บทที่ 253 สัญญานี้จะคงอยู่ชั่วชีวิต
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ไปซะ!”
ไท่สื่อเจินและเว่ยกงกงสบตากันและพากันแบกเซี่ยอู๋หุ่ยออกจากโถงพระราชวังไป ในเมื่อนายของพวกเขาเป็นลมไปแล้วมันก็คงไม่เหมาะสมหากผู้ใต้บัญชาจะลงมือทำการใดโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ สถานการณ์ในตอนนี้ก็ซับซ้อนเกินไป เหมือนว่าเซี่ยอู๋หุ่ยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในขณะที่เจียงอี้ยังถือครองหินเพลิงที่น่ากลัวและพวกเขาก็ยังอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ย
พวกเขากลัวว่าเซี่ยอู๋หุ่ยอาจมีอันตรายได้จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะต้องเลือกสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดและขอตัวออกไปก่อนในเมื่อคงไม่มีอะไรน่าอัปยศไปได้มากกว่านี้แล้ว
และแน่นอนว่านี่มันไม่ใช่อาณาจักรเสินหวู่ ราชาของอาณาจักรต้าเซี่ยไม่กล้าที่จะขัดแย้งกับฝ่ายไหนเลย และไม่กล้าที่จะฆ่าเจียงอี้ หากความยุ่งเหยิงนี้ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เซี่ยอู๋หุ่ยคงมีแต่ความอัปยศมากขึ้น พวกเขาค่อนข้างหลีกเลี่ยงหัวหอกไปก่อนแล้วค่อยหาแผนการอื่นทีหลัง
ขุนนางชั้นสูงของอาณาจักรต้าเซี่ย, หยุนเฟย และคนอื่นๆต่างมองอาณาจักรเสินหวู่จากไปก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างคลุมเคลือยิ่งนัก
เมื่อวานนี้ เจียงอี้ยังเป็นคนทรยศที่ทั้งสองอาณาจักรต่างต้องการตัวอยู่เลย แต่มาในวันนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะเดินเข้ามาที่พระราชวังหลวงอย่างเปิดเผย เขายังทำให้องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่อับจนหนทางและทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องจากไป แม้แต่โรงละครยังไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเช่นนี้เลยใช่ไหม?
ทุกคนมองไปที่เจียงอี้ด้วยความคิดที่แตกต่างกันออกไป มันไม่สำคัญว่าเจียงอี้จะฉ้อฉลหรือใช้อำนาจในการข่มขู่ผู้อื่น แต่อย่างน้อย เขาก็ยังไม่ตายแถมบังคับให้เซี่ยอู๋หุ่ยและคนของเขาถอยกลับไป ซึ่งนั่นคือความสามารถของเขา! หากคนอื่นลองใช้วิธีเช่นนี้ก็คงถูกสับเป็นชิ้นๆไปแล้ว
และแน่นอน!
เหตุผลที่เจียงอี้ทำเช่นนี้ได้ก็เป็นเพราะว่ามันมาจากความอ่อนแอของอาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งอาณาจักรไม่สามารถขัดแย้งกับผู้ใดได้ และเป็นเพราะราชาซูตี๋หวังด้วยเช่นกัน เขานั้นอ่อนแอและไม่มีความเด็ดขาดที่ราชาควรจะมี หากเป็นราชาองค์อื่น เจียงอี้ก็คงจะตายไปกว่าพันครั้งแล้ว
และมันเป็นเพราะเรื่องนี้ เจียงอี้จึงกล้าที่จะมาที่นี่ เขาไม่ใช่คนโง่เขลาและเขามีสติปัญญาที่หลักแหลมเสมอ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาหาเรื่องหรือมาแย่งตัวเจ้าสาว เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือสมุนไพรสยบวิญญาณ
เมื่อเซี่ยอู๋หุ่ยจากไปแล้ว เจียงอี้ก็ยิ้มให้ซูตี๋หวังและกล่าว “องค์ราชาซู ท่านคงจะรู้ว่าองค์หญิงหลิงเสวี่ยฝึกฝนศาสตร์วิญญาณ ในเรื่องของอาณาจักรเสินหวู่นั้น ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ เซี่ยอู๋หุ่ยประกาศออกมาอ่างเปิดเผยแล้วว่าเขาอยากฆ่าผู้ตรวจการผู้นี้ และเมื่อข้ารายงานไปยังองค์จักรพรรดิ เขาจะยกทัพของเขาลงใต้เพื่อกำจัดอาณาจักรเสินหวู่ ท่านจึงไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ”
เขากำลังทำมันอีกแล้ว!
หากเจียงอี้พยายามปล้นอย่างรอบคอบไม่ว่าจะครั้งก่อนหรือตอนนี้ เขาก็กำลังปล้นอย่างเปิดเผยอยู่ดีและคำพูดของเขานั้นเกินจริง เขายังกล่าวถึงการยกทัพไปกำจัดอาณาจักรเสินหวู่ ซึ่งความหมายที่แท้จริงของมันก็คือ ‘หากเจ้าไม่ส่งสมุนไพรสยบวิญญาณมา เจ้าก็คอยดูเถอะ’
ท่าทีของแม่ทัพซูตี๋กั๋วเปลี่ยนไป ปากของเขาขยับอย่างกระทันหันในขณะที่ส่งข้อความลับให้ซูตี๋หวัง “องค์ราชา เราต้องไม่ให้สมุนไพรสยบวิญญาณแก่เจียงอี้ มิฉะนั้นมันจะเป็นความบาดหมางต่อเซี่ยอู๋หุ่ยและราชวงศ์ของอาณาจักรเสินหวู่ มันอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเราและอาณาจักรเสินหวู่ อีกทั้งยังทำให้งานอภิเษกสมรสครั้งนี้สูญเปล่า มันอาจจะทำให้เกิดสงครามระหว่างสองอาณาจักรอีกครั้งก็ได้นะพะยะค่ะ”
“เจียงอี้ไม่ได้มีอะไรเลยและไม่จำเป็นต้องไปกลัวเขา เขามิได้ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยองค์จักรพรรดิเป็นแน่ อย่างมาก ดาบเล่มนั้นก็อาจจะถูกส่งมาโดยองค์หญิงหลิงเสวี่ย หากเราอ่อนข้อให้ในครั้งนี้ ในภายหน้าจักรวรรดิจะต้องกดขี่เรายิ่งกว่าเดิม...”
การแสดงออกขององค์ราชาซูตี๋หวังมืดมนลงและมีความลังเล จริงๆแล้วเขารู้แล้วว่าเจียงอี้ต้องการสมุนไพรสยบวิญญาณนี้แน่นอน และหากมันเป็นของอาณาจักรต้าเซี่ย เขาคงไม่จำเป็นต้องคิดอะไรด้วยซ้ำ
จากสถานการณ์ตอนนี้ เขาจะต้องขัดแย้งกับเจียงอี้หรือไม่ก็อาณาจักรเสินหวู่ แต่ซูตี๋กั๋วก็ปลุกเขาขึ้นมา เจียงอี้นั้นวางท่าอวดดีซึ่งเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนจากจักรวรรดิมังกรเวหาได้
ดังนั้น หลังจากพิจารณาจนถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุดซูตี๋หวังก็ตอบว่า “ผู้ตรวจการเจียง ข้าก็อยากจะมอบสมุนไพรสยบวิญญาณให้แก่ท่านอยู่หรอก แต่นี่เป็นของขวัญสู่ขอธิดาข้า ตอนนี้มันถือว่าเป็นของนางองค์ราชาผู้นี้ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจได้ ท่านคงรู้ว่าตระกูลซูของเรามีความสามารถพิเศษที่เรียกว่าแสงแห่งเสน่ห์เทวะและธิดาของข้าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปี”
“ตอนนี้นางทะลวงไปสู่ขั้นที่สามของศาสตร์ลึกลับนี้ได้ในอายุเพียงเท่านี้และสมุนไพรสยบวิญญาณนี้ก็ยากนักที่จะปรากฏขึ้นมาได้อีก องค์ราชาผู้นี้ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของท่านได้ และคงทำได้เพียงขอประทานอภัยต่อองค์หญิงหลิงเสวี่ยในนามของข้า และในอนาคตเราจะส่งของกำนัลคืนให้นางอย่างสมฐานะ”
คำอธิบายของซูตี๋หวังนั้นตรงไปตรงมาและเขาใช้ซูรั่วเสวี่ยเป็นข้ออ้างได้อย่างชาญฉลาด แม้ว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์แปลกๆระหว่างเจียงอี้และซูรั่วเสวี่ย หลังจากเขาใช้คำอธิบายเช่นนั้น เจียงอี้ก็คงไม่ดึงดันอย่างหน้าด้านใช่ไหม? นี่ก็หมายความว่ามันจะไม่ขัดแย้งต่อทั้งสองฝ่ายนี้
“อื้ม สิ่งที่ท่านกล่าวมาก็ถูกต้องแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ”
โดยไม่ได้คาดคิด เจียงอี้ยอมรับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ลังเลย น้ำเสียงของเขาไม่มีความลังเลใดๆและหลังจากที่เขากล่าวเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ทางออกโถงพระราชวัง จากนั้นก็โค้งคำนับอย่างสบายๆและกล่าวคำอำลา “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับขององค์ราชา ผู้ตรวจการผู้นี้ยังมีบางสิ่งที่ต้องทำ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
คำกล่าวของซูตี๋หวังนั้นหลักแลมมากจนเจียงอี้ไม่สามารถทำอะไรได้!
เจียงอี้สามารถเมินคนทั้งโลกได้ แต่ไม่ใช่กับซูรั่วเสวี่ยที่มอบความเมตตาและมีบุญคุณต่อเขามากเกินไป และนางยังเป็นผู้หญิงที่เขาหลงรัก เมื่อซูรั่วเสวี่ยจะใช้มัน และเขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับแสงแห่งเสน่ห์เทวะของนาง เขาจึงไม่ต้องการมันไปดื้อๆ
“เดี๋ยวก่อน!”
ขณะที่เจียงอี้กำลังหันหลังออกไป ซูรั่วเสวี่ยก็เงยหน้าและพูดขึ้นมาทำให้ร่างกายของเจียงอี้สั่นเทา แต่เขาก็ไม่หันหลังกลับไปและถามด้วยน้ำเสียงที่ผ่าเผย “องค์หญิงรั่วเสวี่ยต้องการกล่าวอันใดหรือ?”
ซูรั่วเสวี่ยหยิบกล่องหยกที่อยู่บนเวทีทองคำม่วงซึ่งเป็นหนึ่งในของหมั้นจากเซี่ยอู๋หุ่ยขึ้นมา นางมองไปที่ซูตี๋หวังและกล่าวออกมาโดยไม่สนใจ
“ท่านพ่อ ในเมื่อท่านบอกว่าสมุนไพรสยบวิญญาณนี้เป็นของข้า เช่นนั้นข้าก็คงเป็นคนตัดสินใจเองได้! แสงแห่งเสน่ห์เทวะของข้านั้นอยู่ช่วงคอขวดและตอนนี้สมุนไพรสยบวิญญาณก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า ทำไมจะให้ผู้ตรวจการเจียงนำไปถวายให้องค์หญิงหลิงเสวี่ยไม่ได้ล่ะ!”
“นี่....”
ซูตี๋หวังมีสีหน้าประหลาดใจและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาไม่สามารถขว้างก้อนหินใส่เท้าตัวเองได้ใช่ไหม? เขาพูดไปแล้วว่าซูรั่วเสวี่ยเป็นเจ้าของสมุนไพรสยบวิญญาณ
“ฟึ่บ”
นางเหวี่ยงกล่องหยกในมือไปที่เจียงอี้ เมื่อนางเห็นเจียงอี้รับมันด้วยความตกใจ นางก็ยิ้มออกมาเบาๆในขณะที่ดวงตาของนางก็เปล่งประกายไปด้วยน้ำตาขณะที่นางกัดริมฝีปากและพูดว่า
“ผู้ตรวจการเจียง ท่านช่วยส่งคำทักทายไปถึงองค์หญิงหลิงเสวี่ยด้วย และช่วยส่งข้อความถึงคนผู้หนึ่งที บอกเขาว่า..ข้าขอโทษ ที่รั่วเสวี่ยทำให้เขาผิดหวัง! หากชาติหน้ามีจริง รั่วเสวี่ยจะขอติดตามและรับใช้เขาไปชั่วชีวิต”
เมื่อนางพูดจบ น้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตาของนางก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกต่อไป มันกลายเป็นน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากดวงตาของนาง นางจ้องมองไปที่เจียงอี้อย่างลึกซึ้งราวกับว่าพยายามที่จะเก็บสายตาที่เขาจ้องมองมันไว้ในก้นบึ้งของหัวใจก่อนจะหลับตาและวิ่งกลับเข้าไปภายในโถงพระราชวังด้วยท่าทางที่ทรมาน
เจียงอี้มองซูรั่วเสวี่ยจากไปอย่างสงบนิ่งและค่อยๆหลับตาโดยไม่พูดอะไรด้วยท่าทางที่เงียบสงบ ทุกๆคนสามารถรับรู้ถึงความเศร้าโศกและความเจ็บปวดในใจของเขาได้ ราวกับว่าเขาเป็นหมาป่าโดดเดี่ยวที่ถูกทอดทิ้งและยืนอยู่เพียงลำพังบนยอดภูผาและเห่าหอนขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ที่สว่างไสว
เขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นนานเกินไป เขาหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วและจากไปด้วยความเงียบงัน เหลือไว้เพียงแผ่นหลังที่มองแล้วดูอ้างว้างและเดียวดาย เมื่อเขาออกจากโถงพระราชวัง เขาก็โกรธขึ้นมาทันใดและดึงดาบมังกรเพลิงออกมาพร้อมตวัดลงไปที่พื้นทันที
“บูมม!”
มังกรเพลิงสองตัวบินไปข้างหน้าด้วยกลิ่นอายที่สูงส่งซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำลายสวรรค์ชั้นฟ้าและปฐพีได้ พื้นที่ถูกผ่าออกเป็นร่องลึกถูกทิ้งไว้ที่พื้นด้านนอกโถงพระราชวังซึ่งความกว้างของร่องใหญ่กว่าสามเมตรและความยาวที่ห่างออกไปหลายเมตร
“ฟึ่บ”
เมื่อแสงจากเครื่องรางสัตว์วิญญาณส่องสว่างในมือของเจียงอี้ อินทรีมังกรก็ปรากฏขึ้นมา เขากระโดดขึ้นไปบนตัวมันและตะโกนออกมาอย่างดุเดือดในขณะที่อินทรีมังกรสยายปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจียงอี้ที่ยืนอยู่บนหลังของอินทรีมังกรหันกลับมามองพระราชวังหลวงที่มีขนาดเล็กลง เขาถ่ายเทแก่นแท้พลังพร้อมตะโกนออกมา “ซูรั่วเสวี่ย! อย่างที่ข้าเคยพูดกับเจ้า หากในอนาคต หากผู้ใดกล้าที่จะยั่วยุเจ้า ข้าจะถลกหนังมันทั้งเป็น หากอาณาจักรใดกล้ากลั่นแกล้งเจ้า ข้าจะสังหารมันทั้งตระกูล หากอาณาจักรใดกล้ามาตอแยเจ้า ข้าจะทำลายมันทั้งอาณาจักร! นี่คือคำสัญญาของข้า และคำสัญญานี้มันจะคงอยู่..ไปชั่วชีวิต”