เคียวที่ 13 : ตัวตายตัวแทน
ผมขับรถมาจนถึงสี่แยกที่ต้องทำภารกิจ
ภาพที่ผมเห็นทำให้รู้สึกใจหายวาบ รถยนต์สีขาวคันหนึ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าจนด้านหน้าของรถยุบลงไป ศาลเพียงตาที่ตั้งอยู่แถวนั้นพร้อมกับของเซ่นไหว้เละเทะกระจัดกระจาย เลือดของใครบางคนไหลหยดออกมาจากทางประตูรถ
ผมมาช้าไป ... ไอ้อิฐ กูหวังว่าคงไม่ใช่มึงนะ
ผมรีบจอดรถลงแล้ววิ่งเข้าไปดูที่เกิดเหตุ เมื่อวิ่งไปถึงก็พยายามล้วงมือผ่านกระจกตรงประตูเพื่อเปิดประตูรถออก แล้วนำร่างคนที่ติดอยู่ภายในออกมา ผมนำร่างของแต่ละคนออกมาอย่างทุลักทุเล แต่ละคนยังมีลมหายใจอยู่แต่รู้สึกว่าจะเสียเลือดเยอะเหลือเกินเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยตอนรถพุ่งชน อาจจะเกิดจากการกระแทกหรือโดนกระจกที่แตกบาดจนเลือดไหลกันมากมายขนาดนี้
และร่างสุดท้ายที่อยู่เบาะหลัง ...ไอ้อิฐ
โธ่เว้ย ! ... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ
ไอ้อิฐ มึงจะตายไม่ได้นะ ...
ผมเช็ดมือที่เปื้อนเลือดของหลายคนลงบนขากางเกง ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจะโทรเรียกรถพยาบาล
โว้ย ! ... ทำไมผมโง่อย่างนี้นะ
หน้าจอทัชสกรีนไม่ตอบสนองนิ้วผมที่กดลงไปอย่างเร่งรีบ เพราะมันยังมีคราบเลือดติดอยู่ ผมแทบอยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งเดี๋ยวนั้น ทำไมผมถึงไม่โทรเรียกรถพยาบาลก่อนเข้าไปช่วยนะ
บรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นขึ้นจนผมรู้สึกได้ กำลังมีใครบางคนต้องการมาขัดขวางผมให้ไม่ให้ช่วยคนที่บาดเจ็บ
“ออกมาเถอะ ! หมดเวลาของพวกแกแล้ว พวกแกต้องไปนรก” ผมตะโกนออกไปอย่างหงุดหงิด ตอนนี้อารมณ์ผมมันแปรปรวนไปหมด โกรธก็โกรธ ห่วงเพื่อนก็ห่วง ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง
หลังจากผมโวยวายไปพักหนึ่ง วิญญาณทั้งสี่ดวงก็ปรากฏตัวให้เห็นตรงหน้าผม แต่ละคนจ้องมาที่ผมแล้วแสยะยิ้ม สภาพร่างกายของดวงวิญญาณแต่ละดวงเละเทะ สยดสยองมาก บางคนถึงขนาดเห็นหัวใจเต้นตุ้บ ๆ จากอกข้างซ้าย บางคนเป็นแผลเหวอะจากการถูกไฟคลอก
“พวกแกทำแบบนี้ทำไม” ผมกัดฟันถามพวกมันไป
“พวกกูต้องการตัวตายตัวแทน” วิญญาณดวงหนึ่งพูดขึ้นมา
“พวกแกมันบ้า มันไม่มีหรอก ตัวตายตัวแทนบ้าบออะไรน่ะ”
ตัวตายตัวแทนมันไม่มีจริงหรอก ผมว่ามันมีแต่วิญญาณที่โกรธแค้นเรื่องรูปแบบการตายของตนเองแล้วไปลงกับคนอื่น อยากให้คนอื่นตายไปเหมือนตัวเองเท่านั้นแหละ
“มีสิ ! ไม่งั้นพวกกูจะมาตายตรงนี้ได้ยังไง”
“แล้วไง พวกแกเลยจะทำแบบเดียวกับพวกวิญญาณแบบนั้น ทำไมต้องเป็นสี่คนนั้นด้วย”
ผมชี้ไปทางกลุ่มคนที่ผมลากมานอนด้านนอกรถ แล้วถามดวงวิญญาณพวกนั้น ไม่เข้าใจตรรกะของดวงวิญญาณพวกนี้เลย
“พวกมันเสือกดวงซวยมาสี่คนพอดี เท่ากับจำนวนพวกกู พวกกูจะได้ไปเกิดสักที”
ผมอยากจะบ้า ใครมันเอาความคิดแบบนี้มาใส่หัวพวกวิญญาณพวกนี้เนี่ย
“ฟังให้ดีนะ แกจะเอาความโกรธแค้นของตัวเองไปลงกับคนอื่นไม่ได้ พวกที่มันทำพวกแกก็ต้องได้รับบทลงโทษเหมือนกัน มันไม่ได้ไปเกิดหรอก มันไปนรกต่างหาก”
“กูไม่เชื่อ กูจะทำ มึงหยุดพวกกูไม่ได้หรอก !”
ทำไมดวงวิญญาณพวกนี้ถึงคลุ้มคลั่งและไม่รับฟังอะไรเลยได้ขนาดนี้เนี่ย
“กูอยากรู้จัง ว่าวิญญาณอย่างพวกกูจะฆ่ามึงได้ไหมนะ”
แล้วอยู่ ๆ วิญญาณดวงหนึ่งก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางพร้อมจู่โจมผมเต็มที่ ก่อนที่อีกสามร่างที่เหลือจะพากันเดินตรงเข้ามาหาผม
เมื่อเห็นท่าไม่ดีผมก็เรียกเคียวตัวเองออกมา ... และจากที่แพทเล่าเรื่องประสบการณ์การเป็นยมทูตให้ฟัง เคียวเป็นอาวุธชิ้นเดียวที่สามารถโดนวิญญาณได้ ตัวผมเองก็สามารถสัมผัส เตะ ต่อยวิญญาณได้ด้วยเหมือนกัน ในขณะเดียวกันยมทูตอย่างผมกับแพท วิญญาณก็สามารถสัมผัสได้โดยตรง ไม่เหมือนกับเวลาที่วิญญาณจะทำร้ายมนุษย์ต้องไปสิงร่างคนอื่นเหมือนเคสของวิญญาณที่หอพัก ที่ทำแบบนั้นได้เนื่องจากว่ายมทูตก็ถือว่าตายไปแล้วรอบหนึ่งเหมือนกัน จึงอยู่ในสถานะกึ่งวิญญาณกึ่งคนเป็น
เศษกระจกที่แตกบริเวณรถลอยขึ้นมาหลายชิ้นด้วยพลังอำนาจของดวงวิญญาณ ก่อนจะพุ่งตรงมายังผม ต่อให้ผมเป็นยมทูตก็เถอะ ผมยังมีเลือดเนื้อเหมือนมนุษย์ทั่วไป ถ้าโดนเข้าไปล่ะก็ คงจะเจ็บหนักแน่ ดีที่ผมไหวตัวทัน หลบออกมาก่อน ไม่อยากจะเชื่อเลย วิญญาณพวกนี้ใช้ความโกรธแค้นการตายของตัวเองจนมีพลังควบคุมสิ่งของได้
วิญญาณดวงหนึ่งพุ่งตัวมาหาผมก่อนต่อยผมที่ใบหน้า ในขณะที่ผมล้มเสียหลัก จากการหลบเศษกระจก ไวจนแทบมองไม่ทัน ดวงวิญญาณอีกดวงก็พุ่งเข้ามาแตะที่ท้องผมจนจุกล้มตัวลงไปนอนกับพื้น วิญญาณดวงที่สามพุ่งเข้ามาตะลุมบอนอีกดวง แต่ผมใช้เคียวของตัวเองฟันไปข้างหน้าเพื่อหลบเท้าของมันที่จะเข้ามากระทืบซ้ำ
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาทันที เนื่องจากเคียวของผมฟันไปที่ขาของมันไปเต็ม ๆ จนเกิดแสงสว่างวาบสีแดง สร้างความโมโหให้กับดวงวิญญาณที่เหลือทันที ผมยันตัวลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมสู้อีกครั้ง ผมเหวี่ยงเคียวกวาดไปข้างหน้าทำให้เกิดลำแสงสีแดงคล้ายเขี้ยวพุ่งตรงไปยังกลุ่มของวิญญาณ วิญญาณดวงหนึ่งที่หลบไม่ทันโดนลำแสงนั้นเข้าไปเต็ม ๆ ที่กลางลำตัว แผลที่เหวอะอยู่แล้วยิ่งเละเข้าไปอีกเมื่อถูกโจมตี ถึงผมจะเป็นแค่มือใหม่แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นยมทูต น่าจะสู้กับพวกมันได้บ้างแหละ ผมกำลังได้เปรียบแต่ ...
ผลัวะ !
ผมถูกแรงที่มองไม่เห็นซัดจนตัวลอยกระเด็นออกไป มือขวาที่จับเคียวอยู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนแทบไหม้ขึ้นมา จนผมทนไม่ได้ต้องรีบปล่อยเคียวออกไป นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย
เกิดอะไรขึ้นกับเคียวผม ...
ผมเสียเปรียบขึ้นมามากทันทีเมื่อไม่มีเคียวอยู่ในมือ ดวงวิญญาณทั้งสี่กรูกันเข้ามากระหน่ำทั้งเตะ ทั้งกระทืบผมจนระบมไปทั้งตัว
ตัวต่อตัวยังพอไหว ... แต่นี่สี่รุมหนึ่ง
ไม่อยากจะเชื่อ ... ผมกำลังโดนวิญญาณรุมกระทืบ
ร่างของผมถูกดวงวิญญาณสองดวงจับขึ้นมา สติตอนนี้แทบจะประคองตัวเองไม่อยู่ ดวงวิญญาณอีกดวงกำลังเดินเข้ามาหาทางด้านหน้า ใช้พลังของมันทำให้เศษกระจกอันหนึ่งลอยขึ้นมา ปลายคมกำลังจ่ออยู่ที่คอผม ผมพยายามใช้มือของตัวเองสะบัดจากการจับกุม ทันทีที่มือผมสัมผัสมือของวิญญาณ ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในตาผม
รถเก๋งสองคันประสานงา สภาพไฟลุกไหม้ทั้งคันอยู่ตรงกลางสี่แยก เงาดำมืดสี่ร่างกำลังยืนมองร่างของตัวเองกำลังถูกไฟคลอกอยู่ตรงนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและโกรธแค้น
“หาตัวตายตัวแทนมาสิ แล้วพวกแกจะได้ไปเกิดใหม่ เหมือนพวกนี้”
เสียงเยียบเย็นจากคนคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำพูดขึ้นมา พร้อมกับถือโหลแก้วใบหนึ่ง ภายในโหลมีดวงไฟสี่ดวงอยู่ข้างใน
“มึงเป็นใคร” หนึ่งในสี่นั้นพูดขึ้น
“เป็นคนที่จะทำให้พวกแกไปเกิดใหม่ไง ถ้าพวกแกไม่หาตัวตายตัวแทนมา พวกแกก็อยู่เฝ้าที่นี่ต่อไปเถอะ จำไว้ ฉันคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พวกแกไปเกิดได้”
“ฉันคนเดียวเท่านั้น” ร่างนั้นพูดด้วยเสียงดังกังวาน ก่อนจะค่อย ๆ หายไปพร้อมกับความมืด
แสงสว่างวาบสีแดงปรากฏขึ้นมา ทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง แพทกำลังยืนอยู่ข้างหน้าผมในมือเธอถือเคียวอยู่ กำลังโจมตีไปที่ดวงวิญญาณเหล่านั้น
ฉับ !
หัวของวิญญาณดวงหนึ่งถูกเคียวของแพทฟันจนขาดสะบั้น ก่อนร่างของวิญญาณดวงนั้นจะแตกสลายไป ผมได้แต่มองตาค้างอยู่อย่างนั้น วิญญาณดวงที่สอง สามและสี่ ถูกจัดการไปอย่างรวดเร็วจนผมอดทึ่งไม่ได้ว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบแพทจัดการวิญญาณผู้ชายสี่คนลงด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร
“แพทโทรเรียกรถพยาบาลเร็ว”
ผมพยุงตัวเองที่ล้มอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น บาดแผลที่เกิดจากดวงวิญญาณเริ่มรักษาตัวเองจนผมกลายเป็นปกติ
ร่างบางของแพทหันมาหาผมด้วยท่าทางเคร่งเครียดกว่าปกติ ก่อนฝ่ามือเล็ก ๆ ของเธอจะตบลงที่ใบหน้าของผมอย่างแรงจนหน้าชา
“ทำบ้าอะไรของคีย์ !”
“หมายความว่าไง” ผมพูดออกไป ยังคงมึน ไม่เข้าใจในสิ่งที่แพททำ อยู่ ๆ เดินมาตบหน้าผมทำไม
“คิดว่าตัวเองเป็นยมทูตแล้วจะเป็นอมตะ ตายอีกรอบไม่ได้หรือไง ถ้าแพทมาไม่ทันรู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น” แพทพูด น้ำเสียงเคร่งเครียดของแพททำให้ผมรู้ว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่พูดมากแค่ไหน
“ผมแค่รีบอยากจะมาช่วยเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้”
“คีย์ตายไปแล้วนะ ถ้าสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับเพื่อนของคีย์มันคือการหมดอายุขัย คีย์ก็ห้ามไม่ได้หรอก”
“แต่นี่มันเกิดจากดวงวิญญาณนะแพท มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ” ผมเถียงแพทไป
“เลิกแคร์คนเป็นได้แล้วคีย์ เราตายไปแล้ว ในเมื่อได้โอกาสกลับมามีชีวิตก็อย่าเอามันไปเสี่ยงอีก ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็พอ”
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแพทพูดแบบนี้ออกมา แพทไม่ใช่คนเดิมที่ผมรู้จักอีกแล้วจริง ๆ การเป็นยมทูตทำให้แพทกลายเป็นคนกลัวความรัก และมองโลกในแง่ร้ายขนาดนี้เลยเหรอ
“แพทรู้ตัวไหม ว่าแพทเปลี่ยนไปมาก” ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ แพทเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่แพทเป็นยมทูตนั่นแหละ”
ไม่นานเสียงสัญญาณรถพยาบาลและรถตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ ร่างของผู้บาดเจ็บทั้งสี่ถูกลำเลียงไปโรงพยาบาล ผมกับแพทเข้าไปให้การกับตำรวจในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ หลังจากนั้นผมจึงตามไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปดูอาการไอ้อิฐ ผลปรากฏว่าหมอสามารถช่วยชีวิตทั้งสี่คนไว้ได้ทัน แม้จะเสียเลือดมากก็ตาม แต่ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวคงจะไม่รอด
แพทถือโอกาสลาผมหลังจากตามผมมาที่โรงพยาบาลเสร็จ เธอบอกว่าภารกิจของเธอเสร็จแล้ว หลังจากงานประชุมวิชาการที่มหาวิทยาลัยเสร็จพรุ่งนี้ เธอก็จะบินกลับเชียงใหม่เลย ผมมัวแต่กังวลอยู่กับอาการของไอ้อิฐจนลืมเล่าเรื่องที่ผมเห็นจากดวงวิญญาณพวกนั้นให้แพทฟัง
ดวงวิญญาณพวกนั้นถูกหลอกให้หาตัวตายตัวแทน จากความเศร้าผิดหวังที่ตัวเองตาย กลายเป็นความโกรธแค้นจนต้องหาที่ระบาย พร้อมกับความเชื่อที่จะไปเกิดใหม่ เพราะคนคนหนึ่ง ...
และผมมั่นใจว่าคนคนนั้น ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุม ... เป็นยมทูตเหมือนกันกับผม
ที่สี่แยกอาถรรพ์ ร่างร่างหนึ่งกำลังเดินออกมาจากเงามืดในชุดคลุมสีดำที่ปิดหน้าตัวเองไปครึ่งหน้า เห็นแต่ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกาย พร้อมในมือที่ถือขวดโหลที่มีดวงไฟหลายดวงอยู่ในนั้น ดวงตาสีฟ้าจ้องมองไปยังสถานที่ ที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุไปเมื่อครู่ ก่อนกล่าวอะไรออกมาเบา ๆ อย่างรู้สึกเสียดาย
“เสียไปอีกสี่สินะ”