน ลงชื่ออะไรให้วุ่นวายอีก เพื่อตัดปัญหาผมเลยพากันออกมาอยู่ข้างนอกซะเลย
หลังจากที่ผมแนะนำไอ้อิฐให้รู้จักทุกคน มันก็ดูคุยถูกคอกับพี่สิงห์มาก ๆ สรุปแล้วคำโกหกของผมในตอนนี้คือพี่สิงห์เป็นลูกของป้าผม พี่ศรีเป็นภรรยาพี่สิงห์ ส่วนท่านพญายมราชเป็นลูกของทั้งสองคน พอบอกจบนี่ผมแอบเห็นสายตาพิฆาตของท่านพญายมราชมาแวบหนึ่งด้วย ใจหายใจคว่ำหมด แต่ทั้งสามก็ยังตีเนียนตามคำโกหกของผมได้ ทำไงได้ ก็แบบนี้มันเนียนสุดแล้วนี่
18.00 น.
พวกเราเดินมาถึงด้านหน้าของงานเตรียมตรวจบัตรเข้างาน ผมงี้ลุ้นแทบแย่เพราะไม่รู้ว่าพวกพี่สิงห์ พี่ศรี และพญายมราชจะใช้วิธีอะไรทำให้ตัวเองเข้างานไปได้ แต่พวกเขาก็ขอบัตรอะไรก็ได้ในกระเป๋าสตางค์ผมไปคนละใบ ไปโชว์ให้คนตรวจบัตรดู สุดท้ายทุกคนก็ได้เข้ามา ผมไม่ยักรู้ว่าพวกยมทูตสามารถทำให้คนอื่นเห็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ด้วย
พวกเราพยายามแทรกตัวไปจนเกือบถึงขอบเวทีเพื่อที่จะได้เชียร์ไอ้ชากับไหมได้เต็มที่ การแสดงดาวเดือนของแต่คณะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไอ้ชาบูในชุดนักศึกษาเต็มยศพร้อมกับใยไหมก็เดินออกมา เรียกเสียงเชียร์ให้กับคนดูไม่น้อย ชาบูกับใยไหมเลือกการแสดงเป็นการร้องเพลง โดยชาบูเป็นคนดีดกีตาร์ ส่วนใยไหมเป็นคนร้องเพลง
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยในเวลาแบบนี้ทั้งสองคนกลับดูเข้ากันแบบสุด ๆ เวลาที่พวกมันไม่ได้ทะเลาะกัน การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจบผมคิดว่าคงได้คะแนนจากคนดูไปเยอะพอสมควร ผมหยิบดอกกุหลาบสองช่อใหญ่ที่ซื้อหน้างานเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อให้เพื่อนทั้งสองคน มันจะมีคะแนนจากป๊อปปูล่าโหวตที่ได้รับจากจำนวนของช่อดอกกุหลาบด้วยครับ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสนับสนุนเพื่อนตัวเองหน่อย
“ขอให้ได้ให้โดนนะพวกมึง ทั้งคู่เลย จากกูกับไอ้อิฐ” ผมบอกมันสองคนที่ก้มลงมารับช่อดอกไม้ของผม ชาบูยักคิ้วให้ผมหนึ่งทีเป็นเชิงตอบรับ ในขณะที่ใยไหมยิ้มกว้าง ๆ ให้
เป็นไปตามคาด หลังจากการแสดงโชว์ครบทุกคณะ การประกาศผลดาวเดือนมหาวิทยาลัยก็เริ่มขึ้น ชาบูได้รับเลือกเป็นเดือนมหาวิทยาลัย ในขณะที่ใยไหมได้รับเลือกเป็นรองดาวมหาวิทยาลัย แพ้ดาวแพทย์ไปอย่างหวุดหวิด
พอหลังจากจบการประกวดไปไม่นาน การแสดงคอนเสิร์ตก็เริ่มขึ้น เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างสนุกสนานดังไปทั่วงาน ทุกคนร้องเพลง เต้นกันอย่างสนุกสนาน ผมเหลือบไปเห็นพี่สิงห์กับพี่ศรีกำลังเต้นกันอย่างเมามัน พร้อมดึงแขนพญายมราชให้เต้นด้วย ในขณะที่ไอ้อิฐที่แขนเดี้ยงก็ยังมีแก่ใจไปดี๊ด๊ากับสาวพยาบาลที่เต้นอยู่ข้าง ๆ พวกเรา
“เฮ้ย เดี๋ยวกูฝากดูญาติกูด้วยนะ” ผมหันไปบอกไอ้อิฐ เมื่อสายตาหันไปเจอคนคนหนึ่งเข้า
“ไปไหนอ่ะมึง” ไอ้อิฐถาม
“อ่อ จัดไปเพื่อน” มันตอบเองเออเองแทนผม ที่ยังไม่ทันได้ให้คำตอบเมื่อมองเห็นคนที่ผมกำลังมองอยู่ ร่างเล็กกำลังยืนเต้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนอย่างสนุกสนาน พร้อมกับรอยยิ้มที่โคตรมีเสน่ห์
“สวัสดีครับ พี่ฟอง” ผมเรียกพี่ฟองพร้อมเข้าไปสะกิดทักทางด้านหลังขณะเจ้าตัวกำลังเต้นอยู่เพลิน ๆ
“อ้าวคีย์ มาคนเดียวเหรอ”
เมื่อได้ยินเสียงทักทางด้านหลังพี่ฟองก็หันมาหาผม จังหวะที่หันมา เป็นเพราะจำนวนคนที่เยอะเบียดเสียดกันทำใครคนหนึ่งเข้ามาชน ร่างบางเซมาหาผมจนเราทั้งคู่อยู่ในสภาพเกือบกอดกัน ผมจ้องตาพี่ฟองอยู่พักหนึ่งก่อนพวกเราจะผละออกจากกัน
“เปล่าครับ มากับไอ้อิฐ อยู่ทางนู้น พอดีผมเห็นพี่เลยแวะมาทัก” ผมตอบ เกาหัวแก้เก้อ เมื่อกี้ใจมันเต้นแรงโคตร ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงหรือเปล่า แต่ผมเห็นหน้าพี่ฟองขึ้นสีด้วย
“ทักแล้ว ไม่ไปอยู่ดูกับเพื่อนเหรอ” พี่ฟองถามต่อ
“แล้ว ... ผมอยู่ดูกับพี่ได้ป่ะล่ะ”
ได้เถอะนะอยากอยู่ตรงนี้อะ
“ถามแบบนี้จะจีบปะเนี่ย”
มาตรง ๆ อีกแล้ว เขินนะเนี่ย
“แล้วให้จีบป่ะล่ะ”
ก็ถามมาตรง ๆ ก็ต้องตอบตรง ๆ สิ ผมจ้องหน้าพี่ฟองจนพี่แกถึงกับหันหน้าหลบ ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าไม่ใช่เพราะแสงไฟ พี่ฟองหน้าแดงจริง ๆ อย่าว่าแต่พี่เลย ผมก็เขิน
“เพลงเพราะเนาะ” ผมถามแก้เขิน
“อื้ม มองไม่เห็นเลยอ่า คนบัง”
จะมองเห็นได้ไง ในเมื่อเจ้าตัวบ่นอุบอิบ ก้มหน้างุดอยู่อย่างนั้น
“ให้ผมอุ้มปะ พี่เตี้ยเองอะ” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้น เล่นเอาเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาส่งค้อนวงโตให้
“อ้าวคีย์ คีย์หายไปไหนแล้วอะ โทษทีมืดจัง พี่มองไม่เห็น” พี่ฟองพูด พูดจบเจ้าตัวก็หันไปมาเหมือนกำลังมองหาผม
นั่นไง โดนเล่นกลับเลย
“เว่อร์ล่ะพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ต่อไปนี้ผมขอเรียกพี่ว่าฟอง เฉย ๆ ได้ปะ”
“ก็ได้ แต่พี่จะเรียกเราว่าน้องคีย์ ได้ปะ น่ารักดี”
“ก็แล้วแต่ฟองจะเรียกเลย” ผมพูดพร้อมกับก้มลงไปจ้องหน้าคนตัวเล็กกว่า จนเจ้าตัวทุบเข้าให้ที่อกเบา ๆ ผมหัวเราะขำออกมากับการกระทำของคนที่จะเรียกผมว่าน้อง ... แบบนี้มาเรียกว่าน้องได้ที่ไหนกัน
ผมยิ้มให้กับฟอง เสียงเพลงจากคอนเสิร์ตยังคงดังของมันไปอย่างเรื่อย ๆ ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมกลับได้ยินเสียงเพลงเพราะกว่าปกติ มือของผมเอื้อมไปจับมือของฟองซึ่งไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไร เรากำลังร้องเพลงด้วยกัน ยิ้มให้กัน สำหรับผมแล้วแค่ได้อยู่กับคนที่เรารู้สึกดีด้วย
ไม่ว่าชีวิตจะเดินไปบนเส้นทางแบบไหน ... มันก็มีความสุขแล้ว
คน ๆ หนึ่ง ได้เปลี่ยนแปลงทุก ๆ อย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน*
22.30 น.
หลังจากจบกิจกรรม พวกเราไปฉลองกันต่อที่ร้านอาหารของครอบครัวชาบู ซึ่งเป็นร้านชาบู พร้อมปิ้งย่าง ที่ป๊ากับม๊ามันเปิดร้านยาวถึงเที่ยงคืนให้พวกเราได้กลับไปฉลองกันต่อ ในฐานะที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้เป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย
“มา ๆ นั่งเลยเพื่อน พ่อเดือนหมาลัย มาให้เฮียอิฐจุ๊บเหม่งทีดิ๊” ไอ้อิฐพูดขำ ๆ
“ไปไกล ๆ ตีนกูเลยไอ้อิฐ นี่กูเป็นเดือนมหาวิทยาลัยนะเว้ย ไม่ใช่เบ๊มึง ต้องมานั่งคีบหมูให้มึงกินเนี่ย”
ผมหัวเราะที่ตอนนี้เดือนมหาวิทยาลัยของเรากำลังคีบเนื้อหมูใส่ปากไอ้อิฐอยู่เพราะมือมันเดี้ยง
“ค่าดอกไม้กูตั้งหลายบาทนะครับเพื่อนชา บริการกูดี ๆ ด้วย ไหนจะค่าปั้มไลค์อีก”
มีแอบเล่นศาสตร์มืดด้วยว่ะไอ้พวกนี้
“ไหม แกก็สุดยอดเลยนะเว้ยวันนี้ ต่อให้เป็นแค่รองดาว แต่ก็สวยบาดใจพวกเรามาก” ผมชมใยไหม เดี๋ยวจะน้อยใจหาว่าเห่อแต่ไอ้ชาบูคนเดียว
“ของมันแน่อยู่แล้วคีย์” เจ้าตัวพูดพร้อมยักคิ้วแบบไม่เป็นสุภาพสตรีหนึ่งทีก่อนใช้ตะเกียบคีบเบคอนเข้าปาก อื้อฮือ ไอ้เรื่องหลงตัวเองนี่ แก๊งเราไม่มีใครยอมใครจริง ๆ นะครับ
“เฮ้ย ไอ้คีย์ หลานมึงเหรอ ชื่อไรเนี่ย”
อยู่ ๆ ไอ้ชาบูก็ทักขึ้นมาหลังจากถามไอ้อิฐว่าโต๊ะข้าง ๆ ผมที่นั่งกินชาบูกันอยู่สามคนเป็นใคร
“อ่อ ใช่ ๆ นั่นพวกญาติกูมาจากต่างจังหวัดอะ ชื่อ ชื่อ...”
ชื่อไรวะ ตอนนั้นสุ่มชื่อบอกไอ้อิฐไปรอบแล้วแต่ลืม
“ชื่อแบล็กครับ”
แล้วท่านพญายมราชก็เอ่ยปากออกมาก ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดีนะยังจำชื่อที่ผมตั้งให้ไว้ได้
“โห ตัวเล็ก น่ารักจังเลย มา ๆ พี่ชาคล้องสายสะพายให้นะครับ โตมาจะได้หล่อ ๆ แบบพี่”
พูดจบไอ้ชาบูก็ลุกจากเก้าอี้ตรงไปยังโต๊ะของเหล่ายมทูต ก่อนมันจะยกท่านพญายมราชขึ้นมาอุ้มพร้อมกับคล้องสายสะพายเดือนมหาวิทยาลัยของตัวเองให้ เท่านั้นยังไม่พอ เอามือมันไปลูบผมท่านเล่นพร้อมขยี้อย่างเมามันอีก
เท่านั้นแหละ ... ผมงี้ถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง
ไอ้ชา ! มึ้งงงง ...