บทที่ 252 อย่าทำให้ตัวเองต้องขายหน้า
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
สมุนไพรสยบวิญญาณเป็นสมุนไพรวิญญาณที่แปลกประหลาดและมีราคาแพงอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะมันหายากเกินไปและยังเป็นสมุนไพรเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถใช้ในการบ่มเพาะพลังวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะแพงหูฉี่ แต่มันก็ไม่มีทางเทียบได้กับศิลาสวรรค์อันล้ำค่า!
หากเป็นวันปกติ ซูตี๋หวังจะไม่พิรี้พิไรที่จะส่งมอบสมุนไพรสยบวิญญาณให้กับเจียงอี้ด้วยความยินดี
แต่ปัญหาคือ… มันเป็นของหมั้นที่อาณาจักรเสินหวู่เตรียมไว้และยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทหารนับพันต้องตายไป
หากซูตี๋หวังมอบสมุนไพรสยบวิญญาณให้กับเจียงอี้ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าทหารจากอาณาจักรเสินหวู่จะต้องตายไปอย่างไร้ค่าหรอกหรือ?
อีกทั้งยังเป็นการการตบหน้าเซี่ยอู๋หุ่ยและราชาเซี่ยถิงเวยฉาดใหญ่!
ร่างของเซี่ยอู๋หุ่ยสั่นระริกและไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาชี้ไปที่เจียงอี้และตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
“เจียงอี้! เจ้าหยุดแสดงละครได้แล้ว ตัวเจ้าที่บังอาจทรยศต่ออาณาจักรเพียงเพราะต้องการสมุนไพรสยบวิญญาณ ยังจะกล้าพูดมากอีกรึ?”
“องค์ชายผู้นี้อยากจะแนะนำเจ้าให้เลิกเพ้อฝันได้แล้ว ของขวัญชิ้นนี้คือตัวแทนความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเสินหวู่และอาณาจักรต้าเซี่ย เจ้าคิดหรือว่าจะเอามันไปได้ง่ายๆ? เลิกฝันเฟื่องเสียที!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เซี่ยอู๋หุ่ยถูกเจียงอี้กระทำอยู่ฝ่ายเดียวจนแทบจะกลายเป็นบ้าและในที่สุดเขาก็ไม่สามารถระงับความเกลียดชังไว้ได้อีกต่อไป
หากเจียงอี้สามารถรับสมุนไพรวิญญาณไปโดยวิธีการเช่นนี้ เขาคงจะกระอักเลือดตายเพราะความคับแค้นใจอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงยกเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักรขึ้นมาพูดเพื่อให้ซูตี๋หวังชั่งน้ำหนักการกระทำของตัวเองให้ดี
“นี่มัน…”
บรรดาแขกในวังต่างพากันงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซี่ยอู๋หุ่ยถึงได้มีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้? เขาละทิ้งท่าทีอันสง่างามและกล้าเรียกเจียงอี้ด้วยชื่อโดยตรง? อีกทั้งยังบอกว่าทูตตรวจการผู้นี้ทรยศต่ออาณาจักรตัวเอง… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปยังร่างของเจียงอี้เพื่อดูปฏิกิริยาของเขา
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าสีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งราวกับว่าคำพูดของเซี่ยอู๋หุ่ยเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาเท่านั้น หลังจากที่เขาดื่มไวน์ไปแก้วหนึ่งเขาก็หันกลับมาพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“เจ้ากำลังพูดกับข้ารึ? ไม่สิ เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“เป็นเพียงแค่องค์ชายผู้หนึ่ง แต่กลับกล้าพูดจาเทียบชั้นกับข้าที่เป็นถึงทูตตรวจการเชียวหรือ?”
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนกองทัพของอาณาจักรเสินหวู่คงจะยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินนะ เจ้าถึงไม่เห็นหัวจักรวรรดิมังกรเวหาอีกต่อไป… เอ๊ะ! หรือว่าพวกเจ้าคิดจะเข้ามาแทนที่จักรวรรดิและสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองทวีปนี้แทน?”
ท่าทางการพูดของเจียงอี้ดูสงบมาก แต่ทุกคำพูดของเขากลับมีจักรวรรดิมังกรเวหาเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด
ในเวลานี้ บรรดาผู้คนจากอาณาจักรเสินหวู่ต่างก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวจนแทบจะดูไม่ได้ กระทั่งไท่สื่อเจินก็ไม่อาจยับยั้งจิตสังหารของตัวเองได้อีกต่อไป หากว่าคนที่พูดออกมาไม่ใช่เจียงอี้ ป่านนี้เขาคงจะตายเป็นร้อยรอบแล้ว
เซี่ยอู๋หุ่ยได้เตรียมที่จะเดิมพันด้วยทุกสิ่ง เขาไม่มีความหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขามองเจียงอี้ด้วยความเย้ยหยันและกล่าวออกมา
“เจียงอี้ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร? อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระให้เปลืองน้ำลายแล้วก็อย่าได้คิดว่าตำแหน่งอันเล็กกระจ้อยอย่างทูตตรวจการจะสามารถข่มขู่ข้าได้!”
“หากว่าเจ้ากล้าเหยียบเข้าไปในอาณาจักรเสินหวู่แล้วองค์ชายผู้นี้ไม่ได้สังหารเจ้า เช่นนี้ข้าก็จะขอเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้าแทน!”
อาณาจักรเสินหวู่นั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาอาณาจักรทั้งหกและยังเป็นเพียงอาณาจักรเดียวที่มียอดฝีมือขอบเขตจินกังถึงสองคน
เซี่ยอู๋หุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ อาณาจักรเสินหวู่กับอาณาจักรต้าเซี่ยอยู่ในฐานะที่ต่างกันมาก แม้ว่าเขาจะลงมือสังหารเจียงอี้ ด้วยสภาพของจักรวรรดิมังกรเวหาในตอนนี้ พวกเขาจะกล้ามาหาเรื่องอาณาจักรเสินหวู่ถึงถิ่นเชียวหรือ?
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะราวกับว่าพบเจอเรื่องที่น่าตลกขบขันมากที่สุดในโลก เขาชี้ไปที่เซี่ยอู๋หุ่ยต่อหน้าผู้คนและกล่าว
“ทุกท่านคงได้ยินแล้วใช่หรือไม่?! รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่ประกาศออกมาว่าจะฆ่าผู้ตรวจการคนนี้อย่างโจ่งแจ้ง! หลิงเชียง ท่านรีบจดบันทึกและส่งรายงานกลับไปยังจักรวรรดิเพื่อให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาตัดสินโทษของเขาซะ!”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงอี้ก็เดินลงมาจากแท่นที่นั่งสีทองม่วงอย่างไม่รีบร้อนและเดินตรงไปหาเซี่ยอู๋หุ่ยทีละก้าวๆพลางกล่าวต่อ
“องค์รัชทายาท ในเมื่อท่านต้องการสังหารผู้ตรวจการคนนี้ ใยต้องไปถึงอาณาจักรเสินหวู่ด้วยเล่า? เช่นนั้นก็มาฆ่าฟันกันให้ตายเสียตรงนี้เลยสิจะได้สิ้นเรื่อง!”
“ฮือฮา!”
หลังจากที่กล่าวจบ ห้องโถงก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างของเจียงอี้ก็ปะทุรังสีสังหารออกมาพร้อมกับดวงตาที่กลายเป็นสีแดงฉาน
ในเวลาเดียวกันดาบมังกรเพลิงก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา มังกรเพลิงสองตัวพุ่งทะยานออกมาจากตัวดาบ พวกมันแหวกว่ายอยู่ในอากาศและสร้างแรงกดดันอันมหาศาลออกมากดทับร่างของเซี่ยอู๋หุ่ยในทันที
ตุบ! ตุบ!
บรรดาขุนนางที่อ่อนแอบางส่วนถึงกับหวาดกลัวจนเข่าอ่อนล้มไปกับพื้น ในเวลาเดียวกัน ทางด้านทหารหลวงและซูตี๋กั๋วต่างก็เริ่มเคลื่อนไหว
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรรีบไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายราชาซูตี๋หวังในพริบตา
อีกด้านหนึ่ง ชนชั้นแม่ทัพทั้งหมดและซูตี๋กั๋วต่างก็โคจรแก่นแท้พลังเพื่อเตรียมพร้อมที่จะลงมือตลอดเวลา
ดูท่าแล้ว เป้าหมายของเจียงอี้คงมีเพียงแค่เซี่ยอู๋หุ่ยเท่านั้น และถ้าหากว่าซูตี๋หวังไม่ออกคำสั่ง พวกเขาทั้งหมดก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปแทรกแซงความบาดหมางระหว่างคนทั้งสอง เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ไม่ควรที่จะเข้าไปยั่วยุทั้งสิ้น
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ไท่สื่อเจินและเว่ยกงกงรีบตรงไปที่ด้านข้างของเซี่ยอู๋หุ่ย มือข้างหนึ่งของขันทีชราเปล่งแสงและพร้อมที่จะลงมือกับเจียงอี้ได้ทุกเมื่อ ทางด้านของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงทั้งสี่ก็เข้ามาเตรียมพร้อมที่ด้านหลังของเซี่ยอู๋หุ่ยราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ!
ตอนนี้ พวกเขาทุกคนกำลังรอคำสั่งจากเซี่ยอู๋หุ่ยเพื่อที่จะลงมือสังหารเจียงอี้ให้สิ้นซากเสียที!
เซี่ยอู๋หุ่ยอาจจะหุนหันพลันแล่นเกินไป แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว หากว่าเจียงอี้เป็นฝ่ายลงมือก่อน พวกเขาจะสังหารอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งความเมตตา
แต่ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ เซี่ยอู๋หุ่ยนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ เขาอยากจะออกคำสั่งให้สังหารเจียงอี้ใจจะขาด แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลของเจตจำนงสังหารและดาบมังกรเพลิง อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่หายใจก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก!
“พวกเจ้าทุกคนจงยืนอยู่ในที่ของตัวเองซะ! มิฉะนั้น ข้าจะไม่รับประกันความปลอดภัยของเขา!”
ดวงตาของเจียงอี้เย็นชาอย่างถึงที่สุดขณะที่กวาดมองไปยังผู้คนที่อยู่โดยรอบ วินาทีต่อมาไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาก็เปล่งแสง จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปมองเว่ยกงกงกับไท่สื่อเจิน ก่อนที่จะตะโกน
“พวกเจ้าทั้งสองจะสังหารผู้ตรวจการคนนี้ก็ได้ แต่ข้าก็แน่ใจว่าข้าสามารถลากองค์ชายของพวกเจ้าลงไปในนรกพร้อมกับข้าได้ ไม่เชื่อก็ลองดู!”
กรอดด!
ไท่สื่อเจินและเว่ยกงกงกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ พวกเขาไม่กล้าที่จะผลีผลามเพราะทราบดีว่าเจียงอี้ครอบครองหินวิเศษที่มีพลังทำลายล้างสูง หากหินก้อนนั้นปรากฏออกมา เซี่ยอู๋หุ่ยจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาทั้งสองไม่กล้าเคลื่อนไหวและส่งสายตาไปมององค์ชายของตนเป็นเชิงไถ่ถาม แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับมีเพียงร่างที่ยืนสั่นเทาของเซี่ยอู๋หุ่ยและใบหน้าที่ซีดขาวราวกับปราศจากโลหิตมาหล่อเลี้ยง
ภายใต้แรงกดดันอันทรงพลังของเจตจำนงสังหารและดาบมังกรเพลิง อย่าว่าแต่การพูดออกมาเลย เพียงแค่ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าน่าชื่นชมมากแล้ว
“ท่านทูตเจียง อย่าให้มันถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะ มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันเถิด”
แม้ว่าจะมีอาการหายใจหืดหอบเพราะได้รับผลกระทบจากเจตจำนงสังหารของเจียงอี้ แต่เขาก็ยังคงฝืนยิ้มและกล่าว
“อย่าได้ทำเช่นนี้เลย ไม่ว่าฝ่ายไหนจะบาดเจ็บมันก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น!”
เจียงอี้ยังคงยืนนิ่งและเหลือบมองเว่ยกงกงกับไท่สื่อเจิน ในเวลาเดียวกันเขาก็เพิ่มแรงกดดันเพื่อทรมานเซี่ยอู๋หุ่ยอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่เขาเพ่งเล็งเพียงแค่เซี่ยอู๋หุ่ย มิฉะนั้นคงมีอีกหลายคนที่ทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับกระอัดเลือดเป็นแน่
“ฝ่าบาท…”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังกระซิบที่ข้างหูราชาซูตี๋หวังจากด้านหลัง ตราบเท่าที่ซูตี๋หวังอนุญาต เขาจะลงมือปลิดชีพเจียงอี้ในทันที
ในสายตาของยอดฝีมือระดับเขาแล้ว เจียงอี้นั้นเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง แต่กลับสามหาวเกินไปจนแม้แต่ตัวเขาเองก็แทบจะทนดูไม่ไหว
ดวงตาของซูตี๋หวังสั่นไหวและเผยให้เห็นความไม่มั่นคงทางอารมณ์ แต่จากนั้นไม่นานเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เดิมทีเขาก็มีบุคลิกที่อ่อนแอและสูญเสียความกล้าหาญทั้งหมดไปนานแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการที่จะทำให้แน่ใจว่าอาณาจักรต้าเซี่ยจะไม่พังพินาศในยุคของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะแบกรับความเสี่ยงใดๆได้
สถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้อีกสักพักหนึ่ง เจียงอี้ยืนอย่างสงบในขณะที่คนอื่นนั้นก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว
การแสดงออกทางสีหน้าของไท่สื่อเจินและเว่ยกงกงนั้นย่ำแย่มาก แม้กระทั่งองครักษ์ขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงทั้งสี่ก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกัน ฝ่ามือของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและอยู่ในสภาวะตึงเครียด
ตุบ!
ในที่สุดเซี่ยอู๋หุ่ยก็ไม่สามารถแบกรับแรงกดดันไว้ได้อีกต่อไปและหมดสติจนลงไปนอนกองกับพื้น เขาเป็นเพียงแค่นักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุด จะสามารถต้านทานเจตจำนงสังหารที่สามารถสยบได้แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นต้นได้เยี่ยงไร?
การที่สามารถยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้ก็นับว่าน่าประทับใจมากแล้ว!
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงอี้ก็แสยะยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ถอนแรงกดดันทั้งหมดกลับไปก่อนที่จะเดินกลับไปยังแท่นที่นั่งสีทองม่วงอย่างช้าๆและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อองค์ราชาทรงเอ่ยปากด้วยตัวเอง แล้วข้าจะไม่ไว้หน้าพระองค์ได้เยี่ยงไร? เอาเถิด คราวนี้ข้าจะไม่เอาเรื่องเขาก็แล้วกัน จงนำองค์ชายของพวกเจ้าออกไปซะและบอกเขาด้วยว่าเลิกทำให้ตัวเองต้องขายหน้าได้แล้ว… มันน่าสมเพช!”
“เอ่อ…”
ทันทีที่ทุกคนเริ่มได้สติกลับมา มีหลายคนที่ลอบยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างลับๆ เจียงอี้ไม่ได้คิดที่จะสังหารเซี่ยอู๋หุ่ยตั้งแต่แรก เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ประโยชน์จากเจตจำนงสังหารเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายหุบปากเท่านั้น!