ตอนที่แล้วChapter 4 ข้ามเขตแดนสู่แมนไคน์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 6 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

Chapter 5 หาข่าวของผู้กล้า


สมุนไพรที่ไปเก็บมาจากในป่าส่งตรงถึงมือหมอประจำสถานพยาบาล ก่อนที่สองหนุ่มจะเข้าไปช่วยกันแยกชนิดของสมุนไพรที่ถูกเก็บมาก่อนหน้านี้เพื่อที่พวกผู้ช่วยหมอจะนำไปชำระล้างสิ่งสกปรกแล้วนำมาเก็บไว้ในภาชนะที่บรรจุเพื่อให้หมอตัวจริงนำไปจัดยาให้คนไข้ที่มาใช้บริการ

“เจ้าเป็นอะไร เห็นเหม่อตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ปฏิกิริยาของชายผมทองทำให้เพื่อนร่วมงานสงสัย เจ้าตัวมีอาการตั้งแต่เข้าไปช่วยหญิงสาวแปลกหน้าจากนั้นก็เหม่อลอยบ่อย ๆ แม้กระทั่งตอนนี้

“โทษที เจสัน ข้าคงไม่ค่อยสบาย” พอได้ยินเพื่อนเรียก เลโอนาร์ดจึงได้สติก่อนจะมองสองมือตัวเองที่แยกสมุนไพรปนกันมั่วไปหมด เจ้าตัวจึงรีบแยกประเภทใหม่โดยเร็ว

“เจ้าไม่สบายหรือลืมหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กันแน่ ข้าเห็นนะ ตอนเจ้าช่วยนาง เจ้ามองนางตาไม่กะพริบเลย” เจสันกล่าวอย่างรู้ทัน เขาสนิทกับอีกฝ่ายมาสามปี เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้

“ข้าเกลียดคนรู้ทันจริง ๆ”  เลโอนาร์ดถึงกับถอนหายใจยาว “ที่จริงข้าเองก็บอกไม่ถูก ตอนสบตากับนาง ถึงจะแค่แป๊บเดียว ข้าก็รู้สึกว่าข้าละสายตาจากนางไม่ได้ น่าเสียดาย ข้ายังไม่ได้ถามชื่อนางเลย”

“เอาเถอะน่า  นางก็แค่คนแปลกหน้า เผลอ ๆ อาจจะมาจากต่างถิ่นก็ได้ เวลาผ่านไปเดี๋ยวก็ลืมเอง ในเมืองนี้มีผู้หญิงสวย ๆ ตั้งเยอะ ถ้าเจ้าถูกใจใครสักคน เจ้าก็จะลืมนางไปเอง” เจสันตบบ่าปลอบใจเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะลงมือคัดแยกสมุนไพรต่อเพราะเมื่อกี้มีผู้ช่วยหมอโผล่หน้ามาดูแล้ว

“ข้าต้องรีบแยกสมุนไพร เดี๋ยวไปทำงานที่ร้านอาหารสาย”

“เจ้านี้ก็ขยันทำงานจริง แค่ทำงานในสถานพยาบาลยังได้เบี้ยเลี้ยงไม่พออีกเหรอ”

“มันเรื่องของข้า ข้าอยากเก็บเงินเยอะ ๆ จะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง จะให้ข้าอยู่ห้องเช่าไปตลอดชีวิต ข้าไม่เอาด้วยหรอก” กล่าวจบ เลโอนาร์ดก็ส่ายหัวไล่ภาพของหญิงสาวแปลกหน้าออกไปจากห้วงความคิด ตอนนี้เขาควรจดจ่ออยู่กับงานมากกว่าจะไปสนใจเรื่องอื่น

หลังจากผ่านเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่ร้านอาหารมาได้ สองป้าหลานก็เดินหาสถานที่หาข่าวแห่งใหม่จนกระทั่งมาพบกับร้านอาหารอีกแห่งซึ่งมีผู้คนเข้ามาใช้บริการไม่มากแต่ก็ไม่น้อย บรรยากาศก็เรียบร้อยกว่าร้านก่อน  โรซาเลียจึงพาเอราเคียเข้าไปข้างในโดยเลือกที่นั่งเป็นมุมหนึ่งของร้านซึ่งไม่น่าจะเป็นจุดสนใจของใคร

“ดูเหมือนทุกคนในร้านจะเป็นนักเดินทางนะคะ หลังเราสั่งอาหารแล้ว ข้าจะลองคุยกับพวกเขาดู”

“ทำไมต้องสั่งอาหารด้วย เรามาที่นี่เพื่อหาข่าวไม่ใช่เหรอ” ปกติแล้วเอราเคียมักจะส่งคนไปสืบข่าวมาให้หากอยากรู้เรื่องอะไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาหาข่าวเอง ดังนั้นหลาย ๆ เรื่องจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ท่านป้าคะ ที่นี่ร้านอาหารนะคะ เราเข้ามาแล้วก็ต้องสั่งอาหารมากินสิคะ ถือว่าช่วยอุดหนุนเขาบ้าง” โรซาเลียแนะนำอีกฝ่ายเข้าใจ เอราเคียพยักหน้ารับก่อนที่พนักงานคนหนึ่งจะเดินมาพร้อมยื่นเมนูให้ทั้งสอง

“จะรับอะไรดีคะ”

“มีเมนูอะไรแนะนำไหมคะ” อดีตผู้กล้าถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“สตูเนื้อวัวเป็นของขึ้นชื่อของร้านเลยค่ะ”

“งั้นจัดมาสองที่เลยค่ะ” โรซาเลียรีบสั่งอาหาร พนักงานพยักหน้ารับพลางจดเมนูลงบนกระดาษ

“ขออนุญาตเก็บเมนูนะคะ” หญิงสาวรับเมนูอาหารคืนมาจากทั้งสองก่อนจะรีบกลับไปที่หลังร้านโดยเร็วเพราะอยากให้เชฟประจำร้านเริ่มทำไว ๆ ลูกค้าจะได้ไม่รอนาน

“สตูเนื้อวัวเหรอ ข้าเคยได้ยินว่าวัวเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแมนไคน์ ที่ซาตาน่าไม่มีสัตว์ชนิดนี้ ข้าก็เลยไม่เคยเห็น แต่ถ้าเป็นภาพวาด ข้าเคยเห็นจากในหนังสือ” ตั้งแต่เกิดมา เอราเคียไม่เคยกินเนื้อวัวมาก่อน และนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลิ้มรส

“เนื้อวัวอร่อยนะคะ ท่านป้า” โรซาเลียกระซิบบอก

“เจ้าเคยกินเหรอ”

“เคยสิคะ นั่นน่ะของโปรดข้าเลย ที่จริงตลาดในเมืองหลวงก็มีขายนะคะ ท่านป้าลองใช้ให้คนไปซื้อมาทำอาหารสิคะ แต่เนื้อไม่สดเท่าไหร่ รสชาติก็เลยอาจจะไม่อร่อยเท่าที่แดนมนุษย์” เธอไม่อยากให้จอมมารสาวสงสัยว่าเธอรู้รสชาติของเนื้อวัวได้ยังไงจึงรีบบอกสถานที่ที่ขายเนื้อวัวในเมืองหลวงของซาตาน่าให้ราชินีปีศาจรับรู้

โชคดีที่พี่สาวคนรองไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารด้วยตัวเองบ่อย ๆ เธอก็เลยเคยถาม!

“อยากกินสตูเนื้อวัวเร็ว ๆ จัง ตอนข้าท้อง ข้าอยากกินมาก ไนเจลลัสนี่วิ่งแจ้นเลย พูดแล้วก็คิดถึงตอนที่พาอีตานั่นไปกินอาหารในเมืองมนุษย์…” เพียงแค่นั้นโรซาเลียที่กำลังพึมพำอยู่คนเดียวก็ชะงัก นัยน์ตาสีเขียวเบิกกว้าง จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ยกมือข้างหนึ่งกุมขมับ

ทำไมอยู่ ๆ เธอถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมา เท่าที่จำได้ เธอกับไนเจลลัสเป็นศัตรูกันและเขาก็ทำร้ายเธอด้วย ถ้าเธอไม่ตัดสินใจกระโดดระเบียงวันนั้นก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แต่สิ่งที่เธอพึมพำออกมาเมื่อครู่มันแสดงให้เห็นว่าเธอรู้จักเขา แถมความสัมพันธ์ก็ไม่ได้เลวร้ายด้วย

เศษเสี้ยวความทรงจำหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว โรซาเลียเห็นตัวเองในสมัยที่ยังเป็นผู้กล้าสวมชุดทะมัดทะแมงจูงมือผู้ชายที่สวมชุดคลุมสีดำยาวระพื้น เจ้าตัวสวมฮู้ดคลุมศีรษะแต่ดูจากปอยผมสีขาวโผล่ที่ออกมาแล้ว ผู้ชายคนนั้นคือไนเจลลัสแน่ ๆ

“เจ้าลากข้ามาที่นี่ทำไม”

“นี่พ่อคุณ มาร้านอาหารก็ต้องมากินอาหารสิ อีกอย่างนี่ก็เป็นตอนเที่ยง ข้าถึงพาเจ้ามาที่นี่ไง” โรซาเลียส่งยิ้มสดใสก่อนจะลากคนมาด้วยไปนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน

“ข้าไม่มีเงินที่พวกมนุษย์ใช้กันหรอกนะ” ไนเจลลัสเอ่ยเสียงเครียด

“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านจอมมาร เดี๋ยวผู้กล้าคนนี้เลี้ยงเอง เห็นแบบนี้ข้าก็ได้เบี้ยเลี้ยงพอ ๆ กับพวกเจ้าหญิงเจ้าชายเลยนะ เอาไว้ข้าไปกินข้าวที่บ้านเจ้า เจ้าค่อยเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนละกัน” เจ้าของเสียงหวานโยนถุงเงินโชว์ ต่อให้เขากินข้าวอีกสิบจาน เธอก็มีเงินจ่าย

“...”

“ขอสตูเนื้อวัวสองที่ค่ะ!” โรซาเลียหันไปตะโกนเรียกพนักงานพลางชูมือขึ้น พนักงานคนหนึ่งพยักหน้ารับก่อนจะเขียนรายการลงในกระดาษแล้วเดินหายเข้าไปทางหลังร้าน

“เป็นผู้กล้าที่ประหลาดจริง ๆ บุกปราสาทข้าแล้วประกาศว่ามาเป็นเพื่อนก้น วันดีคืนดีปีนเข้าห้องข้าแล้วชวนไปข้างนอก เป็นผู้กล้านี่ว่างมากหรือไง ได้ข่าวว่าอีกสามวันเจ้าจะเคลื่อนพลข้ามชายแดนนี่” ไนเจลลัสนั่งเท้าคาง นัยน์ตาสีแดงโกเมนจ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวแล้วถามต่อ “บอกมา เจ้าคิดจะทำอะไร”

“เจ้าก็บอกมาก่อนสิ วันก่อนคลังเสบียงของกองทัพฝ่ายมนุษย์ถูกวางเพลิง คงเป็นแผนตัดกำลังเสบียงล่ะสิ” โรซาเลียสวนกลับด้วยกรณีเดียวกัน ทำให้คู่สนทนามองหน้าเธอเขม็ง

“...”

“เจ้าไม่ต้องมาจ้องหน้าข้าหรอก ข้ารู้ว่าข้าสวย สวยตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงข้าจะไม่เคยแต่งหน้า แต่ข้าก็สวย ดูซะ นี่หน้าสดข้า ซึ่งที่จริงก็หน้าสดทุกวันอยู่แล้วล่ะ จะไปลุยที่ไหนก็ทำให้ข้าสวยน้อยลงไม่ได้เลย”

“ยัยผู้กล้าติ๊งต๊อง สมองคงกลับด้านอยู่สินะ” ไนเจลลัสถึงกับหลุดด่าก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมากระดกแล้วเบนสายตาไปทางอื่น แต่โรซาเลียกลับรู้สึกว่าเขากำลังกลอกตามองบนมากกว่า

“ไนจี้อ่ะ ทำไมต้องว่ากันด้วย”

“โรซาเลีย”

“คะ?” เสียงเรียกของเอราเคียทำให้เธอตื่นจากภวังค์ สาวผมแดงหันกลับไปมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นอะไรอีก “ท่านป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ ถ้าต้องการอะไร บอกข้าได้นะคะ”

“ข้าจะบอกเจ้าว่าอาหารมาแล้ว”

“อ้อ” หญิงสาวก้มมองตรงหน้าแล้วก็เห็นถ้วยสตูเนื้อวัววางอยู่ตรงหน้าสองถ้วย “กินเลยค่ะ ท่านป้า เดี๋ยวข้าจะลองลากพนักงานสักคนมาคุย” ว่าแล้วก็มองหาใครสักคนที่เดินมาใกล้ ๆ

“น้ำครับ คุณลูกค้า” ชายหนุ่มผมสีทองเดินมาเสิร์ฟน้ำเย็น ๆ จังหวะที่ส่งแก้วให้สาวผมดำ เธอก็เงยหน้ามองพอดี นัยน์ตาของทั้งสองสบกันก่อนที่ชายคนนั้นจะเบิกตากว้าง

“เจ้า…”

“เจ้าคือคนที่ช่วยข้าเมื่อตอนนั้นใช่ไหม” เอราเคียจำหน้าเขาได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสติบินไปแล้วเพราะไม่นึกว่าหญิงแปลกหน้าที่วนเวียนอยู่ในสมองซ้ำไปซ้ำมาจะอยู่ในร้านนี้ด้วย

“พี่ชาย มาแล้วก็ดี ข้ามีเรื่องอยากถาม” โรซาเลียรีบรั้งอีกฝ่ายไว้ทันที

“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากทราบอะไรหรือครับ” เลโอนาร์ดเบนสายตามาทางโรซาเลียทั้งที่ในใจอยากจะมองเอราเคียให้นานกว่านี้

“ผู้กล้าคนใหม่นี่ใครเหรอ ข้าอยากรู้น่ะ พอดีข้าจะไปเยี่ยมญาติที่มีบ้านอยู่ใกล้วิหารศักดิ์สิทธิ์ กลัวว่าพอไปถึงแล้วจะคุยกับคนแถวนั้นไม่รู้เรื่อง”

“อ้อ เรื่องนั้นเองเหรอครับ ตอนนี้ผู้กล้าคนใหม่ยังไม่ปรากฏตัวเลย พวกนักเดินทางก็พูดกันว่าทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังกังวลอยู่ ตอนนี้นักบวชที่ออกเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เสาะหาคนที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้กล้า ถึงอย่างนั้นก็ยังคว้าน้ำเหลว”

“เขายังไม่ปรากฏตัวอีกเหรอ” เอราเคียขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าการเจรจากับผู้กล้าจะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้เสียแล้ว “ดูเหมือนจะมาเสียเที่ยวสินะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าเชื่อว่าสักวันผู้กล้าจะต้องปรากฏตัวแน่” เลโอนาร์ดคิดว่าเธออาจจะรู้สึกไม่ดี ตอนนี้ที่ซาตาน่ามีจอมมาร แต่แมนไคน์กลับไร้เงาผู้กล้า หากเป็นแบบนี้ไปนาน ๆ เกิดจอมมารรุกรานแดนมนุษย์ขึ้นมา ใครจะเป็นผู้นำในการปกป้องมนุษย์กัน

“ข้าก็หวังว่าเขาจะมาเร็ว ๆ นะ” เอราเคียกล่าวพลางตักอาหารเข้าปาก รสชาตินั้นอร่อยเหมือนที่โรซาเลียพูดไว้ไม่มีผิด “สตูเนื้ออร่อยมาก ใครเป็นคนทำเนี่ย”

“เลโอนาร์ดเป็นคนทำค่ะ คุณลูกค้า เมื่อก่อนเขาเป็นแค่เด็กล้างจานประจำร้าน แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนทำอาหารที่ร้านขาดไม่ได้เลยค่ะ” พนักงานสาวคนหนึ่งที่กำลังเก็บโต๊ะใกล้ ๆ ยื่นหน้าเข้ามาพลางผายมือไปทางหนุ่มผมทอง

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังต้องฝึกอีกเยอะ” คนถูกชมรีบโบกมือปฏิเสธแก้เขิน

“เจ้าชื่อเลโอนาร์ดเหรอ” เอราเคียถามพลางมองสบตาเขา พอเห็นว่าเธอสนใจ เจ้าของชื่อจึงเริ่มทำตัวไม่ถูก “อาหารอร่อยมาก แล้วก็ขอบคุณสำหรับข่าวสาร ไว้มีโอกาสจะแวะมากินอาหารฝีมือเจ้าอีกนะ”

“ขอบคุณมากครับ”

“ข้าชื่อเอราเคีย” ประโยคนั้นทำให้ร่างสูงเบิกตากว้างเพราะไม่นึกว่าผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้จะบอกชื่อกับเขา แถมยังส่งยิ้มให้อีก “ถ้าได้เจอกันอีก จะได้ทักทายถูกคน”

“ครับ เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะครับ” เลโอนาร์ดค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินจากไป แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองหญิงสาวผมดำคนนั้นอีกครั้ง แต่พอมีคนเรียก เจ้าตัวรีบกลับไปที่หลังร้าน

“ดูเหมือนเขาจะสนใจท่านป้านะคะ มองตาไม่กะพริบเชียว” โรซาเลียกระซิบบอกผู้เป็นป้าเนื่องจากตอนที่อีกฝ่ายหันกลับมา เธอมองเห็นพอดี

“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”  เอราเคียก็เห็นปฏิกิริยาตอนที่เขาเข้าใกล้เธอและพอจะรู้ด้วยว่าเขาคิดอะไรอยู่ “วันนี้เรากลับก่อน วันต่อไปค่อยมาใหม่”

“ท่านป้าจะไปที่ไหนคะ”

“เมืองนี้แหละ เราได้คนหาข่าวให้แล้วนี่” แน่นอนว่าเธอหมายถึงเลโอนาร์ด บางทีจอมมารสาวอาจอยากใช้ประโยชน์ตรงที่เขาสนใจเธอ ซึ่งถ้าโรซาเลียเป็นเอราเคีย เธอก็จะทำเหมือนกัน

“อย่างนี้ก็ไม่ต้องถามคนอื่นให้ยุ่งยากแล้วสิคะ”

ในช่วงตอนเย็นเป็นเวลาเลิกงานดังนั้นเลโอนาร์ดจึงเก็บของแล้วเดินออกจากร้านอาหารทางประตูหลัง ปล่อยให้คนอื่นที่มีเวรประจำมาทำหน้าที่แทน หลังพระอาทิตย์ตกดิน ผู้คนส่วนใหญ่ก็กลับเข้าที่พักอาศัย ตัวเขาเองก็เช่นกัน ที่พักของเขาเป็นห้องเช่าเล็ก ๆ ราคาถูกและอยู่ที่ท้ายเมือง ทว่าจังหวะที่เดินผ่านร้านขายเครื่องประดับ ชายหนุ่มก็หยุดชะงักก่อนจะวิ่งถอยหลังมาเมื่อรู้สึกว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าร้านหน้าตาคุ้น ๆ

“เอราเคีย?”

“เจ้าเองเหรอ” หญิงสาวที่สวมฮู้ดหันหน้ามาตามเสียง เลโอนาร์ดจึงตรงเข้ามาคุยด้วย

“ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะครับ แล้วคนที่มาด้วย…”

“เจ้าไม่ต้องพูดสุภาพกับข้าก็ได้ คุยกันธรรมดาเถอะ”

“เอ่อ...ก็ได้ แล้วผู้หญิงที่มากับเจ้าไปไหนซะล่ะ ทำไมยืนอยู่นี่คนเดียว” ทว่าเอราเคียไม่ตอบแต่มองเข้าไปในร้าน เขาจึงมองตามแล้วก็เห็นโรซาเลียกำลังเลือกเครื่องประดับอยู่

“นางอยากได้ของไปฝากพี่สาว”

“เลือกถูกร้านแล้วล่ะ ที่นี่เป็นร้านขายเครื่องประดับอันดับหนึ่งของเมืองเลย ว่าแต่เจ้าไม่อยากได้บ้างเหรอ”

“ไม่ล่ะ” เจ้าของเสียงหวานกล่าวสั้น ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนนั้นทำให้เลโอนาร์ดทำอะไรไม่ถูก เธอดูเฉยเมยมาก ในขณะที่เขาแทบจะเก็บอาการมือไม้สั่นแทบไม่ได้

“พวกเจ้าจะกลับแล้วเหรอ”

“อยากรู้บ้านข้าหรือไง” หญิงสาวสวนกลับอย่างรู้ทันทำให้ชายหนุ่มเก็บคำพูดที่ยังไม่ได้พูดลงคอไป “ข้ากับนางไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก แต่พรุ่งนี้จะมาอีกครั้ง อาจจะซื้อของติดไม้ติดมือด้วย ถ้าเจ้ามีข่าวอะไรมาบอกเกี่ยวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์หรือผู้กล้าก็รีบบอกเลยนะ อย่างที่นางพูดเมื่อตอนเที่ยง ตอนเข้าเมืองหลวง พวกข้าจะได้คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง”

“พรุ่งนี้ข้าจะไปทำความสะอาดที่โบสถ์ประจำเมือง ถ้าเจ้ามีอะไรอยากถามก็แวะมาได้” เลโอนาร์ดถึงกับหลุดยิ้มด้วยความดีใจ ไม่รู้ทำไมพอได้ยินว่าเธอจะมาอีก เขาถึงตื่นเต้นนัก

“ท่านป้า ข้าซื้อของเสร็จแล้วค่ะ”

“ป้า?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินโรซาเลียเรียกเอราเคียว่าอะไร

“นางเป็นหลานสาวข้าเอง ข้าไปก่อนนะ” ปีศาจสาวในคราบมนุษย์ส่งยิ้มหวานก่อนจะจูงมือโรซาเลียเดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไปนานเลยทีเดียว จนกระทั่งมีสุนัขตัวหนึ่งมาเห่าไล่เขาถึงได้สติแล้วมองตามหลังสองสาวไป

“นั่นป้าเหรอ สวยเกินไปแล้ว”

“บังเอิญไปหรือเปล่าคะ เพียงแค่วันเดียวก็เจอหน้าเขาตั้งสามครั้ง” หลังจากเดินออกมานอกเมืองได้ครู่ใหญ่ อดีตผู้กล้าจึงชวนจอมมารสาวคุยเล่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวเงียบจนเกินไป

“เมืองนี้ออกจะเล็ก เจอหน้ากันบ่อยก็ไม่แปลกหรอก” จากนั้นเอราเคียก็เปลี่ยนเรื่องคุยมาเป็นเรื่องเครื่องประดับแทน “แล้วนี่ซื้ออะไรมาล่ะ”

“วันก่อนข้าเห็นท่านพี่ราโมน่าแย่งกำไลของท่านพี่เรเนสซ่าไปใส่ ข้าก็เลยอยากซื้อกำไลใหม่ไปให้น่ะค่ะ” โรซาเลียหยิบกำไลที่ทำจากแก้วขึ้นมาดู เมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์แล้ว ทำให้เครื่องประดับชิ้นนี้ดูแวววาวมากขึ้นไปอีก

พลันเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังแว่วมาจากทุกทิศทาง สาวผมแดงจึงใช้เวทเก็บเครื่องประดับก่อนที่มือจะอยู่ในท่าเตรียมพร้อมชักดาบออกจากฝักเมื่อเห็นว่าป่ารอบตัวปรากฏร่างของโจรสวมหมวกไอ้โม่ง เอราเคียหรี่ตามองเล็กน้อยขณะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ท่าทางเจ้าพวกนี้จะตามเธอกับหลานสาวมาตั้งแต่ออกจากเมืองแล้ว

“ถ้าไม่อยากตายก็ส่งของมีค่ามาให้หมด!”

“ข้าว่าไม่ดีนะพี่ พวกนางสวยขนาดนี้ จับไปทำเมียน่าจะดีกว่า”

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”

หน้าตาอย่างกับปลาดุกชนเขื่อน ใครจะไปอยากเป็นเมียยะ! โรซาเลียสบถในใจขณะชักดาบออกจากฝักได้นิดหน่อย ทว่าเอราเคียกลับยกมือห้ามเธอก่อนจะดึงฮู้ดคลุมศีรษะออกแล้วเขาคล้ายแพะก็ปรากฏบนศีรษะ และนัยน์ตาสีแดงโกเมนนั้นก็วาวโรจน์

“พวกมนุษย์ชั้นต่ำนี่น่ารำคาญจริง ๆ” เอราเคียเอ่ยเสียงเย็นก่อนที่โจรทุกคนจะเบิกตากว้าง พลันร่างทุกร่างก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนอากาศคล้ายถูกบีบคอแล้วจับหิ้วขึ้นไป “เจ้าบอกว่าพวกข้าสวยสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอลูกตาพวกเจ้าไปเป็นการตอบแทนละกัน”

พริบตานั้นก็มีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นควักลูกตาของโจรทุกคนก่อนที่วัตถุทรงกลมเปื้อนเลือดจะลอยมาอยู่เหนือฝ่ามือของจอมมารสาว เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วอาณาบริเวณแต่เอราเคียไม่สนใจ เธอมองลูกตาเหล่านั้นเหมือนเด็กน้อยได้ของเล่นชิ้นใหม่ก่อนจะเดินนำหน้าหลานสาวไป ส่วนโรซาเลียก็แอบไว้อาลัยให้พวกโจรเงียบ ๆ ทันทีที่สองสาวจากไป ทุกคนจึงตกลงมากระแทกพื้นคอหักตายยกกลุ่ม

แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง!

กริฟฟินตัวใหญ่ที่ไปตามเสียงเรียกของจอมมาร ตอนนี้มันพาผู้เป็นนายกับหลานสาวถึงสนามหญ้าข้างตัวปราสาทแล้ว โรซาเลียกระโดดลงมายืนบนพื้นพลางยืดเส้นยืดสายก่อนจะหันหลังไปเห็นเอราเคียลูบหัวสัตว์อสูรเบา ๆ แล้วปล่อยให้มันเดินกลับไปหาผู้คุมที่จะพามันกลับไปที่คอกอีกที

“วันพรุ่งนี้เวลาเดิม เจ้ามาหาข้าที่นี่ เราจะไปแมนไคน์กันอีกรอบ” เอราเคียนัดแนะเวลากับหลานสาวให้เรียบร้อย “ให้ข้าใช้คนพาเจ้าไปส่งบ้านไหม หรือจะนอนค้างที่ปราสาทดี”

“ข้ากลับบ้านดีกว่าค่ะ อยากเอากำไลไปฝากท่านพี่เรเนสซ่าแล้ว”

“งั้นกลับบ้านดี ๆ นะ” จอมมารส่งยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะเดินจากไปโดยมีข้ารับใช้มารอรับ ส่วนเธอก็ควรจะรีบกลับบ้านไปหาพี่สาวคนรองได้สักที ป่านนี้คงชะเง้อคอมองหาอยู่หน้าคฤหาสน์แล้ว

จังหวะที่โรซาเลียกำลังจะวิ่งออกจากพื้นที่สนามหญ้า พลันลมวูบหนึ่งก็พัดมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจะเปลี่ยนไป อาการปวดหัวกลับมาอีกแล้วแม้จะไม่มากนักแต่นั่นก็เป็นสัญญาณบอกให้เธอรู้ว่าเศษเสี้ยวความทรงจำเริ่มปรากฏให้เธอเห็นอีกครั้ง ตอนนี้หญิงสาวยืนอยู่บนสนามหญ้าในเวลากลางวัน มีปีศาจเดินสวนไปสวนมา รวมทั้งจอมมารลำดับที่สิบหกซึ่งเพิ่งเดินผ่านเธอไปด้วย จังหวะนั้นก็มีเสียงระเบิดตูมใหญ่ดังขึ้นก่อนที่กำแพงรอบปราสาทจะพังทลาย ปีศาจหลายตนวิ่งหนีตายอย่างตื่นตระหนก แล้วหญิงสาวผมยาวสีแดงสวมชุดผู้กล้าก็กระโจนขึ้นมาบนซากปรักหักพังตามด้วยตะโกนขึ้นว่า

“ไนเจลลัส!!!” โรซาเลียในสมัยเป็นผู้กล้าเรียกชื่อผู้ปกครองซาตาน่าก่อนที่ทุกสายตาจะหันไปมองเจ้าของชื่ออย่างพร้อมเพรียง “ข้าเหงา ข้าเบื่อ ข้าเลยบุกมาหาเจ้า!”

“...”

“มาเล่น (?) กันเถอะ!”

นั่นตัวข้าเหรอ หญิงสาวไม่นึกว่าตัวเองจะทำบ้าบอขนาดนี้ แต่พอนึกดูดี ๆ เธอจึงนึกออกว่าเคยทำตัวแบบนี้จริง ๆ ยิ่งเทรเวน่าบอกว่าความทรงจำของเธอมีปัญหา แต่ช่วงนี้กำลังฟื้นคืนกลับมาก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเธอรู้จักกับไนเจลลัสมาก่อน พอหันกลับไปมองจอมมาร เธอก็ได้ยินเขาสบถออกมาว่า

“...เชี่ย!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด