Chapter II Scene 11
“
Chapter II Scene 11
”
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ผมกับคุณหนูคายานั้นออกเดินมา ตามทางก็คอยกำจัดศัตรูที่เข้ามา ซึ่งมันก็มีแค่แมงมุมโง่ๆเท่านั้น แต่ว่าเปลือกมันนั้นไม่เล่นด้วยน่ะสิ มันแข็งอย่างกับเหล็ก ฟันแทงไม่เข้า
ผมนี้ต้องใช้ไฟอบมันอย่างเดียวเลย แต่เพลิงสีดำนั้น มันใช้พลังเวทมากกว่าที่คิด ซึ่งใช่ทีก็ต้องให้คุณหนูคายาฟื้นฟูพลังเวทให้ นั้นจึงทำให้เราต้องพักบ่อยๆครั้ง เพราะใช่ว่าคุณหนูคายานั้นจะฟื้นฟูผมติดๆต่อกันแบบไม่พักได้
จิตใจและพลังเวทของเธอก็ต้องถดถอยเป็นธรรมดา ตอนนี้ก็เหมือนกัน ผมพึ่งเผาตะขาบยาวเกือบ 5 เมตรจนสุกได้ที่ แต่คุณหนูคายาไม่ไหวที่จะฟื้นฟูผมได้อีกต่อไป เธอหน้าซีดเหมือนคนเลือดจาง หอบหายใจเหมือนคนเป็นหอบหืด มีเหงื่อไหลออกมาเหมือนคนเป็นไข้ ผมเริ่มเป็นห่วงแล้วสิว่าเธอจะเหนื่อยตาย
“ฉันว่าเราพักอีกสักหน่อยดีกว่า” ผมพูดขึ้น เมื่อดูอาการคุณหนูคายาแล้ว ว่าเธอจะไม่ไหวจริงๆ
“แฮ่ก…แฮ่ก… ฉันไหวค่ะ ฉันไม่เป็นไร” คุณหนูคายาพูดออกมาเหมือนกำลังฝืนตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
“หอบขนาดนั้นยังบอกว่าไหว?”
“ถ้าเรามัวเสียเวลากับแค่ว่าเหนื่อย มันจะทำให้ทุกๆคนเสียเวลานะคะ! ในเวลาแบบนี้เราควรร่วมกลุ่มให้เร็วที่สุด!”
ก็คงเป็นงั้น แต่…
“ถ้าเธอตายไปก่อน ฉันก็กลับไปหาพวกนั้นไม่ได้อยู่ดี ไม่สิ แค่กลับเมืองยังไม่ได้เลย ช่วยเห็นค่าชีวิตตัวเองด้วย หรืออย่างน้อยก็ช่วยเห็นความลำบากฉันที่ต้องมาแบกรับบาปที่เธอตาย…” มีหวังถูกกล่าวหาว่าฆ่าเจ้าตัวแน่เลย
พอผมพูดจบ คุณหนูคายาก็นั่งลงแต่โดยดี ส่วนผมก็ทำการร่ายเวทสายตรวจจับบริเวณรอบๆ ในกรณีที่มีศัตรูเข้ามาใกล้ๆ จะได้เตรียมตัวทัน
“ดื่มนี่สิ…” ผมว่าพร้อมยื่นชาให้เธอไปแก้วนึง มันเป็นชาร้อนที่ถูกเตรียมโดยบาสเตียน
“…” แต่เหมือนคุณหนูคายาจะลังเลที่จะรับมันไป เหมือนกำลังกลัวอะไรอยู่ ผมรู้ว่าเธอกำลังกลัวบางอย่าง ผมเลยพูดขึ้นอีกครั้งว่า “มันไม่มีอะไรแปลกๆผสมอยู่หรอก ก็แค่ชา”
ถึงอย่างนั้นเธอก็มีท่าทีลังเลอยู่ แต่ท้ายที่สุดคุณหนูคายาก็รับแก้วไปในที่สุด เธอค่อยๆดื่มมัน ก่อนจะทำท่าผ่อนคลายออกมา
“…คิดว่าเราที่ไหนเหรอ?” ระหว่างที่ผมสำรวจรอบๆอยู่นั้นเอง คุณหนูคายาก็ได้ถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“…” ผมเงียบและคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้
แต่จริงๆแล้วผมนั้นไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เพราะนี้ไม่ได้อยู่ในเกม หรือต้องบอกว่าโลกนี้เป็นโลกที่ผมไม่คุ้นเคยเสียแล้วล่ะนะ ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ
“…ฉันคิดว่าเราคงอยู่ใต้อาคารหินอ่อน คงจะประมาณถ้ำใต้ดิน” ผมเงียบอยู่นาน ก่อนจะตอบออกมา ก่อนจะหันไปบอกเธอว่า “แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรู้หรอกนะ ตอนนี้ ณ เวลานี้ เธอต้องพักผ่อนและฟื้นฟูพลังเวทให้มากที่สุด…!”
แต่จังหวะนั้นเอง ที่ผมบังเอิญเห็นเงาด้านหลังคุณหนูคายา มันเป็นเงาของสิ่งมีชีวิตเลื้อยคลานขนาดใหญ่ ใช่ สิ่งที่ผมนั้นคืองูสีดำแดงตัวใหญ่ที่กำลังโจมตีคุณหนูคายา
“ระวัง!” ผมพุ่งไปทางเธอ
“เอ๋!?”
ผมเห็นใบหน้าที่สังสัยของคุณหนูคายา ผมดึงตัวเธอเข้ามาและเหวี่ยงไปด้านหลังผม ผมจะชักดาบต้องสาปขึ้น แต่เจ้างูนั้นเร็วกว่าผม มันเข้ากัดไหล่ซ้ายผมเต็มเป้า
“อึก!” ผมสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นผ่านหัวไหล่ซ้ายของผม แถมยังรู้สึกชาๆด้วย ผมกัดฟันแน่นจนเกิดเสียง
กรอดๆ!
ทนกับความเจ็บปวด ผมน่ะปลื้มนะที่มีสาวมาฝังเขี้ยวอย่างโนรา แต่กลับเจ้างูบัดซบนั้น กูไม่ดีใจหรอกนะโว้ย!!
ชักดาบต้องสาปออกมา แทงเข้าคาง แต่เนื่องจากว่าดาบมันหักครึ่งไปแล้ว ทำให้มันไม่ได้ทะลุหัว มันคลายการกัดลงเล็กน้อย ผมปล่อยมือจากดาบต้องสาปที่ปักคางมันอยู่
ก่อนจะใช้ท้ายมือซัดตอกเข้าที่ด้านดาบอย่างรุนแรง จากการกระทำของผม ทำให้ดาบนั้นทะลุหัวมันจนได้ มันเริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงไป ผมดันมันออกไป
“ระ-ริชาร์ด!”
ผมได้ยินเสียงคุณหนูคายาร้องอย่างตื่นตระหนักด้วยความตกใจ แต่ตอนนี้ผมนั้นเบลอไปหมดแล้ว คงเพราะพิษงูเวรแน่! และในที่สุดผมก็เหมือนว่าตัวเองนั้นล้มลงไป ก่อนจะหมดสติ…
“ไอ้พวกนี้! มันอะไรกัน!” เทรย์เวอร์ร้องขึ้น เมื่อเขาทำการรับดาบผุพังจากซากโครงกระดูกมีชีวิต
เขาผลักมันออกไป ก่อนจะฟันตัดลำตัว ทำให้เจ้าโครงกระดูกขาดครึ่งล้มลงไป
“…เหมือนจะเป็นอันเดธ?” ดาร์เลเน่พูดขึ้น ขณะใช้เวทไฟใส่โครงกระดูกที่เข้าใกล้เทรย์เวอร์
ใช่แล้วพวกเทรย์เวอร์ในเวลานี้ ณ ตอนนี้กำลังเข้าปะทะกับอันเดธ ซากศพที่คืนชีพขึ้นมาด้วยความเคียดแค้นชิงชัง อันเดธพวกนี้ต่างเป็นซากจากอดีตอันเลวร้าย พวกมันต่างถือดาบ และโล่ สวมชุดเกราะป้องกันอัศวินโบราณ พวกมันต่างถูกสาปแช่งให้จองจำไม่ให้ไปผุดไปเกิดได้
“จงกำเนิดแสง เพื่อชำระล้าง บาปแห่งสิ่งชั่วร้าย!” โอเรียนน่าที่สามารถรวบรวมพลังเวทได้เท่าที่ต้องการ ก็ได้เอ่ยคำร่ายออกมา พร้อมแสงที่สว่างสาดส่องไปทั่ว
แน่นอนว่าพวกอันเดธนั้นเป็นสิ่งที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยกระแสแห่งความเกลียดชัง สิ่งชั่วร้าย มันเป็นสิ่งตรงข้ามของแสงสว่าง มันเปรียบเสมือนเงามืดแห่งโลกใบนี้ ย่อมถูกแสงสว่างปัดเป่าให้กลายเป็นธุลีไป
เพราะงั้นโอเรียนน่าถึงเป็นศัตรูต่อพวกมันเป็นธรรมชาติไป
ทันทีที่พวกอันเดธระดับต่ำพวกนี้ถูกเวทแสงของโอเรียนน่า ต่างถูกสลายเป็นฝุ่นไปในทันที ไม่อาจต้านทานได้
“แฮ่ก แฮ่ก ใช้บ่อย หนูก็ไม่ไหวเหมือนกันนะคะ” โอเรียนน่าบ่นขึ้นมา
“ถึงเวทไฟของฉันจะใช้ได้ผล แต่ของเรียนน่าที่เป็นเวทแสงก็ได้ผลมากกว่า” ดาร์เลเน่พูดขึ้น ด้วยเหตุผล
“นั้นสิ พวกมันโดยทีเดียว ก็ถึงกับเป็นฝุ่นไปเลย” เทรย์เวอร์ทึ่งกับผลรับ ใช่ว่าพวกเขาจะได้พบเห็นอันเดธกันง่ายๆ
“ถ้าหนูมีประโยชน์กับพี่ชายล่ะก็…”โอเรียนน่าเกิดเขินขึ้นมา
ระหว่างที่กำลังหยอกล้อกันอย่างผ่อนคลายนั้นเอง ดาร์เลเน่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเข้าใกล้มา มันเป็นสัมผัสถึงความอันตรายเหมือนกับมังกรนั้น
“มีอะไรเหรอดาร์เลเน่?”
เป็นจังหวะเดียวกันที่เทรย์เวอร์กับโอเรียนน่าสังเกตท่าทีแปลกๆของดาร์เลเน่ เธอก็ได้ร่ายเวทขึ้นมาพร้อมโจมตีออกไปในทันที มันเป็นการโจมตีที่รุนแรง เกินระเบิดเพลิงขึ้นด้านหน้าของพวกเขา จนเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“ดาร์เลเน่?” เทรย์เวอร์ถามอย่างสงสัย
และทันใดนั้นเอง กลุ่มฝุ่นควันพวยพุ่งอันเกิดมาจากระเบิดเพลิงดาร์เลเน่ จู่ๆก็ถูกตัดออกด้วยดาบขึ้นสนิมขนาดใหญ่ ก่อนจะปรากฏชุดเกราะหนักขนาดใหญ่เก่าๆขึ้น
“ทั้งๆที่โจมตีไปด้วยท่ารุนแรงสุดๆ แต่ไม่เป็นไรเลย!?” ดาร์เลเน่ไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง
ถึงแม้ว่าจะสวมชุดเกราะเต็มยศ แต่เบ้าตาที่ถูกเว้นว่างไว้ มีลูกไฟสีแดงเช่นเดียวกับอันเดธที่ได้พบเจอมา ก็ทำให้ได้รู้ว่า มันไม่ใช่มนุษย์…