ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 เด็กหลงทาง
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ไลออนฮาร์ทตอนเวลารุ่งเช้าเพื่อที่จะได้เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางก่อนค่ำ
ซึ่งก็คือเมืองท่าอันดับหนึ่งของราชอาณาจักรคูราเซียที่อยู่ในเขตเทราเรียของท่านพ่อ
“ถึงแล้วค่ะ คุณหนู”
เนเน่กล่าวขึ้นพร้อมส่งมือมาให้ฉันเพื่อให้จับมือของเนเน่เพื่อลงจากรถม้าอย่างปลอดภัย เพราะฉันใส่ชุดเดรสแบบมีแขนยาวทำให้เคลื่อนไหวลำบากเล็กน้อย
“ขอบใจนะเนเน่”
อันที่จริงฉันอยากใส่ชุดธรรมดาที่ไม่ใช่แขนยาวเนื่องจากอากาศที่เมืองท่านั้นค่อนข้างร้อนในตอนกลางวัน แสงแดดก็แรง เนเน่เลยให้ฉันใส่ชุดนี้มาแทนเพื่อป้องกันผิวไหม้
แต่ชุดนี้ใส่แล้วมันร้อนจริงๆ นะ
“คุณหนูรอที่ด้านนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะนำเอกสารที่นายท่านฝากมาให้กับสมาคมพ่อค้าก่อนสักครู่ค่ะ”
“อืม”
เอกสารที่ท่านพ่อฝากมาเห็นบอกว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับรายงานเศรษฐกิจทางการค้ากับต่างชาติ ห้ามแกะออกดูเด็ดขาดเพื่อปกกันข้อมูลรั่วไหล
ระหว่างที่กำลังรอเนเน่อยู่นั้นฉันได้เห็นเด็กคนหนึ่งท่าทางน่าจะหลงกับพ่อแม่ล่ะมั้ง
เหมือนฉันเมื่อสมัยเด็กจริงๆ
เมื่อก่อนฉันเองก็เคยหลงกับคุณแม่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นก็ได้มีพี่สาวใจดีคนหนึ่งมาช่วยไว้
เธอเดินไปที่ประชาสัมพันธ์แล้วประกาศตามหาคุณแม่ของฉันอย่างจริงจัง ราวกับว่าคนที่หลงไม่ใช่ฉันแต่เป็นพี่สาวคนนั้นแทน
ฉันนึกถึงอดีตแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้น
“หนุ่มน้อย หลงกับคุณพ่อคุณแม่หรอ?”
“ชะ...ใช่ครบ แล้วพี่สาวคือ?”
“อ๋อ พี่สาวก็คือคนที่จะมาช่วยหนุ่มน้อยตามหาคุณพ่อคุณแม่ยังไงล่ะ”
“จริงหรอครับ”
“อื้ม ใช่แล้ว”
เด็กน้อยใช้แขนเสื้อที่ยาวจนถึงข้อมือยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา
ราวกับว่าเขานั้นได้มองเห็นความหวังที่จะได้เจอคุณพ่อกับคุณแม่อีกครั้ง
ฉันจูงมือของเด็กคนนั้นออกไปตามหาพ่อแม่ของเด็กคนนั้นทันที โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาลึกลับที่แอบมองมาเลยสักนิด
ฉันเดินมายันลานกว้างที่มีน้ำพุพุ่งขึ้นมา
จุดนี้เป็นจุดที่มีผู้คนเดินผ่านไปมาตลอดเวลาทำให้คิดว่าน่าจะมีพ่อแม่ของเด็กคนนี้เดินผ่านมาบ้างหรือไม่ก็ครอบครัวอื่นที่รู้จักเด็กคนนี้
ฉันพยายามถามชื่อพ่อแม่ของเด็กคนนี้แต่ดันจำไม่ได้
รู้เพียงแต่ว่าตัวเองชื่อว่า ไคล์ คุณพ่อชอบกินอาหารที่คุณแม่ทำมากแต่มักจะแอบเอาผักไปทิ้งเป็นประจำ
ส่วนคุณแม่นั้นชอบต่อราคาพ่อค้าในตลาดจนใครเห็นเป็นต้องปิดร้านหนี
ฉันที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องตะโตนไปตามสิ่งที่รู้มา
“คุณพ่อของน้องไคล์ที่ชอบทานกับข้าวฝีมือภรรยาแต่แอบเอาผักไปทิ้ง กับคุณแม่น้องไคล์ที่ชอบต่อราคาพ่อค้าจนปิดร้านอยู่แถวนี้หรือเปล่าค๊า!!!!!!”
น่าอายชะมัด
นี่บุตรีดยุกขุนนางชนชั้นสูงสุดรองจากราชวงศ์ต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย
“พี่สาวครับ พอเถอะครับ คนเขามองเยอะแล้วผมอาย”
อาย? ทำไมคนที่อายถึงเป็นเธอล่ะ มันต้องเป็นฉันสิ
ฉันตะโกนต่อไปอีกประมาณ 2-3 รอบ ก็มีผู้ชายกับผู้หญิง 2 คนเดินเข้ามาท่าทางน่าจะเป็นพ่อแม่ของไคล์
“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยพวกเราตามหาไคล์”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันย่อตัวลงไปพูดกับไคล์
“นี่ คราวหน้าคราวหลังก็อย่าหลงกับคุณพ่อคุณแม่อีกล่ะรู้ไหม”
“ครับ ขอบคุณนะครับพี่สาว”
“ขอบคุณนะคะพี่สาว”
ตัวฉันในอดีตก็เคยพูดคำคำนี้ออกไปเหมือนกันสินะ
ในตอนนั้นตัวฉันที่ไม่รู้ประสีประสายืนอยู่ที่มุมของห้างร้านแห่งหนึ่งแล้วก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาช่วยไว้
ถึงจะจำชื่อกับหน้าตาไม่ได้แล้วก็ตามแต่ฉันจำคำพูดติดตลกของเธอคนนั้นได้
“ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าห้ามหลงอีกนะ มันน่าอาย”
ไคล์เดินจับมือคุณแม่แล้วหันหลังมาโบกมือให้กับฉัน
ภาพนี้สินะที่ผู้หญิงคนนั้นได้เห็น มันเป็นภาพที่ดูแล้วอบอุ่นจริงๆ ภาพของครอบครัวที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งเนี่ย
“ไปกันเถอะเนเน่”
เงียบ....
ปกติแค่ฉันเรียกไม่กี่คำเนเน่ก็มักจะตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่ทำไมครั้งนี้ถึงไม่ตอบอะไรเลยล่ะ
มันก็ไม่แปลกที่เธอจะไม่ตอบ เพราะเธอไม่ได้อยู่ที่นี่
“แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย” พึมพำ
แสงสว่างค่อยๆ มืดลง ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้ากำลังถูกยอมให้กลายเป็นสีดำ
ฉันกำลังหลงทาง
คิดเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้แล้วนอกจากหลงทาง เผลอช่วยเด็กคนนั้นตามหาพ่อแม่จนเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ป่านนี้เนเน่คงกำลังหัวหมุนอยู่แน่เลยที่ฉันหายตัวไป
“ยังเป็นคนที่ใจดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ”
“....”
คนที่มาปรากฏตัวตรงหน้าฉันเป็นผู้ชายอายุน่าจะใกล้เคียงกับฉัน
เขาพูดจาเหมือนเรารู้จักกัน
ฉันพึ่งมาถึงเมื่อนี้ยังไม่ทันได้คุยกับใครเลยนะ อันที่จริงคนที่ได้เจอและคุยด้วยก็มีแค่ไคล์กับคุณพ่อละคุณแม่ของไคล์เท่านั้น
หลังจากที่ทักทาย และล่ำลากันก็ยังไม่ได้พบใครอีกเลย
“ตามมาสิ จะนำทางไปหาเนเน่ให้”
ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
ฉันเดินตามเขาโดยทิ้งระยะห่างไว้พอประมาณ เผื่อในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็จะได้วิ่งหนีเขาได้
แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่ได้สนใจอะไรฉันเลยสักนิด แล้วเส้นทางที่เขานำทางฉันก็เป็นเส้นทางที่มีผู้คนสัญจรไปมาตลอดทาง
“โอ้ย”
เพราะเส้นทางที่เขาเลือกมีผู้คนสัญจรตลอดทางเลยทำให้มีผู้คนเยอะ ฉันที่เดินสะเปะสะปะก็เลยชนเข้าผู้คนที่มาเดินในตลาดนัดยามค่ำคืน
เป็นเขาที่ยื่นมือมาจับฉันให้เดินตามไป
ความรู้สึกรู้สึกนี้มันอะไรกัน เป็นความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้ว
เหมือนเมื่อก่อนจะเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้กับฉันตอนที่พึ่งมาเมืองท่าแห่งนี้ครั้งแรก
ฉันถูกเขาพามาจนถึงที่ที่หนึ่ง คล้ายกับคฤหาสน์แต่เล็กกว่า
“คุณหนู”
เนเน่รีบวิ่งเข้ามาหาฉันทันทีที่ฉันมาถึง
เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาปล่อยมือฉัน
“คุณหนูหายไปไหนมาคะ หลังจากที่ดิฉันกลับออกมาก็ไม่เจอคุณหนูแล้ว ดิฉันตกใจมากเลยนะ”
“ขอโทษนะเนเน่ พอดีฉันไปช่วยเด็กหลงทางเอาไว้น่ะ”
“สมกับเป็นคุณหนู”
“ต้องขอบคุณเขา....”
“หายไปไหนมาคลาวด์ พ่อใช้ให้แกไปทำงานแต่กลับไม่เห็นหัว เล่นหายไปตั้งแต่บ่ายยันค่ำ”
คลาวด์? คลาวด์อย่างงั้นหรอ
“นิดหน่อยพ่อ พอดีไปช่วยเด็กหลงไว้คนหนึ่ง”
เด็กหลง? หมายถึงฉันหรอที่พูดน่ะ?
หลังจากนั้นคลาวด์ก็โดนคุณพ่อดุเสียยกใหญ่
เหตุการณ์แบบนี้มันทำให้นึกถึงช่วงเวลาสมัยเด็กจริงๆ ทุกครั้งที่คลาวด์แอบหนีคุณพ่อมาหาฉันและทุกครั้งที่ถูกจับได้ก็จะโดนดุยกใหญ่
“ยินดีต้อนรับครับคุณหนูแองเจล่า พอดีพึ่งได้รับแจ้งว่าคุณหนูจะมาพักผ่อนที่เมืองท่าของเรา ทางนี้เลยไม่ได้เตรียมการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ต้องขออภัยจริงๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองที่ผิด มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”
“ไม่หรอก ยังไงทางเราเองก็ควรเตรียมพร้อมไว้ตลอดเช่นกัน ยังไงวันนี้เชิญคุณพักที่บ้านของผมก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าทางผมจะช่วยขนของไปยังบ้านพักให้”
“อื้ม รบกวนด้วยนะ”
ฉันและเนเน่ถูกคุณพ่อของคลาวด์เชิญให้มารับประทานอาหารร่วมกัน
ในระหว่างทานอาหารฉันพยายามให้เนเน่มานั่งทานด้วยกันกับฉัน ไม่ต้องรอให้ฉันทานเสร็จก่อนตามปกติ
เพราะวันนี้เนเน่ใช้พลังงานกับการตามหาฉันไปเยอะมาก
แต่ก็ไม่เป็นผล
ฉันได้แต่ทำใจยอมแพ้ ในเมื่อเนเน่ยืนกรานว่าจะรอให้ฉันทานเสร็จก่อน ฉันเลยรีบทานแต่ยังคงไว้ซึ่งมารยาทของคุณหนูผู้สูงศักดิ์
แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง ซะที่ไหน
ตกดึกฉันนอนปวดท้องเกือบทั้งคืนเพราะรีบทานมากเกินไปจนกระเพาะย่อยไม่ทัน
ฉันที่นอนไม่หลับเลยเดินออกจากห้องมาเดินเล่นรับลม
ที่เมืองท่าแห่งนี้ในตอนกลางคืนนั้นแทบจะไม่มืดเลยเพราะกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันบนท้องฟ้ามากมายนั้นกำลังส่องแสงลงมา
“อิจฉาเมืองนี้นิดๆ เหมือนกันนะ ที่มีวิวสวยๆ กับบรรยากาศดีๆ แบบนี้”
ตอนกลางคืนก็ไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็นกลับกันบรรยากาศในตอนกลางคืนกลับต่างจากตอนกลางวันลิบลับ
“คุณหนูคะ ออกมาเดินในสภาพแบบนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกค่ะ”
“เอ๊ะ เนเน่ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“ดิฉันเห็นคุณหนูรีบทานอาหารเมื่อตอนเย็นคิดว่าน่าจะมีการปวดท้องบ้าง เลยชงชาสมุนไพรมาให้ค่ะ”
“ขอบใจนะ”
ฉันกล่าวและรับถ้วยที่ใส่ชามาดื่ม
ชาของเนเน่นี่ไร้ที่ติจริงๆ เป็นชาที่หอมและมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์จนน่าจะไปเปิดร้านน้ำชาได้เลยล่ะ
“วันนี้ทั้งวันต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้เดือดร้อน”
“ไม่หรอกค่ะ สมแล้วล่ะค่ะที่เป็นคุณหนูที่ดิฉันรับใช้”
“พูดแบบนั้นเดี๋ยวฉันก็เสียคนพอดี”
“ใช่”
เสียงของคลาวด์ดังแทรกขึ้นมาระหว่างการสนทนาของฉันและเนเน่
“นายพูดอะไรน่ะ คลาวด์”
เนเน่รีบพูดตอบทันที
“ไม่จริงหรือไง ถ้าเกิดแองเจล่าไม่ได้ฉันช่วยเอาไว้ป่านนี้อาจจะหาทางกลับไม่ได้แล้วก็ได้”
“พูดจากับคุณหนูเติมคำว่า”ท่าน“เขาไปด้วยสิ แล้วก็นะ ไม่ใช่นายหรือไงที่คอยตามดูคุณหนูอยู่ตลอดทั้งวันน่ะ”
“นี่ ไหนสัญญาว่าจะไม่พูดไงล่ะเนเน่”
คลาวด์ที่เดิมทีเดินเข้ามาด้วยท่าทางจริงจังถูกเนเน่แฉความจริงออกมา
อารมณ์คล้ายกับเพื่อนที่กำลังจะแกล้งเพื่อนแต่ถูกเพื่อนอีกคนสกัดไว้ทัน
ทำให้นึกถึงสมัยก่อนขึ้นมาอีกแล้วสิ
ทุกครั้งที่คลาวด์ทำท่าจะแกล้งฉัน ก็จะมีเนเน่คอยอกโรงปกป้องตลอดทุกครั้ง แม้คลาวด์จะไม่ได้มีเจตนาร้ายก็ตามที
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ฉันจะมาปรึกษาเรื่องเบตน่ะ”
“เบต? เบตทำไมหรอ”
“ตอนนี้เบตกำลังจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นซิสเตอร์แล้ว”
“งั้นหรอ น่าดีใจแทนเบตนะ เบตเองก็อยากเป็นซิสเตอร์ด้วยสิ”
“ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่ามีข่าวว่ามีขุนนางใช้เงินซื้อตัวพวกซิสเตอร์ไปน่ะสิ”
“ซื้อตัว? งั้นการแต่งตั้งของเบตก็....”
“อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันก็ได้”
ดูเหมือนแผนการที่จะใช้เวลาช่วงนี้ในการพักผ่อนจะต้องเป็นอันพับเก็บไปก่อน
เพราะตรงหน้าฉันกำลังมีปัญหาที่กำลังเข้ามาอยู่