เล่ม1 : บทที่ 50 – การเปลี่ยนรูปร่าง
กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 50 – การเปลี่ยนรูปร่าง
โนอาห์ไม่เคยสู้กับผู้ฝึกตนแบบซึ่งๆ หน้ามาก่อน การต่อสู้ของเขากับวิลเลียมเป็นเพียงแค่หนึ่งในการฝึกฝน และกลุ่มของออร์สันซึ่งเขามีหน้าที่แค่คอยสนับสนุนเท่านั้น เขากำลังคิดเช่นนั้นอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนตัวจริงตัวต่อตัวและนั่นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นสุดๆ
‘ในที่สุดก็ได้ประมือกับคนที่ไม่ตายในดาบเดียวจนได้!’
ทหารจากตระกูลลานเซย์ตะลึงเมื่อเห็นโนอาห์ยิ้มให้ในตอนแรก แต่จากนั้นก็กลับมาสนใจกับการต่อสู้อีกครั้งับการต่อสู้อีกครั้งกับการต่อสู้อีกครั้งและพุ่งเข้าหาโนอาห์พร้อมกับยกขวานขึ้นเหนือศีรษะ
โนอาห์ไม่รู้ตัวว่าเขายิ้มออกไป เพราะความสนใจทั้งหมดของเขาไปอยู่กับขวานเล่มใหญ่ที่กำลังตรงเข้ามาหา เมื่อขวานเล่นนั้นห่างจากศีรษะโนอาห์เพียงไม่กี่เซนติเมตร เขาก็หลบไปทางซ้ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับหมุนดาบที่เล็งไปยังศีรษะของทหารคนนั้น
ทหารคนนั้นกำด้ามขวานแน่นและยกขึ้นมาป้องกันดาบ แต่ก็ยังไม่วายเฉือนเนื้อที่แก้มไปเล็กน้อย ชัดเจนแล้วว่าด้ามขวานไม่ได้ช่วยปกป้องผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
เขาถอยห่างออกไปสองสามก้าวและกลับมาตั้งท่าพร้อมโจมตี ทั้งยังคอยระวังเจ้าเด็กฉีกยิ้มที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ
ทั้งคู่กระโดดเข้าหากันและแลกเปลี่ยนการฟาดฟันใส่กันสองสามครั้งก่อนจะเข้าปะทะกันอย่างจริงจังอีกครั้ง ครั้งนี้มีบาดแผลเล็กๆ ปรากฏบนขาขวาของทหาร
โนอาห์ไม่ได้เลือกเป้าหมายแบบส่งๆ แต่เขาเลือกคนที่ไม่พร้อมจะรับมือกับการโจมตีอันรวดเร็วจากสองทิศทางของเขาได้แบบง่ายๆ
ขวานใหญ่ที่ผู้ฝึกตนถืออยู่นั้นไม่เหมาะสมที่จะสกัดกั้นดาบทั้งสองเล่มของโนอาห์ ด้วยความสามารถในการตอบโต้และและร่างกายอันดับสองที่ใกล้ถึงขั้นสูงสุดของในอันดับ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำลายการป้องกันของทหารคนนี้ลำพังแค่ความแข็งแกร่ง
โนอาห์เข้าใจเขาไม่สามารถฆ่าทหารนายนี้ได้ง่ายๆ จนกว่าเขาจะเกิดพลาดและทหารคิดเช่นเดียวกันดังนั้นทั้งคู่จึงเข้าปะทะกันอีกครั้งพร้อมทั้งรอที่จะให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งก่อน
ร่างกายของทหารเกิดบาดแผลขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากโนอาห์โจมตีใส่เขาทุกครั้งที่เขาคิดจะถอยหนีห่างจากเขาเพื่อตั้งกระบวนท่าป้องกัน
หลังจากที่แลกเปลี่ยนการโจมตีใส่กันมากกว่าสิบครั้ง ชุดเกราะของทหารทั้งหมดก็มัวหมองไปด้วยเลือดของผู้สวมใส่
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าโนอาห์จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ แม้ว่าเขาจะไม่มีบาดแผลเลย แต่ “ลมหายใจ” ในร่างกายเขาถูกใช้ไปจนเหลือเพียงครึ่งเดียวและไม่สามารถปลดปล่อยการโจมตีอันรุนแรงใส่ศัตรูได้
จากการต่อสู้อันเร่าร้อนกลายเป็นบททดสอบความอดทน
โนอาห์โจมตีอีกครั้งโดยฟาดฟันด้วยดาบทั้งสองและทหารก็ยกขวานขึ้นมาป้องกัน
เพล้ง!
เกิดการปะทะกันขึ้นอีกครั้ง แต่ทหารเริ่มรู้สึกสับสนเมื่อเขาได้ยินดาบหนึ่งเล่มตีเข้าที่มือของเขา ขณะเดียวกันนั้น ดาบอีกเล่มก็ได้หายไปชั่วครู่และกลับมาปรากฏอีกครั้งที่ใบหน้าของเขาโดยปลายดาบชี้อยู่ที่ตาข้างซ้าย เขารีบหลบทันทีแต่ในช่วงที่เกิดความตกใจ โนอาห์ก็ใช้ดาบอีกเล่มฟันเข้าที่บริเวณหน้าอกของเขา
แม้จะหลบดาบที่มองไม่เห็นได้แต่กลับต้องถูกดาบอีกเล่มฟันเป็นเส้นตรงเข้าที่หน้าท้องจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์
โนอาห์ไม่รอช้าและรีบถอยกลับขึ้นไปบนหลังคารถม้าเพื่อฟื้นฟู “ลมหายใจ” ที่จวนจะหมด เช่นเดียวกับทหาร ทำให้เขามีเวลาดูบาดแผลก่อนที่เครื่องในจะออกมากองข้างนอกจนในที่สุดก็ล้มตายลงกับพื้น
‘อย่างที่คิดไว้เลย กระบวนท่าข้อมืออสรพิษใช้ไม่ได้กับผู้ฝึกตน แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันได้มีโอกาสจบการต่อสู้ได้เร็วขึ้น’
สิ่งที่เขาใช้คือเคล็ดวิชาแรกที่เขาเรียนรู้เมื่อห้าปีที่แล้วจากการไปหลอกใช้ผู้พิทักษ์คนหนึ่ง เขาไม่เคยใช้มันเลยเพราะเคล็ดวิชาที่เขาได้รับต่อจากนั้นแข็งแกร่งกว่ากระบวนท่าที่ไม่สมบูรณ์ของศิลปะการต่อสู้อันดับสองเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมมัน
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้จะต้องกินเวลานาน โนอาห์จึงเลือกที่จะลองใช้อุบายจากเคล็ดวิชาข้อมืออสรพิษ และถึงแม้มันจะใช้หลอกทหารนายนี้ไม่ได้ แต่มันก็ดีพอที่จะช่วยสร้างช่องโหว่ให้กับการป้องกันของเขาได้
‘อย่างน้อยก็ทำให้ฉันรู้จุดยืนของตัวเองเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตน เคล็ดวิชาของฉันกับกระบวนท่าของพวกเขาต่างสูงกว่ามาตรฐาน แต่ความผิดพลาดที่ไม่มีตันเถียนนั้นย่อมรุนแรงกว่ามาก’
เขาเข้าใจว่าตัวเขาเองในตอนนี้ไม่สามารถต่อสู้ที่กินเวลานานได้ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพักและวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อหาว่าที่ใดที่การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือของเขาจะเกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะเดียวกันนั้น ณ ทางเดินเทือกเขา
เควินยังคงถูกตรึงด้วยเวทมนตร์น้ำของจอมเวทย์ แต่เขายังปลอดภัยเพราะเออร์วินถูกขัดขวางโดนกลุ่มผู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไม่ได้ถูกยื้อจนเนิ่นนานเนื่องจากเออร์วินหยิบแส้ที่เหน็บอยู่ข้างหลังมาสังหารทหารทุกคนที่เขาจู่โจมใส่เขา
เควินรู้สึกกระสับกระส่ายขณะดูการต่อสู้ตรงหน้าและผู้ฝึกตนโจมตีขบวนดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะงัดไม้ตายออกมาใช้ ผิวหนังของเขาเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองและกล้ามเนื้อของเขาเริ่มปูดบวม ความสูงของเขาก็ดูจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เขาส่งเสียงคำรามออกมาขณะใช้กำลังทั้งหมดที่มีปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการ
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าแตกร้าวและสายน้ำที่ตรึงร่างกายเขาอยู่ก็ยืดออกจนกระทั่งทานทนความแข็งแกร่งของเควินไว้ไม่อยู่และแตกสลายในที่สุด
เควินเป็นอิสระแล้ว!
เมื่อเขาได้รับการปลดปล่อย ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนความสูงของเขาขึ้นไปถึงสามเมตร! เหล่าทหารรอบตัวเขาต่างตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นรูปร่างของเขาตอนนี้และแม้แต่สีหน้าของเออร์วินเองก็เริ่มจริงจังมากขึ้นขณะมองยักษ์สีน้ำตาล
“ในที่สุดเจ้าก็บรรลุความสามารถเคล็ดวิชาร่างกายของเจ้าแล้วสินะ”
เควินไม่ได้ตอบกลับและค่อยๆ เดินไปหาเออร์วินอย่างช้าๆ พร้อมกับควงค้อนในมือ จอมเวทย์ยิงกระสุนน้ำสองนัดแต่เมื่อกระสุนพุ่งชนผิวหนังสีน้ำตาล กลับทิ้งไว้เพียงแค่ร่องรองสีขาวบนผิวหนังเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น เวทมนตร์ของเออร์วินทำอะไรเขาไม่ได้เลย เออร์วินอัญเชิญสายน้ำสามเส้นซึ่งหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแส้กึ่งโปร่งแสงที่เขาถือในมือข้างซ้าย จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่เควินพร้อมกับแส้แบบธรรมดาในมือข้างขวา
เออร์วินปล่อยการโจมตีด้วยแส้แบบธรรมดาแต่เควินเพียงยกแขนขึ้นมาป้องกันได้อย่างง่ายดาย แส้พันแขนของเขาและจอมเวทย์ก็กำลังจะปล่อยการโจมตีจากแส้น้ำแต่จู่ๆ เควินก็จับแส้และออกแรงดึงสุดกำลัง!
เออร์วินถูกดึงเข้าหาเควินในทันทีและกำลังจะปะทะเข้ากับค้อนแต่แส้น้ำกลับเปลี่ยนรูปร่างเป็นโล่และป้องกันการโจมตีที่กำลังใกล้เข้ามา
โล่น้ำสามารถป้องกันการโจมตีอย่างรุนแรงได้ แต่เออร์วินเองก็ได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกและกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร!
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นรอยแตกเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่บนหัวไหล่ของเควินเลย