ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 5 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 5 ตอนที่ 1
เมื่อโดจินขอให้ใครทำอะไรให้ดู เด็กคนอื่น ๆ ก็จะเต้นมั่ว ๆ หรือทำท่าทางประหลาด ๆ ใส่กันกลุ่มเด็กรอบ ๆ โดจินนั้นหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน มารุเองก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กคนอื่นหัวเราะกัน
แน่นอนว่าพวกเขาคือเด็กที่ค่อนข้างจะหัวทื่อ เรียนช้า เข้าใจยาก ในสายตาของผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาคือเหล่าเด็กมีปัญหา ที่เป็นตัวปัญหาของสังคม แต่มันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ในเมื่อเกรดไม่สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับนิสัยใจคอของคนได้ ถึงเขาจะไม่กล้ารับปากว่าเด็กหัวช้าทุกคนจะเป็นคนดีก็ตาม
“เฮ้ย ขอด้วยดิ” เด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังห้องพูดขึ้น แต่โดจินกลับเมินด้วยการยิ้มเยาะ
“อะไรวะ อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย” เด็กหนุ่มบ่น
“หุบปากไป ไปซื้อเอาเองสิ” โดจินทำน้ำเสียงดุดันผิดปกติ ส่วนอีกฝ่ายก็แค่ยักไหล่สวน
“เหอะ ทำเป็นเท่เหรอวะ แค่บอกว่าไม่ให้ก็จบแล้ว”
“ทำเท่อะไรล่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองจ้องหน้ากันตาเขม็ง บรรยากาศรอบ ๆ นั้นราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดตัดผ่านไปมา แต่บรรยากาศนั้นก็มีอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะเด็กคนอื่น ๆ ได้เริ่มทยอยกันเข้าห้องมา มารุหันไปมองเด็กที่นั่งอยู่ด้านหลัง
เขามีชื่อว่า คัง โดวุค ความจริงแล้วที่นั่งของเขาอยู่หน้าห้อง แต่ไม่นาน เขาก็ไปแย่งที่นั่งคนอื่นมานั่งแทน และแน่นอนว่าเหยื่อนั้น ต้องไปนั่งที่ด้านหน้า และคนที่โดนโดวุคแย่งที่นั่งมานั้นมีลักษณะท่าทางเป็น ‘เหยื่อ’
คนที่มีอยู่ในทุกห้องเรียน คนที่ไม่ได้เรียนเก่ง เข้าสังคมเองก็ไม่ค่อยถนัด พวกคนที่ทำได้แค่ตอบรับ
มารุมองไปรอบห้องอีกครั้ง ถ้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อนกับเจ้าคนที่นั่งด้านหน้า เขาจะต้องกลายเป็น ‘เบ๊’ ของห้องไปอย่างแน่นอน
‘อ่ะ จำได้แล้ว’
เบ๊ประจำห้อง จะต้องเป็นหมอนี่แน่ ๆ จากความทรงจำของเขา เด็กคนนี้เป็นคนที่มักถูกเพื่อนในห้องใช้งาน เด็กคนอื่นมักจะ ‘ขอ’ ให้เขาช่วยเสมอ แต่จริง ๆ มันก็เป็นการบังคับให้ทำกราย ๆ มารุเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เขาจำไม่ได้แม้แต่หน้าหรือชื่อของเด็กคนนั้นเสียด้วยซ้ำ จำได้แค่ความรู้สึกน่ารำคาญในตอนนั้น ถึงเขาจะไม่ได้ช่วยทำอะไรให้สถานการณ์มันดีขึ้นก็ตาม
เพราะยังไงเสียมันเป็นเรื่องส่วนตัว อย่างน้อย ๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคิดเมื่อตอนนั้น เขายังจำข่าวลือที่เพื่อน ๆ ในงานเลี้ยงรุ่นพูดกันได้ว่าหมอนั่นได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่โต
“มินจี นี่หุ่นดีฉิบหายว่าปะ?” เด็กคนหนึ่งในห้องพูดขึ้นมา
“อ่า ให้ตาย เมื่อวานเกือบจับบอสได้แล้ว” เด็กอีกคนตะโกนขึ้นที่อีกฝั่งของห้อง
“หลังเลิกเรียนไปเล่นบาสกันปะ?”
“วันนี้ข้าวเที่ยงเมนูอะไรวะ?”
คนในห้องค่อย ๆ ส่งเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เด็กหนุ่มด้านหน้ากลับจ้องมองไปข้างหน้าด้วยความเงียบเชียบ เขาไม่ได้นั่งฟังเพลงหรืออ่านอะไรอยู่ด้วย มีบางครั้งก็จะหันมามองในห้องบ้าง ราวกับว่าอยากจะเข้ามาร่วมวงคุยด้วย
‘ต้องลงมือแล้ว’ มารุคิดในใจ
เขาต้องลงมือตอนที่เด็กคนอื่นยังไม่คุ้นชินกับเด็กหน้าห้องคนนี้ เพราะถ้าเขาถูกหมายหัวว่าเป็น ‘ตัวตลกประจำห้อง’ เมื่อไหร่แล้วล่ะก็... คงไม่มีใครอยากจะเข้าไปคุยด้วยแน่นอน เพราะไม่มีใครอยากจะโดนหมายหัวไปด้วย
“รู้ที่เก็บเวลดี ๆ ปะ? ดันกระดูกที่ 8 แม่งอย่างขยะ คนโคตรเยอะ” เด็กคนหนึ่งบ่น
“ก็บอกว่ามันไม่มีที่ไหนดีกว่านั้นแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าห้องเม้มปากของตัวเองราวกับกำลังพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ก้มหัวลงไปพร้อมกับถอนลมหายใจยาว ๆ
มารุเองก็กำลังถอนหายใจเช่นกัน
“เป็นไร?” โดจินถาม และเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือการ์ตูน
“นี่โดจิน” มารุพูด
“ว่า?”
“เพื่อนกันต้องช่วยกันใช่ไหมวะ?”
“พูดไรของเอ็ง?”
โดจินหันมามองมารุด้วยสีหน้างงงวย มารุยิ้มและลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปที่แถวหน้าสุด
* * *
ปาร์ค เดมยัง เองนั้นก็อยากจะใช้ชีวิตให้สดใสเหมือนชื่อ แต่ว่าเรื่องนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่สมัยเขายังอยู่ประถมแล้ว
“ฮ่ะ หน้าตาตลกดีอะ” เด็กคนหนึ่งพูดใส่เขา
ชีวิตของเดมยังทั้งชีวิตได้เปลี่ยนไปเพราะคำพูดคำนั้นคำเดียว เขายังจำมันได้ดี หลังได้ยินคำพูดนั้นในตอนประถม 3 เขาก็เริ่มไม่คุยกับเพื่อน ๆ อีก
ทำไมเขาถึงได้คิดมากกับมันนัก? เพราะหลังจากช่วงหนึ่งไป ทุกคนในห้องต่างก็เรียกเขาว่าตัวอัปลักษณ์ เขายังจำได้ดีว่าเพื่อน ๆ หยุดเรียกเขาด้วยชื่อจริง และเป็นตอนนั้นเองที่เขายอมรับในความอัปลักษณ์ของตัวเอง เขาพยายามไม่สุงสิงกับใครจนเขาเรียนจบชั้นประถมและเข้ามัธยมต้น เขาใช้เวลาในช่วงนั้นอย่างไม่ต่างจากเดิมมาก แถมยังโดนรังแกอีกต่างหาก
เดมยังเกลียดใบหน้าของตัวเอง แก้มของเขานั้นยื่นออกมาราวกับกบ ส่วนดวงตาและหน้าผากก็เล็กจนผิดสัดส่วน เขาพูดน้อยลงเรื่อย ๆ แต่การกลั่นแกล้งกลับยิ่งรุนแรงขึ้นแทน ในวันจบการศึกษาเดมยังรีบกลับบ้านทันทีหลังจบพิธีเพราะเขาไม่อยากจะได้ยินเสียงอันมีความสุขของเพื่อนร่วมห้องตัวเอง
‘จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้’ เขาคิด หลังจากนั้นเดมยังก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาถึงเข้ามาเรียนในโรงเรียนอาชีวะแทนที่จะเรียนต่อโรงเรียนปกติ บางทีนิสัยของเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ถ้าได้เจอสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ
‘และถ้ามาเรียนอาชีวะก็ไม่ต้องไปเจอพวกเพื่อนสมัยมัธยมต้นด้วย’ นั่นคือความตั้งใจของเขา แม่ของเขาเองก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการเลือกโรงเรียนของเขานัก เพราะแม่ของเขาเองก็พอเข้าใจสถานการณ์ที่โรงเรียนเก่าอยู่
และจากนั้น... วันเปิดเรียนวันแรก เขาคิดที่จะสร้างเพื่อนด้วยการแนะนำตัวที่น่าประทับใจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น