เคียวที่ 11 : ยมทูตอีกคน
“เฮ้ย ! ไอ้คีย์ เมจทีมนั้นจะตายแล้วจัดดิ๊” เสียงโวยวายดังมาจากปากของไอ้ชา
“เชี้ย ! กูโดนคิวไปแล้ว” ตามมาด้วยอิฐ
“เฮ้ย ! ไอ้คีย์กันป้อม ไอ้คีย์ ไอ้เชี้ยคีย์”
เสียงดังโวยวายของเหล่าผองเพื่อนผมยังคงดังอยู่เรื่อย ๆ เป็นระยะ ภายในหอพักชายห้อง 401 ซึ่งตอนนี้แต่ละคนกำลังนั่งสไลด์จอมือถือเล่นเกมกันอยู่อย่างเมามัน แต่ผมเองกลับไม่มีอารมณ์เล่นเลยแม้แต่น้อย เรื่องที่เจอมามันทำให้ความรู้สึกเก่า ๆ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ช้าเกมที่พวกเราเล่นก็จบลงไปอย่างรวดเร็ว
you have been defeated
Lost
เสียงแจ้งเตือนของระบบภายในเกมดังขึ้นว่าตอนนี้ทีมของพวกผมได้แพ้แบบวอดวายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามมาด้วยความหัวร้อนของเพื่อนทั้งสองคนของผม
“พอ ๆ หัวร้อนเลยกู ไอ้คีย์มึงเป็นไรเนี่ย ไปเที่ยวกับพี่ฟองไม่โอเคเหรอวะ” ไอ้อิฐถาม
“เออนั่นดิ เล่นได้ไก่กาอาราเล่มากเลยมึง ดูทำหน้า คิ้วผูกกันเป็นวงจรไฟฟ้าของสมศักดิ์ละ”
ตามมาด้วยไอ้ชาที่พาดพิงไปถึงอาจารย์ที่สอนฟิสิกส์ 1 ให้แก่พวกเราอีก ก็ผมบอกไปแล้วว่าไม่มีอารมณ์จะมาเล่นเกม พวกมันก็ยังจะคะยั้นคะยอให้ผมเล่นอยู่ได้
“กูไปเจอแพทมา” ผมบอกไปเสียงเรียบ ไอ้ชากับไอ้อิฐถึงกับตาโต ทำท่าตกใจ โอเว่อร์แอ็คติ้งมากพวกมึง ก่อนพวกมันจะลุกจากเตียงของตัวเองแล้วรีบเดินมาที่เตียงผม หัวหายร้อนมากินเผือกร้อน ๆ เลยแต่ละคน
“เล่า ๆ”
“ก็ไม่มีอะไรมากอะ บังเอิญเจอตอนขากลับ” ผมบอกพวกมันไป
“แล้วมึงได้ถามปะ เขาหายไปไหนตั้งนาน” ไอ้อิฐซักต่อ
“เปล่าอะ”
“สรุปมึงคุยอะไรกับเขาบ้าง”
“แค่ทักทาย ถามสบายดีไหมก็แค่นั้น” ผมตอบกลับไป ก็มีแค่นั้นจริง ๆ นั่นแหละ ผมไม่สามารถคุยอะไรได้มากกว่านั้นหรอก
“โห ไอ้คีย์ นี่ขนาดแค่นี้ มึงกลับมายังเป็นขนาดนี้เลย มึงยังไม่ลืมเขาอีกเหรอวะ แล้วพี่ฟองอะ มึงจะเห็นเขาเป็นตัวแทนคนอื่นไม่ได้นะเว้ย” ไอ้อิฐพูดต่อ
“เออ กูรู้น่าไอ้อิฐ นอนได้แล้วพวกมึง จะตีหนึ่งล่ะ พรุ่งนี้มีงานเปิดโลกกิจกรรมไม่ใช่เหรอ”
ผมรู้และเข้าใจในสิ่งที่ไอ้อิฐพยายามจะพูดเป็นอย่างดีทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้ถามใจตัวเองแล้วว่ามองพี่ฟองเป็นแค่ตัวแทนของใครอีกคนหรือเปล่า ผมแน่ใจว่าไม่ ถึงแม้ทั้งสองคนจะมีอะไรคล้ายกันมากอยู่ก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ผมคิดว่ามันจะแตกต่างกันอย่างแน่นอน ผมเพิ่งรู้จักพี่ฟองได้ไม่นาน เวลาคงจะช่วยอะไรเราได้เอง ยังไงผมก็อยากเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นอยู่ดี
เช้าวันถัดมา
บรรยากาศที่ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัยแน่นขนัดไปด้วยผู้คน กิจกรรมเปิดโลกกิจกรรมเป็นวันที่นักศึกษาชั้นปีหนึ่งทุกคนจะได้เลือกชมรมในการเข้าไปอยู่ และร่วมกิจกรรมตลอดจนจบการศึกษา เมื่อมองคร่าว ๆ แล้วตอนนี้มีเกือบสิบกว่าชมรมให้พวกผมได้เลือกลงชื่อสมัคร
“เอาชมรมไรดีวะ” ผมหันไปขอความเห็นพวกเพื่อนหลังจากพวกเราเดินเตร็ดเตร่ วนไปวนมา บูทชมรมนู้นที ชมรมนี้ทีจนเกือบครบทุกชมรมแล้ว
“ชมรมนั้นเป็นไง” ไอ้ชาบูพูดก่อนชี้ตรงไปที่ชมรมการแสดง ที่มีสาว ๆ รอต่อแถวสมัครกันอยู่เต็มไปหมด รู้เลยว่ามันเลือกจากอะไร
“ก็เด็ดอยู่นะ” อิฐตอบ โธ่ ... ไอ้พวกสายหม้อ
“ไม่สนใจเหรอไหม มีแววนะ ถ้าไปชมรมนั้นอะ” ผมบอกไหม ไม่ได้พูดเอาใจหรืออะไรเลย ไหมมันสวยจริงครับ ถ้าไปอยู่ชมรมนั้นได้ คงได้เป็นนางเอกทุกเรื่องแน่
“ไม่เอาอะ ครีมว่าไง อยากไปปะ” ไหมตอบผมแล้วหันไปถามครีมต่อ
“แล้วแต่ไหมอะ” ครีมตอบ ทุกวันนี้ครีมก็ยังคงเป็นครีม อะไรก็ได้เสมอมา มิน่าถึงคบกับไหมได้
“ดีแล้วเจ๊ ให้ครีมไปยังดีกว่าอีก เดี๋ยวผู้ชายในชมรมจะช็อกตายเพราะสกิลปากเจ๊”
ชาบูเริ่มปากหมาอีกแล้ว แล้วมันก็ด่ากันไปมา วนลูปเดิม
พวกเราเดินมาจนถึงชมรมสุดท้าย ‘ชมรมขนหัวลุก’ ชมรมนี้เป็นชมรมของกลุ่มนักศึกษาที่สนใจเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ดูท่าทางจะถูกใจไอ้ชาบูเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แถมมันยังเป็นแอดมินเพจเรื่องผีสี่ห้าบรรทัดอยู่ด้วย พวกเราจึงเดินเข้าไปดูในบูทของชมรมนั้นกัน ดูเหมือนชมรมนี้จะมีคนมาสมัครไม่ค่อยเยอะเท่าชมรมอื่นเท่าไร เมื่อดูจากปริมาณคนที่อยู่ภายใน
ภายในบูทมีรุ่นพี่ผู้ชายสองสามคนนั่งอยู่ ทำท่าเหมือนจะหลับ แต่พอพวกเราเข้ามาทุกคนก็ดูตื่นตัว กระวีกระวาดลุกขึ้นมาต้อนรับพร้อมอธิบายกิจกรรมในชมรมทันที
“เป็นไงครับ น่าสนใจไหมครับ ชมรมพี่”
พี่ที่เป็นเหมือนประธานชมรมพูดขึ้น หลังอธิบายกิจกรรมของชมรมให้พวกเราฟังจนจบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมีทติ้งเล่าเรื่องผีกันครับ แล้วก็แชร์หนังผี นิยายผีที่เคยดู เคยอ่านกันมา พอสิ้นปีก็จะมีจัดทริปไปเที่ยวเล็ก ๆ กับคนในชมรม
“กูว่ากูไปชมรมอื่นดีกว่าไอ้ชา” ผมหันไปกระซิบกับเพื่อน
คือจริง ๆ ผมเอียนกันเรื่องพวกนี้มาก เพราะทุกวันนี้ผมก็ต้องเจอวิญญาณตอนตีสามอยู่แล้ว ยังจะให้ผมเข้าไปอยู่ชมรมเล่าเรื่องผีนี่อีกเหรอ ผมว่าผมไปเข้าชมรมคลายเครียดพวก ชมรมดนตรีสากล ชมรมถ่ายภาพอะไรดีกว่า
“เฮ้ยไม่เอาดิ อยู่ด้วยกันดิวะ เนี่ยไอ้อิฐลงชื่อไปแล้ว” ไอ้ชาร้องห้าม
อะไรจะไวขนาดนั้นวะนั่น ผมหันไปหาไหมกับครีมเหมือนขอความเห็น ซึ่งทั้งสองคนบอกยังไงก็ได้ ขี้เกียจเดินแล้ว เลยจะอยู่ชมรมนี้ด้วย
“งั้นกูไปสมัครชมรมอื่นก่อนนะ” ผมบอกเพื่อน ๆ ก่อนหันหลังเดินออกจากบูทชมรม
“อิฐ ชา มาสมัครชมรมพี่เหรอ มาเลย ๆ”
เสียงคุ้น ๆ แฮะ
พอหันกลับไปดูเท่านั้นแหละ ผมนี่รีบก้าวเท้าเดินกลับเข้าชมรมแทบไม่ทัน ...
พี่ฟองเดินมาจากด้านหลังบูทพร้อมถือขวดน้ำสองสามขวดส่งให้กับเพื่อนที่เฝ้าบูทชมรมอยู่ ใบหน้าเธอยิ้มกว้างส่งมาให้พวกเรา นี่พี่ฟองอยู่ชมรมนี้เหรอเนี่ย
“อ้าวเพื่อนคีย์ ไหนบอกจะไปสมัครชมรมอื่นไง”
ดูมันทำหน้าทำตา แสยะยิ้มแบบเป็นตัวโกงมากไอ้ชา
“บ้าเหรอ กูไปพูดตอนไหน” ผมพูดเดินมากอดคอไอ้ชาบูก่อนส่งยิ้มให้พี่ฟอง
และแล้วตอนนี้พวกเราทุกคนก็สมัครเข้าชมรมขนหัวลุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากพวกเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาสมัครและตอนนี้ถึงเวลาเลิกกิจกรรมเปิดโลกกิจกรรมพอดี พวกพี่ ๆ จึงไหว้วานพวกเราช่วยขนของในบูทไปเก็บไว้ที่ห้องชมรม
“ขอบคุณน้อง ๆ มากเลยนะ ที่ช่วยกันขนของ นั่งก่อน ๆ เดี๋ยวเรามาแนะนำตัวกัน”
ตอนนี้ผมกับเพื่อน ๆ จึงนั่งรวมกันอยู่ที่กลางห้องของชมรม ซึ่งดูแล้วไม่เหมือนชมรมขนหัวลุกสักนิด ที่มุมห้องมีกีตาร์วางอยู่สองตัว บนชั้นหนังสือมีทั้งนิยาย และการ์ตูน ที่ผมสังเกตส่วนมากจะไม่ใช่หนังสือสยองขวัญด้วยซ้ำ บริเวณผนังห้องถูกแทนที่ด้วยภาพถ่ายกิจกรรมของชมรมที่พวกพี่ ๆ แปะรูปเอาไว้หลายสิบรูป ทั้งไปทะเล ภูเขา น้ำตก
... นี่มันรวมชมรมทุกอย่างไว้ในห้องเดียวชัด ๆ
“ก่อนอื่นพี่แนะนำตัวก่อนนะ พี่ชื่อเชนปีสอง มาจากคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานชมรมนี้ ส่วนนั่น พี่ฟองนม เป็นรองประธานชมรม น้อง ๆ น่าจะรู้จักเพราะมาจากคณะเดียวกันใช่ไหมครับ” พี่เชนพูด
พี่เชนเป็นหนุ่มหน้าตี๋ ๆ สไตล์เดียวกันกับไอ้ชา แต่สูงน้อยกว่า เจ้าตัวดูเป็นกันเองดีกับคนอื่น ๆ
“ชมรมเราตอนนี้ที่เข้าชมรมบ่อย ๆ ก็มีกันอยู่แค่นี้แหละ แต่จริง ๆ ทั้งชมรมมีเกือบ 100 คนเลยนะ แต่ว่าพวกปีสูง ๆ เขาจะเริ่มติดเรียน ฝึกงาน ทำธีสิส ไม่ค่อยว่างกันแล้ว ถ้าพวกเราเบื่อ ๆ ไม่มีไรทำ ก็แวะเข้ามานั่งเล่นที่ห้องชมรมได้ เอ้อ ... เรามีมีทติ้งทุกวันศุกร์ 5 โมงเย็น ว่างก็มากัน” พี่เชนแกว่างงั้น พร้อมแนะนำรุ่นพี่คนอื่น ๆ อีกสองสามคนที่อยู่ในห้อง พอพวกเราแนะนำตัวกันเสร็จ พี่เชนก็ให้กุญแจชมรมมาหนึ่งดอกให้พวกเราไปปั้มไว้ให้เป็นของตนเอง จะได้เข้ามาตอนไหนก็ได้
ช่วงเย็นของวัน ผมและเพื่อน ๆ ไปนั่งกินข้าวที่ร้านไข่เจียวข้าง ม. เนื่องจากตอนนี้ก็ใกล้สิ้นเดือนเต็มที เงินของแต่ละคนก็ร่อยหรอจนแทบจะหมดกระเป๋า ร้านไข่เจียวทรงเครื่องจึงเป็นร้านประจำของพวกเราในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือน อิ่มอร่อย แถมใส่เครื่องได้เยอะอีกต่างหาก
พวกเรานั่งลงสั่งไม่นาน ข้าวไข่เจียวทรงเครื่องห้าจานก็มาวางอยู่บนโต๊ะ กลิ่นหอม ๆ ลอยมาแตะจมูก ผมถามเพื่อน ๆ ว่าจะเอาน้ำพริกอะไร ก่อนเดินไปตักมาเผื่อทุกคน คือร้านไข่เจียวร้านนี้จะมีพวกน้ำพริกกะปิ น้ำพริกหนุ่ม น้ำจิ้มแจ่ว อะไรพวกนี้ให้ด้วยนะครับ แต่พวกเราต้องเดินไปตักเอาเอง
พอกลับมาถึงโต๊ะก็เห็นพวกเพื่อนกำลังนั่งสไลด์จอโทรศัพท์กันอยู่ นี่แหละหนา สังคมก้มหน้า ...
แต่ทำไมพวกมันต้องหัวเราะคิกคักกันแบบนั้นด้วยวะครับ
“ดูอะไรกันอยู่วะพวกมึง” ผมถามออกไป
แต่ละคนจึงเงยหน้าขึ้นมา แถมหลบตาอีก อื้อฮือ ชัดเลย แบบนี้ต้องทำอะไรกันชั่ว ๆ อยู่แน่ ผมคลำโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ยังอยู่ดี ไม่น่ามีใครเอาไปโพสสถานะแกล้งในเฟซบุ๊กได้ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนเข้าแอปพลิเคชันสีฟ้ารูปตัวเอฟทันที
พอสัญญาณอินเทอร์เน็ตมาเท่านั้นแหละ การแจ้งเตือนสีแดงก็เด้งขึ้นมาเป็นร้อย ไม่ธรรมดาละแบบนี้
Shabu Shabu added the new photo
30 minutes ago
ผมคลิกเข้าไปดูทันที มันขึ้น tag ผมมาด้วย
Shabu Shabu is with Kiragorn Worrachatchawan at ชมรมขนหัวลุก
#ไหนใครบอกจะเข้าชมรมอื่น
#เพื่อนผมมันร้าย
@Yaimai Yaimai @It Ittikorn @Creammy cream
ภาพผมกำลังช่วยพี่ฟองถือกล่องใส่ของต่าง ๆ เพื่อขนของเข้าไปเก็บในห้องชมรม ผมกำลังยิ้มกว้าง ในขณะที่พี่ฟองกำลังยิ้มอย่างสดใสเช่นกัน มือของผมกำลังจับมือพี่ฟองอยู่ขณะยกกล่องนั้นไปด้วยความบังเอิญ ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
... ภาพมันควรจะโรแมนติก
ถ้าไม่มีวงกลมสีแดงมาวงตรงมือผมกับพี่ฟองเหมือนเป็นเกมจับผิดภาพแบบนี้
Like Yaimai Yaimai , It Ittikorn , Creammy cream and 457 others
Comments
Yaimai Yaimai : อุ๊ย ๆ เค้าเปิดตัวกันรึยังเนี่ย
It Ittikorn : มือครับเพื่อน มือ ...
และคอมเม้นท์แซวไหนก็ไม่ทำให้ผมเขินได้ นอกจาก
Fongnom Napassawan : แอบจับมือพี่เหรอ
เขินโว้ย ...
“กูขอกรุปชอต นาน ๆ จะเห็นไอ้คีย์ทำหน้าแบบนี้ มา ๆ เพื่อน”
ไอ้ชาบูได้ทีเอาใหญ่ หยิบมือถือตัวเองขึ้นมาเซลฟี่ผมกับเพื่อน ๆ
“ดูดิ ดูคนแดกข้าวไข่เจียวแก้เขินดิ”
ตามมาด้วยไอ้อิฐที่พูดแซวต่อ เดี๋ยวก็ยกจานข้าวทุ่มหัวแม่ง แซวอยู่ได้ ไอ้พวกนี้ คนมองกันทั้งร้านแล้ว
หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกลับหอ เพื่อมาทำงานรายวิชาต่าง ๆ ที่คั่งค้างไว้ กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน
ครืด ครืด ... เสียงดังมาจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ ขณะผมนั่งดูเน็ตฟลิกซ์อยู่บนเตียง ผมจึงหยิบมันมาดู
พรุ่งนี้ 17.30 เจอกันที่ร้านกาแฟ XXX โต๊ะ 9
ยมทูตอีกคน
ข้อความสั้น ๆ ถูกส่งมา ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้เจอเพื่อนร่วมงานกับเขาบ้างสักที
17.30 ของวันถัดมา
ผมเดินเข้ามาในร้านกาแฟตามที่นัดหมาย ในร้านมีคนไม่เยอะมากเท่าไรนักในเวลานี้ ร้านกาแฟร้านนี้มีที่นั่งทั้งในร้านและในสวนทางด้านหลังของร้าน จากการสอบถามพนักงานของร้านผมก็ทราบว่าโต๊ะ 9 อยู่ในสวนหลังร้าน ผมเดินตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงที่นัดหมาย มีคนนั่งรออยู่ตรงนั้น เป็นผู้หญิงครับ เธอนั่งหันหลังให้กับผม
“สวัสดีครับ คุณนัดใครไว้หรือเปล่า” ผมทักขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้เธอ ร่างบางที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา
“แพท”
ภาพตรงหน้าทำให้สมองผมตื้อไปหมด ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น คนที่เงยหน้าขึ้นมามองยังคงทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าตัวยิ้มสดใสให้ผม ก่อนบอกให้ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านตรงข้ามกับเธอ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน แพทเป็น...”
“ใช่ แพทเป็นเหมือนคีย์นั่นแหละ เป็นมาปีกว่าแล้ว” เสียงหวานพูดขึ้นตัดบท ก่อนที่ผมจะพูดจบ
“เกิดอะไรขึ้น” ผมถามออกไปแบบไม่เข้าใจ
“คีย์ก็น่าจะรู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น เราทั้งคู่ต่างก็ตายไปแล้วไง แพทยังจำวันสุดท้ายที่เจอคีย์ได้อยู่เลย”
เสียงพูดของแพททำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงอดีตของตัวเอง
เกือบ 1 ปีก่อน
งานวันปัจฉิมนิเทศ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยความยินดีของเหล่านักเรียนมัธยมศึกษาปีที่หก ที่ได้สำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ณ มุมหนึ่งของโรงอาหาร นักเรียนชายสามคนกำลังนั่งรอคอยอะไรบางอย่าง บนโต๊ะทานข้าวมีกีตาร์ตัวหนึ่งวางอยู่ พร้อมช่อดอกกุหลาบหนึ่งช่อที่วางอยู่ไม่ห่างกัน
“เมื่อไรแพทจะมาวะไอ้อิฐ”
ชายคนที่นั่งตรงกลางระหว่างอีกสองคนหันไปทักคนทางด้านขวา
“ใจร่ม ๆ ครับเพื่อน เดี๋ยวก็มาน่า” ผู้เป็นเพื่อนตอบ
“เออ เดี๋ยวก็มา เขาต้องมาแสดงความยินดีกับน้องรหัสสุดที่รักอย่างมึงอยู่แล้ว”
คนที่นั่งทางด้านซ้ายพูดต่อ ขณะเดียวกันก็ยิ้มจนตาแทบปิดให้กับนักเรียนรุ่นน้องที่ถือของขวัญแสดงความยินดีส่งมาให้
“เออ ไม่ต้องแซวกูเลย กูไม่ได้อ่อยสาวไปทั่วเหมือนมึงนี่ ว่าแต่จับคอร์ดกีตาร์คล่องแล้วใช่ปะ ไอ้ชา”
“เออ ระดับกูแล้ว ไม่มีบอด” คนตอบยักคิ้วหนึ่งที
“กูจะคอยดู”
สิบนาทีผ่านไป
ร่างบางในชุดนักศึกษาก็เดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มทั้งสามคน
“รอนานไหม แพทเพิ่งสอบเสร็จน่ะ”
“ไม่นานหรอก ผมรอได้ ขนาดแพทหายไปต่างจังหวัดมาตั้งหนึ่งอาทิตย์ ไม่โทรหา ไม่ติดต่อยังรอได้เลย คนมันคิดถึงจะแย่” เสียงทุ้มพูดขึ้นมาอย่างอ้อน ๆ
“จ้า เอาเป็นว่าขอโทษละกัน ยังไงก็ยินดีด้วยนะ อ่ะของขวัญ ถือว่ารวมกับที่คีย์สอบติดวิศวะด้วยเลยนะ”
มือเล็กหยิบกรอบรูปบานหนึ่งออกมาจากถุงหิ้ว เป็นภาพของเจ้าตัวที่ใส่ชุดนักเรียนกำลังฉีกยิ้มกว้างกลับมา มีปากกาดำเขียนบนรูปว่า congratulations
“ขอบคุณนะแพท แพท คีย์มีเรื่องอยากจะบอกอะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ก่อนส่งสัญญาณไปให้เพื่อนทั้งสองคนด้านหลังที่หยิบกีตาร์ขึ้นมาเตรียมพร้อม และอีกคนหยิบช่อกุหลาบเดินมาส่งให้
อาจจะเคยเจอคนตั้งมากมาย แต่ไม่มีใครเหมือนเธอ จะกี่คนที่ดีที่ได้เจอแต่กับเธอไม่เหมือนกัน
เธอคือคนคนเดียวที่เข้ามา แต่งเติมให้ความฝัน ที่ในครั้งหนึ่งมันช่างว่างเปล่า กลับมีเรื่องสุขใจ
ก็ไม่รู้ ว่าฉันคิดถึงเธอได้ไง ที่หวั่นไหว ทุกๆ ครั้งที่ได้เจอ ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะหยุดอย่างไร
ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมหัวใจฉันมีแต่แค่เธอ
อาจจะเรียกว่ารัก อาจจะเรียกว่าเพ้อ สิ่งที่ทำให้ฉันคิดถึงแค่เพียงเธอ จนหมดหัวใจ
จะอะไรไม่รู้ แค่รู้ว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ สิ่งเหล่านั้นยิ่งทำให้มั่นใจ
ว่าเธอคือคนเดียวที่ใจฉันตามหา…*
“แพท เป็นแฟนกันนะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นหลังร้องเพลงจบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ที่มือส่งช่อกุหลาบแดงไปให้คนข้างหน้า เหล่านักเรียนที่อยู่รอบ ๆ ต่างเดินเข้ามาเชียร์ให้หญิงสาวในชุดนักศึกษาตอบตกลง
รู้จักกันมาเกือบ 3 ปีเต็ม ในฐานะพี่รหัสที่โรงเรียน จริง ๆ ก็ควรขอเป็นแฟนได้ตั้งนานแล้วแหละ เพื่อน ๆ ก็ยุตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เนื่องจากเจ้าตัวเป็นคนที่เวลาจะทำอะไรต้องแน่ใจให้ดีเสียก่อน แต่วันนี้เขาแน่ใจแล้วว่ามันถึงเวลา จึงพูดออกไป
“ขอโทษนะคีย์ เราเป็นพี่น้องกันนั่นแหละ ดีแล้ว”
บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินคำตอบจากปากคนข้างหน้าตัวเอง
“หมายความว่าไงอะแพท ที่ผ่านมามันคืออะไร แพทไม่ได้รู้สึกอะไรกับคีย์เลยเหรอ ที่แพทมาทำดีด้วย ที่เราไปเที่ยวด้วยกัน และอีกตั้งหลายอย่างอะ”
ร่างบางตรงหน้ายืนนิ่ง แล้วอยู่ ๆ เจ้าตัวก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งพร้อมกับคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ
“หลังจากวันนั้น แพทก็ซิ่วไปเรียนต่อที่เชียงใหม่ คีย์จำอาทิตย์ที่แพทหายไปได้ไหม แพทประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อแม่ของแพทเสียชีวิตทั้งคู่ มีแพทคนเดียวที่มีโอกาสกลับมา”
คนตรงหน้าพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีท่าทีเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ทำไมแพทไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผม นั่นเป็นเหตุผลที่แพทไม่ตอบตกลงผมใช่ไหม”
ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี ก่อนหน้านั้น ผมไม่สามารถติดต่อแพทได้เลยเกือบหนึ่งอาทิตย์ แพทหายไปต่างจังหวัดแบบไร้ร่องรอย
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง คีย์ก็รู้ ว่าชีวิตพวกเราแตกต่างจากคนปกติทั่วไป ต่อให้เราพยายามแค่ไหน เราก็ไม่มีทางใช้ชีวิตแบบมนุษย์ทั่วไปได้หรอก แต่เห็นผลหลักก็คือ แพทไม่อยากเสียใจกับสิ่งที่มันจะเกิดในอนาคต”
“คีย์รู้ แต่แค่เราใช้ชีวิตปัจจุบันให้มีความสุข มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คีย์อาจจะคิดแบบนั้น แต่แพทไม่ 300 ปีเลยนะคีย์ คีย์มองปัจจุบัน แต่แพทมองอนาคต คีย์ทนเห็นคนที่รักคนแล้วคนเล่าตายไปต่อหน้าต่อตาได้เหรอ แพทไม่อยากเริ่มต้นความเจ็บปวดและทรมานตัวเอง”
ผมนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร มันก็อาจจะจริงเหมือนที่แพทพูด สิ่งที่ผมกับแพทได้รับโอกาสในการกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง มันมีราคาที่ต้องจ่าย และราคาที่ผมกับแพทได้จ่ายไป
มันค่อนข้างจะแพงเลยล่ะ ...
“แต่อดีตก็คืออดีต มันไม่สำคัญแล้วล่ะ เราหยุดเรื่องดราม่าของเราไว้แค่นี้ก่อนเถอะ แพทมีเวลา 3 วันก่อนจะกลับเชียงใหม่ ที่มานี่ก็เพราะมีงานประชุมวิชาการที่มหาวิทยาลัยของคีย์ เลยได้รับข้อความให้ช่วยทำภารกิจ”
ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด ตอนนี้ผมรู้สึกว่าแพทไม่ได้เหมือนแพทคนเก่าที่ผมเคยรู้จัก แม้ภายนอกจะมีรอยยิ้มที่สดใสนั่นอยู่ แต่ผมก็รู้ว่าข้างในเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว แพทเล่าเรื่องประสบการณ์การเป็นยมทูตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาให้ฟัง พร้อมกับเคสพิเศษต่าง ๆ เราคุยกันเกือบสองชั่วโมง อะไรที่คั่งค้างในใจผมมันถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมเห็นเธอเป็นแค่เพื่อน แค่รุ่นพี่คนหนึ่งที่เคยมีความรู้สึกดี ๆ ให้กันเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรติดค้างหรือคำถามอะไรที่ค้างคาอีก
“ตีสองของวันพฤหัส เจอกันที่นัดหมาย” แพทพูด
“โอเค” ผมตอบเธอไป แพทยิ้มอีกครั้งก่อนลุกขึ้นยืน
“อีกเรื่อง ที่แพทอยากจะเตือนในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่ง สิ่งที่เราเป็นกันอยู่ มันไม่ได้เหมาะกับการมีความรักหรอกนะ”
เจ้าตัวหันมาทิ้งท้ายก่อนเดินออกไป
ผมเข้าใจในสิ่งที่แพทบอกและเตือน แพทอาจจะมองความรักของยมทูตไปในอีกมุมหนึ่ง
คนเราต่างก็มีความคิด ความเชื่อ และแนวทางเป็นของตนเอง เราไม่สามารถไปตัดสิน หรือบอกได้หรอกว่าเราถูกและคนอื่นผิด เราไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เขายืนอยู่ มันไม่มีทางที่จะรู้หรอก ว่าสิ่งที่เขามองเห็น มันแตกต่างจากเรามากน้อยเพียงใด
แต่สำหรับผม ผมว่าการที่เราจะเลือกเดินบนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งแล้ว เราก็ควรเดินไปอย่างมีความสุข ไม่ใช่เดินไปด้วยความทุกข์
มีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อ และเชื่อมาโดยตลอด
... เราทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้
“However bad life may seem, there is always something you can do and succeed at.
Where there's life, there's hope.”
(บางครั้ง เรื่องแย่ ๆ อาจจะเกิดขึ้นมาในชีวิตของคุณ แต่มันก็ยังมีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้เสมอ และทำมันให้สำเร็จได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิต มันยังคงมีความหวัง)
Stephen Hawking