เคียวที่ 1 : ลางบอกเหตุ
ระยะทางระหว่างหอในกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ได้ห่างกันมากมายเท่าไร
ไม่นานนัก รถเก๋งสีดำก็จอดลงบริเวณลานจอดรถของคณะ ทันทีที่ผมจอดรถลง ไอ้พวกเพื่อนตัวดีทั้งหลายก็โคตรจะรักเพื่อน รีบลงจากรถ เดินจ้ำไปแทบจะไม่รอผมเลย ผมเลยรีบวิ่งตามพวกมันไป ขณะเดียวกันรถยนต์สีขาวมาจากทางไหนก็ไม่รู้ขับมาทางผมอย่างรวดเร็ว เฮ้ย ๆ นี่มันที่จอดรถนะเว้ย ผมหันไปมองอย่างตกใจ เฮ้ย !
เอี๊ยด !
กะ…เกือบไปแล้ว ตามด้วยเสียงกรี๊ดของใยไหมที่รีบวิ่งกลับมาหาผม พร้อมไอ้ชาและไอ้อิฐ
“คุณ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ขอโทษที ผมเหม่อไปหน่อย”
ผู้ชายวัยกลางคนรีบลงมาจากรถ หน้าตาตื่น ดูท่าทางคงเป็นอาจารย์ในคณะแน่เลย
“เอ่อ ผมไม่เป็นอะไรครับ”
อาจารย์แกขอโทษขอโพย เมื่อดูแน่ใจแล้วว่าผมไม่เป็นอะไรมาก แกก็เดินขึ้นรถขับไปจอดบริเวณที่จอด
“มึงโอเคไหมเนี่ย” ไอ้อิฐถามผม
“เออ ๆ กูไม่เป็นไร”
“ช่วงนี้ มึงนี่ซวยแปลก ๆ นะ เมื่อวานก็ตกบันไดตอนขนของขึ้นหอ ก่อนหน้านั้นตอนไปบ้านไหมอยู่ดี ๆ โคมไฟระย้าของคุณหญิงแม่มันก็ร่วงใส่เฉียดหัวเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วไหนจะวันนี้อีก ปีนี้ปีชงมึงปะวะ”
เออจริงของมัน นี่ยังไม่นับเรื่องที่มันเกิดกับผม ที่พวกมันไม่รู้อีกนะ ลื่นล้มในห้องน้ำงี้ ชงกาแฟน้ำร้อนลวกมืองี้ ระบบไปทั้งตัวแล้ว ทั้งที่ผมไม่เคยเป็นคนซุ่มซ่ามอะไรแบบนี้มาก่อน
เสียงกลองดังสนั่นไปทั่วโถงด้านล่างของตึก รุ่นพี่หลายคนกำลังเต้นและร้องเพลงสันทนาการอย่างสนุกสนาน ล้อมรอบกลุ่มน้อง ๆ ที่กำลังนั่งเป็นแถว หลายคนสนุกสนานตามรุ่นพี่ ขณะที่บางคนนั่งหน้านิ่งประมาณว่า ‘มาทำอะไรให้กูดูวะเนี่ย’
พวกเราเดินผ่านไปยังจุดลงทะเบียนที่อยู่ด้านหลังบริเวณที่ทำกิจกรรม ซึ่งมีพี่กลุ่มหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว พวกพี่ ๆ ยิ้มถามชื่อพวกเราก่อนจะหยิบป้ายมาเขียนห้อยคอแล้วบอกให้ไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนที่ทำกิจกรรมอยู่
“น้อง ๆ ที่มาสาย ลงทะเบียนแล้วออกมาด้านหน้าด้วยนะคะ”
เสียงดังขึ้นมาจากพี่สันทนาการก่อนที่พวกเรากำลังจะหย่อนตัวลงไปนั่งที่พื้น เอาแล้วไง โดนเล่นแน่เลย นึกว่าจะตีเนียนไปนั่งแบบสบาย ๆ ได้ ผมกับเพื่อนจึงต้องลุกขึ้นเงยหน้ามองรุ่นพี่ผู้หญิงที่เรียก ดูไกล ๆ พี่เขาใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงเลสีแดงสูงประมาณ 165 ตัวขาว ๆ ตาโต ๆ ปากเล็ก ๆ และนั่น กำลังยิ้มกว้าง
น่ารัก นี่คนหรือตุ๊กตาเนี่ย …
“เพื่อน ๆ เขาแนะนำตัวกันหมดแล้ว ไหนแนะนำตัวทีละคนสิคะ”
พวกเราไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ทางด้านหน้ากลุ่มเพื่อนโดยเริ่มแนะนำตัวจากอิฐที่ยืนอยู่ขวามือสุด ติดกับพี่ที่เรียกพวกเรามาข้างหน้า ซึ่งผมเหลือบมองป้ายชื่อพี่เขา และพบว่าที่ป้ายเขียนไว้ว่า ‘P’ ฟองนม’
ชื่อก็น่ารัก คนก็น่ากิน เอ้ย ไม่ใช่...
“สวัสดีครับ ผมชื่ออิทธิกร ชื่อเล่นชื่ออิฐ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ”
“ผมชื่อชานนท์ครับ ชื่อเล่นชาบู เพื่อน ๆ เรียกชา สูง 184 น้ำหนัก …”
เอ่อ นี่มันจะแนะนำตัวหรือส่งตัวเองประกวดอะไรสักอย่างหรือเปล่า พูดซะขนาดนี้ แต่เพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ก็ขำกับความขี้เล่นของมัน นี่แหละมั้ง เสน่ห์ของชาบูมันล่ะครับ
“ฝากเนื้อฝากตัว ฝากหัวใจด้วยนะครับ”
พูดจบชาบูก็ขยิบตาที่เกือบจะหลับของมันหนึ่งที โอ้โห แค่นี้ก็หล่อทรงพลัง แบบตี๋เกาหลี สเปคสาว ๆ อยู่แล้ว ถ้าไม่ติดนิสัยกวนอวัยวะเบื้องล่างอะนะ ยังจะมีหน้าแผ่รัศมี มากลบผมกับไอ้อิฐอีก
แต่เอาเข้าจริง กลุ่มผมหน้าตาดีเกือบทุกคน ไม่ได้โม้นะ ไอ้อิฐก็ตัวสูงพอ ๆ กับไอ้ชานั่นแหละ หน้าตามันก็ดีใช้ได้ ไสตล์คนเหนือ แต่ดูลุคแบดบอยนิด ๆ ใยไหมน่ะเหรอ รายนี้ หน้าหวานมาก ๆ ตรงข้ามกับปากอย่างสิ้นเชิง ตัวสูงผิดมนุษย์ผู้หญิงธรรมดา สูงเกือบ 175 แน่ะครับ เป็นนางแบบได้สบาย คือถ้าใส่ส้นสูงอีกสักห้าเซนต์นี่ตัวเท่าพวกผมเลย
“เราชื่อใยไหม เรียกไหมเฉย ๆ ก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน”
สั้น ๆ กระชับได้ใจความ เจ้าตัวพูดจบก็โปรยรอยยิ้มหวานราวกับกำลังเดินไฟนอลวอล์คประกวดนางงามจักรวาล ทำเอาผู้ชายทั้งภาควิชาเคลิ้มทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง หึ ๆ ลองได้รู้จักจริง ๆ จัง ๆ ซะก่อนเหอะ จะได้รู้ว่ารอยยิ้มนั้น มันก็เป็นแค่เพียงภาพลวงหลอกตา ที่เธอสร้างขึ้นมาให้พวกคุณตายใจ
“ผมชื่อคีย์บอร์ด เรียกคีย์ก็ได้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
“ยินดีค่ะ ฝากแล้วไม่ให้คืนนะคะ ไปห้องน้ำแป๊บเดียว โผล่มาอีกทีเจอแต่งานดี ๆ อิอิ”
ฮิ้ว ! ตามมาด้วยเสียงโห่ฮา ดังมาจากทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง เจ้าของเสียงทุ้มห้าวคือรุ่นพี่สันทนาการรูปร่างใหญ่โตทาปากสีแดง กำลังเดินมาทางด้านหน้า
“แหม พี่บอลลี่จะไปแซวน้องเขาทำไมคะ ดูซิ เขินจนหน้าดำหมดแล้ว”
โห นี่พี่ฟองก็เล่นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย ผมดำขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ผิวสีแทนเองมั้ง ผมได้แต่ยืนนิ่ง ยิ้มอ่อนให้คนที่แซว จะไปทำอะไรได้ล่ะ ใช่สิ ผมมันไม่ได้ตัวขาวเหมือนไอ้อิฐ ไม่ได้ตาตี่หน้าหล่อแบบไอ้ชาบูนี่หว่า
“พี่ฟอง พวกน้อง ๆ มาสายขนาดนี้เราต้องทำโทษ ทำอะไรดีนะพี่ฟอง”
“น้อง ๆ ที่นั่งอยู่ให้เพื่อนทำอะไรดีคะ อะไรนะ อ๋อ ๆ เต้น เพลงไรดี อ๋อ ๆ เพลง XYZ”
เชื่อพี่เขาเลย ผมเห็นเพื่อนที่นั่งอยู่แค่ยิ้ม ๆ ยังไม่ทันพูดอะไรกันสักคำ นี่เล่นถามเองตอบเองเฉยเลย
“พี่จะให้พี่บอลลี่เต้นให้พวกเราดูก่อน มีข้อแม้ว่าต้องเต้นได้แรงมากกว่าหรือเท่ากับ ถึงจะได้กลับไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ เข้าใจไหมคะ น้องอิฐ น้องชา น้องไหม น้องคีย์”
พูดจบพี่บอลลี่ก็เดินหน้าไปหนึ่งก้าว พร้อมเต้นสาธิตเป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา โดยมีเสียงร้องเพลงจากเพื่อน ๆ และพี่สันทนาการที่ยืนล้อมอยู่รอบ
“ถึงตาน้อง ๆ แล้วค่ะ เริ่ม !”
ผมได้แต่ยืนเก้กัง ๆ ทำท่าทางตามใยไหม ไอ้ผมก็เต้นเป็นที่ไหน ปกติมีงานเลี้ยงฉลองหรือปาร์ตี้อะไรก็ได้แต่นั่งมองเพื่อนเต้น เหลือบตาไปมองเพื่อนอีกคนริมสุด ที่สกิลการเต้นอยู่ในเลเวลเดียวกันกับผม อิฐนั่นเอง ค่อยโล่งอกหน่อยมีตัวเปรียบเทียบ ส่วนชาบูกับใยไหมสองคนนี้แทบจะเลียนแบบท่าต่อท่ามาแบบเป๊ะ ๆ
“น้องอิฐ…ผ่าน น้องชาบู…ผ่าน น้องใยไหม…ผ่าน น้องคีย์บอร์ด … ไม่ผ่านค่ะ”
ฮะ ! อะไร ยังไง ทำไมไม่ผ่าน ไม่ผ่านได้ไง ขนาดไอ้อิฐยังผ่านเลย นี่กะจะแกล้งกันเห็น ๆ เลยนี่
อ้าวเฮ้ย แล้วนั่น ... ไอ้พวกเพื่อนสุดที่รักนี่กะจะทิ้งผมไว้คนเดียวจริงเหรอเนี่ย ทั้งสามคมเดินจากผมไป โดยมีไอ้ชาบูหันมายักคิ้วแล้วโบกมือบ๊ายบาย ทำเอาเพื่อน ๆ หัวเราะกันครืน
“แหม เห็นน้องคีย์ทำหน้าลำบากใจพี่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ พี่มีช้อยส์ให้เลือก” พี่ฟองพูด
หืม อะไรอะ น่ารักแล้วยังใจดีอีก ผมหันไปหาพี่ฟองที่มีแววตาระยิบระยับแปลก ๆ
ฮ่าฮ่าฮ่า เสียงหัวเราะดังขึ้นจากไอ้พวกเพื่อนตัวดีที่หยิบมือถือมาถ่ายรูปผมและเซลฟีกับผม ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างพักเที่ยงและกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ อิฐยื่นจอโทรศัพท์ส่งให้ผมดูหน้าตัวเอง ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้มีหนวดแมว งอกออกมาด้วยฝีมือพี่ฟอง ตามมาด้วยกรอบแว่นทรงกลมรอบตาผม แถมบนหัวผมตอนนี้ถูกมัดจุกแล้วมีลูกโป่งสองใบติดอยู่และเขียนว่า ‘ผมไม่เล็กนะครับ’ จากฝีมือพี่บอลลี่
“มึงแม่งก็น่าแกล้งจริง ๆ อะ ชอบตีหน้านิ่ง ๆ ขรึม ๆ พี่เขาคงอยากให้มึงคลายเครียดอะ ฮาว่ะ แต่กูว่า ก็ดูเข้ากับหน้ามึงนะ ฮ่าฮ่า”
เครียดหนักกว่าเดิมอะดิ ก็จริงอยู่ ผมอาจจะทำหน้านิ่ง ๆ แล้วทำไงได้ล่ะ ก็หน้าผมมันเป็นแบบนี้นี่หว่า จะให้ทำหน้าทะเล้นยิ้มตลอดเวลาเหมือนชาบู ใครจะไปทำได้
“ว่าแต่เมื่อกี้ที่พี่เขาให้จับฉลาก พี่รหัสมึงผู้ชายผู้หญิง ภาคไรวะ” ไอ้อิฐถามผม
“กูได้พี่ผู้หญิง ภาคเดียวกันกับพวกเรานี่แหละ”
“โห มึงโชคดีจังวะ กูแม่ง ได้พี่ผู้ชายอยู่โยธาแถมให้อีเมลกูแทนเบอร์โทรอีก สงสัยจะติสท์มาก ชื่อก็ไม่มี” ไอ้อิฐบ่น
ก็แหงล่ะ เรียนวิศวะจำนวนผู้ชายก็มากกว่าผู้หญิงเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว จับได้ผู้ชายก็ไม่แปลกหรอก แต่ถ้าแม้แต่ชื่อก็ไม่ให้นี่ก็ควรตงิดใจละว่า พี่รหัสมันปกติหรือเปล่า
“เออกูก็เซ็ง ได้พี่ผู้ชาย อยู่ไฟฟ้า”
ชาบูทำหน้ามุ่ยหยิบข้าวกล่องออกมาแกะ
“เราได้พี่ผู้ชายด้วยอะพวกแก อยู่ไฟฟ้า” เสียงดังแหลมมาจากด้านหลังของอิฐ
ไหมเดินมาจากทางไหนไม่รู้ทำหน้าปลื้มปริ่มเวลาพูด ก่อนนั่งลงพร้อมสาวแว่นหน้าตาน่ารักอีกคน สงสัยจะเป็นเพื่อนใหม่
“เหรอ เลิกคิดแบบนั้นเลยยัยบ้า เห็นหน้าแกแล้วขนลุก พี่แกบางทีอาจจะเป็นแบบ ว๊าย ไม่เอา ไม่พูดดีกว่า” ไอ้ชาพูดดัดเสียงสะดีดสะดิ้งพร้อมทำท่าประกอบ จนโดนฝ่ามือไหมฝาดกบาลไปหนึ่งที
“ย่ะ แกก็ระวังไว้นะ พี่แกอาจจะเป็นแบบ น้องชาครับ น้องชานี่สเปคพี่เลยครับ ตี๋ ๆ แบบนี้พี่ชอบมาเป็นของพี่เถอะครับ” ใยไหมทำท่าล้อเลียนจะลุกไปกอดไอ้ชาซึ่งเจ้าตัวก็ทำท่าทะเล้นจะกอดกลับ จึงโดนตีกบาลไปอีกหนึ่งดอก เฮ้อ สองคนนี้เจอหน้ากันทีไรเป็นแบบนี้ตลอด
“เออนี่ เพื่อนใหม่เรา ชื่อครีม ไอ้ตี๋ปากหมาชื่อชา หล่อ ๆ ดำ ๆ นั่นคีย์ ส่วนหน้าแม้วเหมือนเพิ่งลงมาจากดอยชื่ออิฐ แนะนำอีกทีกลัวแกลืม”
โอ้โห หล่ออาจจะใช่ แต่ใครดำเนี่ย ผมคงอยู่ผิดกลุ่มเองแหละ คนหนึ่งก็มาจากภาคเหนือ อีกคนหนึ่งก็มีเชื้อจีน ตัวผมเลยกลายเป็นดำไปซะงั้น
“ไหม พูดผิดพูดใหม่ ผิวแบบนี้เรียกสีแทนเว้ย” พูดจบก็ตามด้วยเสียงขำของเพื่อน ๆ แซวเรื่องอื่นผมอาจจะเงียบ แต่สำหรับเรื่องนี้ ผมจะไม่ยอม
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ พวกนายดีจังมาจากโรงเรียนเดียวกัน แล้วยังได้มาอยู่ด้วยกันอีก เราซิมาคนเดียวเลย” ครีมพูดขึ้น จะว่าไป คงต้องปรับตัวหน้าดู ถ้าไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่ามาเลย แถมมาอยู่ดงวิศวะที่มีแต่ผู้ชายอีก
พวกเราคุยกันอีกสักพัก ก่อนพวกพี่จะเรียกไปทำกิจกรรมต่อในตอนบ่าย ซึ่งมีการแบ่งเป็นฐานต่าง ๆ เข้าไปเล่นเกมหลากหลายชนิด เช่นเตะบอลสามขา กินวิบาก ซึ่งกว่าจะเล่นวนกันครบทุกฐานก็เกือบห้าโมงเย็น สภาพแต่ละคนตอนนี้ ที่เคยหัวเราะผม กลับมีสภาพไม่ต่าง เกือบทุกคน มีทั้งแป้ง ทั้งปากกาเมจิกอยู่บนหน้า หนักสุดก็คงเป็นไอ้ชาบู ที่ตาตี๋ ๆ ถูกเขียนขนตางอกยาวออกมาเป็นแพ คิ้วโก่งดั่งคันศรยิ่งกว่าสักคิ้วสี่มิติ ริมฝีปากถูกสีลิปสติกทาเป็นสีชมพูระเรื่อ แล้วยังมีหนวดอึมครึมรอบหน้ามันอีก ส่วนบนหัวโดนเอากิ่งไม้ที่มีใบไม้ติดอยู่มาแปะไว้ เล่นเอาพวกเรากดชัตเตอร์รัว ๆ
การเข้ารับน้องของภาควิชาผ่านไปสามวันติดเป็นการรับน้องแบบไปเช้าเย็นกลับหอ ดูไวจนเหมือนโกหก วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว มันทำให้พวกเรามีความสนิทสนมและรู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ก็มาถึงช่วงท้ายของกิจกรรมแล้ว ทุกคนนั่งรวมตัวกันอยู่บริเวณลานกว้างใต้ตึกเพื่อรอทำพิธีปิด ก่อนการรับน้องครั้งนี้จะจบลง ก็มีรุ่นพี่ผู้ชายผู้เป็นประธานค่ายเดินออกมา พูดนู่นนี่นั่นนิดหน่อย พร้อมกล่าวปิดงาน พวกเราได้ถ่ายรูปร่วมกันก่อนจะแยกย้าย
“แล้วเจอกันนะครับ อีกอย่างอย่าลืมติดต่อพี่รหัสนะ เดี๋ยวจะไม่มีข้าวเย็นกินตอนเข้าห้องเชียร์”
หลังเสร็จกิจกรรม พวกพี่ ๆ ก็ออกมาเต้นสันทนาการส่งท้ายเป็นแถวยาวสองฝั่งทางที่พวกเรากำลังจะเดินออกภาควิชาเพื่อกลับหอใน เป็นภาพที่น่าประทับใจใครหลายคน ความเขินอายที่มีในตอนแรกหายไปหมด การละลายพฤติกรรมด้วยกิจกรรมรับน้อง ทำให้กำแพงบาง ๆ ที่กั้นระหว่างคนไม่รู้จักกันให้หายไป กลายเป็นรุ่นพี่ เป็นรุ่นน้อง เป็นเพื่อน และบัดนี้พวกเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ภาพตรงหน้าผมเป็นอะไรที่มันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออกจริง ๆ บางคนก็ลงไปเต้นกับรุ่นพี่อย่างสนุกสนาน บางคนก็แลกเบอร์ แลกไลน์ แลกเฟสบุ๊คเพื่อติดต่อกัน ผมรู้สึกว่าการรับน้องของภาควิชาเรามันช่างแสนจะอบอุ่นเสียจริง
“เฮ้ย นี่อะ กูว่าจะคืนให้มึงตั้งนานละ รูปที่มึงฝากกูไว้ตั้งแต่วันปัจฉิมอะ ลืมทุกที”
ตอนนี้ผมกับเพื่อน ๆ กลับถึงหอเรียบร้อยแล้ว ชาบูเป็นคนทักผมหลังจากมันรื้ออะไรสักอย่างในตู้เสื้อผ้า ก่อนยื่นรูปใส่กรอบไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นรูปตัวผมเองสมัย ม.6 ตัดผมรองทรงสูง ใส่เสื้อนักเรียน กำลังยิ้มอยู่ บนกระจกถูกเขียนด้วยปากกาสีดำว่า congratulations
“เออ ขอบใจว่ะ”
ผมยื่นมือไปรับ ที่ฝากไอ้ชาเอาไว้ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากจะลืมคนที่ให้ไว้ก็เท่านั้น ฝากไว้เกือบหกเดือนแล้วสินะ ตั้งแต่วันปัจฉิมนิเทศ พอคิดถึงหน้าคนให้ ใจมันก็หวิว ๆ บอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็รู้สึกดีกว่าเดิมเยอะแล้ว เลือกที่จะเก็บไว้เฉพาะความทรงจำดี ๆ ก็พอ
“โห รูปตั้งแต่ชาติปางก่อนเลยนะ ดูดิ หัวยังเกรียนอยู่เลย คนสำคัญมึงทำให้ไม่ใช่เหรอวะเนี่ย” ไอ้อิฐพูดพร้อมกับยื่นหน้ามามองรูปในมือผม
ใช่ ... คนสำคัญที่ไม่รู้ตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง มีความสุขไหม เคยคิดถึงเราบ้างหรือเปล่า หรือมีแค่เราที่คิดไปเองคนเดียวเหมือนที่ผ่านมาตลอดหลายปี
“เฮ้ย ไม่เอา ไม่ดราม่า ไม่น้ำตาซึม กูนึกว่ามึงโอเคแล้วนะเนี่ยถึงคืนให้ แม่งหลายเดือนละ ไว้ที่กูนาน กูกลัวจะหาไม่เจอ มึงก็เห็น ตู้กูอะ วันดีคืนดี มีงูเข้าไปยังหาทางออกไม่ได้เลย”
ชาบูเดินมานั่งข้างเตียงกอดคอผม ตามมาด้วยอิฐที่เอื้อมมือมาตบบ่าผมเบา ๆ
“หน้าอย่างมึงเนี่ย เดี๋ยวก็ได้ เดี๋ยวก็โดนเว้ย” ไอ้อิฐพูด
นี่พวกมันจะปลอบผมหรือจะเล่นตลกกันวะเนี่ย
“พอเลยพวกมึง รักกูกันมาก กูงี้ซึ้งจนน้ำตาจะไหล”
ผมลุกขึ้นจากเตียง เอามือไอ้ชาที่คล้องคออยู่ออก ผมจะเอารูปไปวางบนโต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่ตรงข้ามเตียงสักหน่อย พอวางเสร็จหันหลังกลับมาไม่ถึงสามวินาที เสียงของแตกก็ดังขึ้น
เพล้ง !
ผมหน้าเสีย หันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เมื่อกี้ก็วางไว้ดีแล้วนี่นา ร่วงลงมาได้ยังไง ผมก้มลงหยิบกรอบรูปที่วางแน่นิ่งอยู่กับพื้นหงายขึ้นมา กระจกที่ครอบอยู่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนหล่นกระแทกรุนแรงจนน่าตกใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวโต๊ะก็ไม่ได้สูงอะไรมากมาย เหลือแต่ภาพผมที่ส่งยิ้มกลับมาหา
“มึง พรุ่งนี้ไปทำบุญกัน กูรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ หลายครั้งละ โคมไฟร่วง ตกบันได รถเกือบชน แล้วนี่อีก”
ผมหันไปหาคนชวนที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ขณะผมกำลังก้มเก็บเศษกระจก ไอ้ชามันตกใจจนหน้าซีด อย่าบอกนะว่ามันเชื่อพวกเรื่องกรอบรูปตก เป็นลางร้ายอะไรแบบนี้ด้วย ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะชวนเข้าวัด ชวนเข้าแต่ร้านเหล้า ว่าจะแซวเห็นหน้าตี๋ ๆ จริงจังขนาดนั้นเลยไม่กล้าพูดต่อ
“กูเห็นด้วย เดี๋ยวกูโทรชวนไหมกับครีมไปด้วย ถือโอกาสทำบุญก่อนเปิดเทอม”
ผมพยักหน้าหงึกงัก ไม่อยากขัดใจเพื่อน ทั้งที่จริงพรุ่งนี้เป็นวันหยุดวันสุดท้ายก่อนเปิดเรียน อยากจะนอนอยู่หอแบบชิว ๆ
ด้วยความไม่ระวัง มือเอื้อมไปหยิบเศษกระจกชิ้นสุดท้ายลงถังขยะจึงโดนบาดจนเลือดออก ผมหยิบทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดแผลตัวเอง เห็นของเหลวสีแดงบนมือแล้วรู้สึกแปลก ๆ หวิว ๆ ยังไงพิกล
ไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนตอนอกหัก …
ไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนตอนกำลังเศร้าหรือเสียใจ มันไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย …
มันว่างไปหมด …
ว่างเปล่าจนน่ากลัว …
ผมไม่ได้เป็นคนเชื่อเรื่องลางบอกเหตุอะไรแบบนี้หรอก แต่นี่มันชักจะบ่อยเกินไปแล้ว …
อะไรที่มันจะเกิด มันก็ต้องเกิด … สินะ