ตอนที่แล้วChapter II Scene 16
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter II Scene 18

Chapter II Scene 17


Chapter II Scene 17

ผมได้รูัเรื่องมาจากดาร์เลเน่ที่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรกว่า ก่อนจะมานอนสลบนั้น พวกเธอ เทรย์เวอร์ โอเรียนน่าและดาร์เลเน่นั้น เข้ามาในประตูหิน ก่อนจะพบกับภาพหลอนที่จะทำให้อ่อนแอลง

ผมเลยถามว่าดาร์เลเน่ว่าเธอไปเจออะไรมาล่ะ รู้ไหมเธอตอบผมว่าไง?

“ห่ะ? แล้วนายคิดว่าในชีวิตฉันมีอะไรแย่ไปกว่านายอีกเหรอ?” พูดออกมาหน้าตาย

อึก! ถึงผมจะชอบให้พูดตรงๆ แต่การที่มาพูดตรงๆแบบนี้… มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดในอกไม่น้อยเลยล่ะ อยากร้องไห้จริงๆ เวลามีผู้หญิงมาพูดแบบนี้ ขนาดภรรยาผมยังไม่เคยว่างี้เลยนะ

“อะไร? นายแคร์คำพูดของฉันด้วยเหรอ~?” ดาร์เลเน่ลากเสียงยาวก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมยิ้มกวนๆ

หาเรื่องกันสินะ? และพอเธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆเท่านั้นแหละ ผมก็ยื่นมือซ้ายไปจับหลังหัวเธอก่อนจะดันเข้ามา และผมก็จูบกับเธอ

“…ทำไรเนี่ย” ดาร์เลเน่พูดออกมาด้วยใบหน้าที่แดงระรื่นขึ้น

“เขินเป็นด้วยเหรอ? เป็นสาวน้องที่ไม่เคยจูบเหรอ?” ผมถามขึ้นด้วยสีหน้ากวนๆออกมา

“นายก็จูบแรกของฉันไม่ใช่หรือ?”

“ฉันก็เป็นครั้งแรกสำหรับเธอทุกๆอย่างนั้นแหละ”

“อะแฮม!”

และในจังหวะจะได้เข้าด้ายเข้าเข็มนั้นเอง เสียงไอขัดของใครบางคนก็ได้ดังขึ้น ผมกับดาร์เลเน่ก็หันไปพร้อมกัน และได้พบกับเอลฟ์ผมเขียว ลิลลี่นั้นเอง

ลิลลี่กำลังมองมาทางพวกเราราวกับกำลังถามว่า ‘พวกคุณหยุดก่อนได้ไหม?’ และนั้นก็ทำให้ผมและดาร์เลเน่แย่งจากกันทันที และพวกเราก็ทำท่าราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น

“พวกคุณเนี่ยน่า~ จะหาโอกาสผลิตลูกได้ทุกครั้งใช่ไหมคะเนี่ย!” ลิลลี่กำลังพูดล้อเลียนผมอยู่

ผมพึ่งสังเกตว่าทุกๆคนเริ่มฟื้นขึ้นมากันแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีที่เราจะได้ไปกันต่อ

“พี่ชาย~” ไวโอเลตวิ่งเข้ามากอดผมแน่น ผมก็ตอบรับกลับด้วยการกอดเช่นกัน

ขี้อ้อนจังนะเด็กคนนี้ ถึงจะไม่รู้อายุจริงๆก็เถอะนะ โนรามองทางผม ไม่สิ ให้บอกชัดๆคือ เธอกำลังมองมาทางไวโอเลต หว่าว่าเธอคงไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม?

ผมนั้นตัดสินใจว่าจะพักก่อนไปต่อ หลังจากถามทุกคนแล้ว ก็ได้ความว่าทุกๆคนนั้นได้เห็นภาพหลอนที่แตกต่างกันไป โดยไวโอเลตนั้นได้เห็นช่วงเวลาที่พี่สาวของเธอทำการสังหารหมู่เหล่าชาวเอลฟ์ ลิลลี่ก็คล้ายๆกัน แต่เป็นการล่มสลายของเผ่าพันธุ์และการถูกจับเป็นทาส

โนรานั้น บอกว่าเป็นเรื่องในอดีตแต่เธอไม่ได้บอกรายละเอียดเพิ่มเติมอะไร โจลี่…เธอ… เอ่อ ไม่บอกผมเช่นเดียวกันกับโอเรียนน่าที่เอาแต่หน้าแดงและค่อยหลยตาผม ดาร์เลเน่บอกว่าแค่เรื่องประจำที่ทำทุกวัน

และคนสุดท้ายนั้น เทรย์เวอร์ มันไม่ได้บอกอะไรผม บอกให้ถูกคือมันเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่ฟื้นแล้ว ผมรู้สึกว่าแววตาเจ้าหมอนี่ชักตายลงเรื่อยๆแล้วสิ

ผมไม่รู้เจ้าบ้านี้ไปพบเจออะไรมา แต่คงสะเทือนอารมณ์ของมันไม่น้อยเลยล่ะ

ผมเลิกสนใจเทรย์เวอร์ และปล่อยให้เวลาทุกคนได้พักไป แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกว่าผมได้เห็นอะไรมา ภาพความทรงจำที่ปีศาจใช้กับผมนั้นเป็นของผมเอง แทนที่จะเป็นของริชาร์ด จึงทำให้ผมไม่สามารถพูดออกไปได้

เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็อยู่ในสภาพที่พร้อมแล้ว ผมเลยเดินไปที่หน้าประตูหิน

“มันต้องเปิดยังไงล่ะเนี่ย?” ลิลลี่เอ่ยขึ้น ทุกคนรู้สึกทึ่งกับขนาดมหึมาของประตูหินนี้เป็นอย่างมาก

ผมก็ไม่รู้จะตอบคำถามของลิลลี่ ของทุกคนยังไงดี เพราะผมเองก็ไม่รู้วิธีเปิดมันหรอกนะ ดูท่าแล้วใช้กำลังเปิดมันคงไม่มีความเป็นไปได้แน่เลยล่ะ

เพราะงั้นอย่างแรกที่ผมทำคือว่างมือไว้บนบานประตูข้างซ้าย และทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงบางอย่างขึ้น

เสียงของกลไกบางอย่าง รูปแกะสลักบนบานประตูนั้นเริ่มขยับขึ้นมาอย่างไม่รู้ที่มา มหากาพย์สู้รบ สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ มังกรต่างคำรามบทท้องฟ้า มีเผ่าพันธุ์ที่คล้ายมนุษย์แต่มีปีกเหมือนนก เผ่าพันธุ์ขนาดมหึมา อาวุธลับโบราณต่างๆ

“มหาสงครามเผ่าพันธุ์?” ไวโอเลตพึมพำขึ้นราวกับรู้บางอย่าง

ผมไม่ค่อยรู้เรื่องมหาสงครามเผ่าพันธุ์หรอกนะ ในเกมไม่ได้บอกอะไรมากนัก แค่ตำนานเท่านั้น…

เมื่อเรื่องราวบนบานประตูทั้งสองข้างได้ดำเนินจนจบดั่งวิดีโอนั้นเอง ประตูหินก็ค่อยๆเปิดออกด้วยตัวของมันเอง

ผมเดินเข้าไปคนแรก ตามมาด้วยคนอื่นๆ ราวกับเป็นคนละสถานที่ในถ้ำ ไม่สิเหมือนไม่ได้อยู่ในถ้ำเลยล่ะตอนนี้

มันอบอุ่นและสว่างไสว มันเป็นห้องทางเดินยาวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนและทองคำ มีบานหน้าต่างถูกตกแต่งสองข้างทางแต่…ข้างนอกนั้นเป็นผนังหิน นั้นยังบอกเราว่ายังอยู่ในถ้ำ

เสาหินอ่อนถูกเรียบเรียงอย่างเป็นระบบระเบียบ พื้นเงาราวกับสะท้อนภาพออกมาได้ ทุกคนต่างตื่นตกใจกับห้องๆนี้ ผมก็เช่นกัน

และในทางยาวที่หรูหรานั้น ทิศด้านตรงข้ามนั้นเอง มีใครบางคนกำลังยืนหันหลังให้พวกเราทุกคนต่างตึงเครียดกัน

ผมเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปใกล้ๆคนผู้นั้น มาหยุดลงจนระยะห่างของเราสองคนเหลือเพียงสามถึงสี่เมตรเท่านั้น

***“มาแล้วรึ?”***เสียงที่แหบแห้งไม่เหมือนมนุษย์ถูกเปล่งออกมาจากคนด้านหน้าผม

“นายสินะ ที่เรียกพวกฉันมาที่นี้?” ผมว่าไอ้คนที่เหมือนบอสนี้ จะต้องเป็นเหตุต้นตอทุกอย่างอย่างแน่นอน

***“พวกฉัน? ไม่…ข้าไม่ได้เรียกพวกอ่อนแอมามากมายขนาดนี้หรอกนะ ทำไม…ถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย”***คนในชุดคลุมสีดำขาดทั้งตัวเอ่ยขึ้นมา

“งั้น…” ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกมาอีกครั้ง ก็ถูกขัดไปเสียก่อน

“ถ้าจะถามข้าว่าข้าเป็นใคร มีจุดประสงค์เช่นไร ข้าก็จำไม่ได้แล้วล่ะ ข้าลืมมันเป็นตั้งแต่เริ่มคิดว่า มนุษย์นั้นจำเป็นต้องดำรงอยู่ด้วยหรือ…”

มันพูดออกมาพร้อมสะบัดตัวหันมาทางผม และผมก็ได้พบกับดวงตาสีแดง กับร่างกายที่เป็นกระดูกถือไม้คฑาที่ถูกทำขึ้นมาด้วยกระดูก

ผมนี้…ถึงกับเหงื่อไหลทีเดียว ก็เพราะเจ้าโครงกระดูกนี้มันกำลังเปล่งออร่าแห่งความตายจนรอบๆตัวมันนั้นมีไอสีดำลอยออกมา

“ข้าเริ่มคิดว่ามนุษย์นั้นสมควรดำรงอยู่หรือ พวกมันนั้นทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง รุกรานอาณาจักรเผ่าพันธุ์อื่น ตั้งตนเป็นผู้รับใช้พระเจ้า กิเลสตัณหา บาปทั้งหลายที่พวกมันคิดจะทำได้”

“ข้าเฝ้ารอมานาน เฝ้ารอคนที่มีบาปเช่นเจ้า”

มันพูดออกมาก่อนจะจ้องมาที่ผม ราวกับมันกำลังมองสิ่งที่มันต้องการ แต่ผมนั้นไม่มีเวลาอดทนมายืนฟังบทเกริ่นนำหรอกนะ

ตูมมม!!!!!

ผมทำการใช้เวทระเบิดเพลิงสีดำใส่เจ้าโครงกระดูกที่คล้ายนักเวท โดยไม่คิดจะฟังมันพะงาบๆหรอกนะ เพลิงสีดำถูกระเบิดออกมาตรงมัน พื้นกระเบื้องเคลือบบริเวณรอบๆนั้นต่างแตกหักออกเป็นใยแมงมุม

“หึๆฮ่ะๆๆ! ใช่แล้ว! จงทำให้ข้าผู้นี้ได้ลิ้มรสของความตาย เพราะไม่งั้นฝ่ายที่ได้ลิ้มรสเสียเอง จะเป็นเจ้า!”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะของมัน ชิ! มันไม่ได้เป็นอะไรเลยนี้หว่า

"ก่อนอื่น พวกตัวเกะกะ…”

ผมรู้สึกไม่ดีกับคำพูดนั้นของมันเลย และเป็นไปตามลางสังหรณ์ของผม มีบางอย่างพุ่งพรวดทะลุหมอกควันออกมา มันรวดเร็วจนเห็นเป็นภาพเบลอๆเท่านั้น

มันมีทั้งหมดแปดสาย พวกมันผ่านตัวผมไป เป้าหมายของมันคือ ด้านหลังผม!!

“!!”

ทุกคนยกเว้นผมถูกโจมตี ดันพวกเทรย์เวอร์เข้ากับประตูที่ปิดลงแล้ว เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่งแล้ว ก็พบว่าทุกคนถูกโจมตีด้วยเสาหินสี่เหลี่ยมเอา

ผมเห็นว่าทุกคนนั้นเพียงแค่สลบไปเท่านั้น ก็ถอนหายใจออกมา

“เมื่อข้าได้คิดถึงเรื่องราวทุกอย่าง ข้าก็ได้ข้อสรุปออกมา ไม่ว่าจะมนุษย์ดีหรือเลว ต่างอยู่ในพื้นฐานเดียวกัน คือความอยากรู้ จนข้าได้ให้คำนิยามแก่มนุษย์ได้ว่า ‘เมื่อมนุษย์มีข้อสงสัย มนุษย์ก็จะเกิดความโลภ’”

ผมหันไปหามัน…

“ฉันคิดว่าตอนที่นายมีชีวิต นายคงเป็นนักปราชญ์สินะ” ผมพูดออกไปด้วยเสียงกวนๆ

แต่เหมือนว่ามันจะไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย

“ตัวข้าไม่ใช่นักปราชญ์ หรือผู้สูงส่งอะไร เป็นเพียงคนบาปที่ปรารถนาความตายเพียงเท่านั้น”

เออ…เดี๋ยวกูจะจัดให้ตามคำขอเลย!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด