บทนำ
ยามเมื่อฤดูหนาวผ่านมาเยือน ละอองสีขาวจึงค่อย ๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่มีหิมะตก หญิงสาวคนหนึ่งพาลูก ๆ ทั้งสามขึ้นมาบนหอคอยจากนั้นเธอก็ใช้พลังก่อกองไฟให้ความอบอุ่น ผ้าห่มขนสัตว์ที่นำมาก็คลุมร่างกายตัวเองก่อนจะให้เด็ก ๆ เขยิบมาอยู่ด้วยกันจะได้อาศัยผ้าห่มและแผ่ไออุ่นให้กัน
“ท่านแม่เล่านิทานให้ฟังหน่อยสิคะ” เด็กหญิงผมสีขาวที่ตอนนี้เขยิบมานั่งตักผู้เป็นแม่กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ไม่เอาเรื่องเดิม ๆ อย่างเจ้าชายเจ้าหญิงนะคะ”
“จริงด้วย พวกข้าฟังจนเบื่อแล้ว” เด็กชายผมสีขาวซึ่งเป็นแฝดพี่ของเด็กผู้หญิงแต่เป็นลูกคนรองสนับสนุนน้องอีกคน เขาเองก็อยากได้ยินอะไรใหม่ ๆ เช่นกัน
“ท่านแม่ เล่าเรื่องผู้กล้ากับจอมมารให้น้อง ๆ ฟังสิครับ เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทั้งทีนี่นา” ลูกชายคนโตซึ่งมีผมสีแดงเหมือนแม่เป็นคนเสนอ ทำให้น้อง ๆ ทั้งสองถึงกับตาวาว
“เอาตามที่ท่านพี่บอกนะคะ”
“เล่านะครับ ท่านแม่ ข้าจะฟังเรื่องนี้”
“ก็ได้ ๆ นั่งกันดี ๆ แม่จะเริ่มเล่าแล้ว” เจ้าของเสียงหวานกล่าวพลางมองลูก ๆ ทั้งสองที่ตอนนี้พากันนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เธอสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสมาธิและนึกถึงเรื่องราวที่จะเล่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
ในช่วงเวลาหนึ่งของโลกใบนี้ เคยมีเรื่องราวของผู้กล้าและจอมมาร ศัตรูที่ฆ่าฟันกันมาหลายยุคหลายสมัย และแล้วกาลเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงยุคของผู้กล้าคนสุดท้าย...
มนุษยชาติถูกกวาดล้าง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะความพ่ายแพ้ของผู้กล้าอย่างเธอ สิ่งที่จอมมารทำจึงสำเร็จโดยไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เธอทำได้แค่เฝ้ามองผู้คนล้มตาย เห็นคนรู้จักจากไปทีละคนจนไม่เหลือใคร สุดท้ายเธอก็กลายเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลก
“จะทำยังไงกับนางดี”
“ท่านจอมมารน่าจะฆ่านางทิ้ง”
“จริงด้วย นางเป็นผู้กล้า ยังไงก็เป็นศัตรูของท่านจอมมาร ฆ่านางทิ้งซะดีกว่า เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เสียงของปีศาจผู้คุมคุยกันดังแว่วเข้ามาในห้องขังทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านในหัวเราะเบา ๆ อย่างขมขื่น ถ้าอยากจะฆ่าเธอก็เชิญเลย ไหน ๆ ก็ไม่เหลืออะไรให้ปกป้องแล้ว อยู่ไปก็ไร้ความหมาย ตายไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก
“ท่านจอมมารมีคำสั่งให้พานางไป”
ใกล้จะได้เวลาแล้วสินะ ผู้กล้าสาวถอนหายใจอย่างปลงตก เธอยอมรับความตายที่ศัตรูจะมอบให้แล้ว
ตอนนี้เธอถูกคุมตัวออกจากห้องขังซึ่งอยู่ใต้ดินของปราสาท จากนั้นทหารปีศาจก็พาเธอขึ้นไปยังชั้นบน และนั่นทำให้เธอแปลกใจเพราะนึกว่าลานประหารจะอยู่นอกตัวปราสาท แต่ทำไมต้องพาเธอไปที่ชั้นสูง ๆ ด้วย
หรือเจ้าพวกนี้คิดจะให้เธอแขวนคอตาย?
ในที่สุดมนุษย์คนสุดท้ายก็ถูกคุมตัวมาถึงห้องที่อยู่ชั้นบนสุดของปราสาท เมื่อทหารได้รับอนุญาตจึงเปิดประตูก่อนจะผลักเธอเข้าไป ผู้กล้าสาวถึงกับล้มหน้าทิ่มเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูปิดแล้วยังลงกลอนไม่ให้ใครออกมาอีก
“มาสักทีนะ ผู้กล้าโรซาเลีย”
“จอมมารไนเจลลัส” พอเห็นว่าใครเรียก เจ้าของชื่อก็รีบถอยหลังไปอยู่ตรงมุมห้องอย่างหวาดระแวง ทางด้านผู้ปกครองเผ่าปีศาจก็เหยียดยิ้มชวนขนลุก การที่ได้มาอยู่กันสองต่อสองในห้องจะทำให้โรซาเลียรู้สึกไม่ไว้ใจ
“ตอนนี้ไม่เหลือมนุษย์อยู่บนโลกแล้ว”
“เจ้ากวาดล้างหมดแล้วนี่” ตอนนี้เธอเป็นมนุษย์คนสุดท้าย ถ้าเธอตาย โลกใบนี้ก็จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปตลอดกาล “ถ้าจะฆ่าข้าก็รีบทำ”
“ตอนแรกข้าก็คิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” อีกฝ่ายสะบัดมือใช้พลัง หน้าต่างทุกบานปิดสนิทก่อนที่ม่านสีดำจะเคลื่อนมาบังทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด พลันคบเพลิงบนผนังก็ถูกจุดขึ้นทำให้ทั้งห้องยังมีแสงสว่างให้เห็นรอบตัวบ้าง
“จะทำอะไร” โรซาเลียรู้สึกได้ถึงท่าทีคุกคาม ไนเจลลัสก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วกวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าจากนั้นก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า คิดว่าเก็บไว้เป็นของเล่นคงดีไม่น้อย”
“อยู่เป็นของเล่นของใช้เหรอ ให้ข้าตายดีกว่า!”
“ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์” พริบตานั้นพลังที่มองไม่เห็นก็กระชากร่างบางเข้าหาอีกฝ่าย โรซาเลียพยายามเค้นอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาใช้ ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แถมตอนนี้ยังโดนผู้ชายล็อกตัวไว้จึงทำได้แค่เอาหน้าซบอกอีกฝ่าย จะดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุดสักที
ทำไมข้าใช้พลังไม่ได้ล่ะ! ผู้กล้าสาวไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น พลังของเธอไม่ปรากฏ แล้วอย่างนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไง พลันเสียงหัวเราะก็ดังอยู่ข้างหู ท่าทางเขาจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
“ผู้กล้าจะสูญเสียอำนาจศักดิ์สิทธิ์เมื่อจิตใจเอนเอียงเข้าหาความชั่วร้าย แต่ผู้กล้าหญิง ถ้าสมสู่กับปีศาจ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ก็จะหายไปตลอดกาล”
“เจ้า...เจ้าทำอะไรข้า!”
“ระหว่างที่เจ้าถูกขัง เจ้าคงไม่รู้ล่ะสิ ตอนที่เจ้าหลับ ข้าทำอะไรไว้บ้าง”
“นี่เจ้า...”
“ข้าใช้เวทนิทราทำให้เจ้าหลับสนิท แล้วก็พาเจ้าขึ้นมาที่ห้อง จากนั้นทำอะไรต่อเจ้าก็เดาเอาเองละกัน”
“กรี๊ด!!!” ไม่ต้องเดาให้มากความ เธอก็พอจะรู้ หญิงสาวกรีดร้องราวกับคนเสียสติพลางดิ้นสุดแรงเกิด ต่อให้ไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์เธอก็ไม่ยอมให้เขาทำอะไรง่าย ๆ เด็ดขาด
“ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่หลายครั้งแล้วด้วย แค่นี้ทำเป็นโวยวาย”
“ให้ข้าตายเถอะ!”
“ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นของเล่นน่าสนุก ทำลายทิ้งไปก็เสียดายแย่”
“เจ้า...” ได้แค่นั้นเสียงหวานก็ถูกกลืนหายทันทีที่อีกฝ่ายใช้ปากทาบทับริมฝีปากของเธออย่างรุนแรง โรซาเลียรู้สึกถึงรสชาติของเลือดจึงรู้ว่าตัวเองปากแตก แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเธอต้องหนีจากผู้ชายคนนี้ให้ได้ก่อน
ผู้กล้าสาวควานมือหาอะไรสักอย่างอยู่ด้านหลังจนกระทั่งจับได้แจกันจึงเอามาฟาดคนตรงหน้าจนแตกคามือตามด้วยผลักเขาออกไป เธอวิ่งกลับไปที่ประตูแต่มันล็อกจากข้างนอกจึงออกไปไม่ได้ ร่างบางวิ่งไปที่หน้าต่างก่อนจะพุ่งชนกระจกจนแตกทำให้เธอเซออกมาที่ระเบียง
สูงขนาดนี้เลยเหรอ เมื่อมองลงไปบนพื้นเบื้องล่าง หญิงสาวก็เสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าปราสาทจอมมารมีกี่ชั้น แต่สูงลิบลิ่วขนาดนี้ ตกลงไปไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่
“ให้ข้าตายยังดีกว่าเป็นไปเมียจอมมารล่ะ” สำหรับผู้ใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์อย่างผู้กล้าและนักบวช การฆ่าตัวตายถือว่าเป็นความผิดบาปร้ายแรง แต่เธอไม่สนใจแล้ว ไหน ๆ โลกนี้ก็ไม่เหลือมนุษย์ให้ปกป้อง เธอจะไปสนเรื่องพวกนั้นให้ได้อะไรขึ้นมา
‘โรซาเลีย’
เสียงหนึ่งดังมาจากทิศที่ไกลแสนไกลทำให้คนที่กำลังจะฆ่าตัวตายต้องชะงัก นัยน์ตาสีเขียวกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยว่าใครกันที่เรียกเธอ
‘โรซาเลีย’
ใคร? ใครเรียกข้า? ความรู้สึกคิดถึงผุดขึ้นมาทำให้หญิงสาวลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองต้องหนีตาย เสียงนั้นคุ้นเคยมาก แต่เธอกลับนึกไม่ออกว่าเป็นใคร
พลันบางสิ่งก็กระชากขาทำให้โรซาเลียล้มลงก่อนจะถูกลากกลับเข้าไปด้านในก่อนจะโดนเศษกระจกบาดเข้าที่ขา ดูเหมือนที่ข้อเท้าจะมีโซ่ล่ามไว้ ด้วยความเร่งรีบจึงไม่นึกถึงข้อนี้
“แค่ข้าจะตายมันไปหนักส่วนไหนของเจ้า ปล่อยนะ!”
“ถ้าจะตายก็ไปตายที่อื่น อย่ามากระโดดระเบียงห้องข้า ข้าไม่อยากเก็บกวาด!” ไนเจลลัสตวาดใส่อีกฝ่ายก่อนจะเหวี่ยงร่างบางลงเตียง ตามด้วยกระชากเสื้อจนขาดติดมือ
หญิงสาวในสภาพตัวเปล่าพยายามคลานหนีแต่ก็โดนลากโซ่กลับมาอยู่ดี ศัตรูคู่แค้นขึ้นมาคร่อมเหนือร่างพร้อมล็อกแขนสองข้างไว้ทำให้เธอขัดขืนไม่ได้ คราวนี้โรซาเลียคงไม่ต้องเดาแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“เจ้าไม่มีทางหนีพ้นหรอก มนุษย์คนสุดท้าย อยู่เฉย ๆ ให้ข้าเลี้ยงไว้ดูเล่นเถอะ จะได้ไม่ลำบาก”
"กรี๊ด!!! " เจ้าของเสียงหวานกรีดร้อง ทว่ามันเปล่าประโยชน์ เสียงของเธอไม่มีทางดังออกไปสู่ภายนอก หรือต่อให้มีคนได้ยินก็ไม่มีใครช่วยทั้งนั้น
สำหรับศัตรูคู่ปรับย่อมไม่มีคำว่าสงสาร ผู้ชนะจะทำอะไรผู้แพ้ก็ได้ อย่างตอนนี้ที่เธอไม่ได้มีแค่สถานะนักโทษแต่ยังต้องเป็นทาสให้จอมมารกดขี่ข่มเหง ชีวิตบัดซบขนาดนี้ อยู่ไปก็ปวดใจเปล่า ๆ รีบตายหนีปัญหายังดีกว่า ถ้าไม่ติดว่าสภาพร่างกายมีบางอย่างเกิดขึ้น ป่านนี้เธอทำตามที่คิดไปนานแล้ว ไม่มีทางอยู่มาถึงเก้าเดือนเต็มแบบนี้แน่
“ข้าเกลียดจอมมาร” อดีตผู้กล้าสบถเสียงเบา ตอนนี้เจ้าของห้องไม่อยู่ อยากบ่นอะไรก็บ่นได้ ถ้าไม่นับตอนกลางคืนที่เขาอยู่ด้วย วัน ๆ เธอก็เอาแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ก็เดินไปเดินมาในห้องเท่านั้น
โรซาเลียลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกมาที่ระเบียง ยังดีที่วันนี้จอมมารไม่ล่ามโซ่ไว้ทำให้เธอเดินไปไหนมาไหนได้มากขึ้น นัยน์ตาสีเขียวแหงนมองท้องฟ้าสีคราม เห็นนกฝูงหนึ่งบินผ่านไป ในใจก็รู้สึกอิจฉาที่พวกมันมีอิสระ พอมองออกไปที่เส้นขอบฟ้า ตรงนั้นเคยเป็นที่ตั้งของแดนมนุษย์ เมื่อหมดสิ้นสิ่งที่ต้องปกป้อง ชีวิตเธอก็จมอยู่กับความทุกข์ พอก้มมองเบื้องล่าง ในสมองก็มีแต่คำว่า 'ตาย' ดังก้องเต็มไปหมด ร่างบางเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วอุ้มบางสิ่งขึ้นมาจากเบาะรองหนานุ่ม
“เฟลิค เจ้าเป็นลูกจอมมาร คงไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแน่” คนพูดฝืนยิ้มให้เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งเกิดเมื่อสามวันก่อน เขายังหลับอยู่จึงไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
อดีตผู้กล้าวางร่างลูกชายลงบนที่นอนจากนั้นก็หากระดาษกับปากกามาเขียนข้อความฝากฝังเจ้าของสถานที่ให้ช่วยดูแลลูก เธอกัดฟันมีชีวิตอยู่เพื่อให้เด็กคนนี้ได้เกิด คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เธอจะไปได้สักที
“มีคนเคยบอกว่าความตายก็เป็นอิสระอย่างหนึ่ง บางทีอาจจะจริงก็ได้นะ” เธอกล่าวกับตัวเองขณะปีนขึ้นไปยืนบนราวระเบียงจากนั้นก็ทิ้งตัวลงมากระแทกพื้นเบื้องล่าง ปิดฉากชีวิตมนุษย์คนสุดท้ายของโลก
เมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนฆ่าตัวตายทำให้ทุกชีวิตที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะการที่โรซาเลียตกลงมากระแทกพื้นต่อหน้าจอมมารซึ่งเพิ่งกลับมาจากธุระข้างนอก แถมศพยังอยู่ห่างจากปลายเท้าแค่นิดเดียว ไนเจลลัสเผยสีหน้าตกใจสุดขีด กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ใช้เวลาไปครู่ใหญ่
“ทำไม...”
เธอจำได้ว่าก่อนที่สติจะดับวูบไป ตัวเองกระโดดลงจากปราสาทเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ทำไมตอนนี้ถึงมาโผล่ที่อื่น พอหันไปด้านหลัง ก็เห็นปราสาทสีขาวสวยงามราวกับภาพวาดในเทพนิยายที่เธอเคยอ่านในวัยเด็ก ประตูบานใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกเป็นการต้อนรับ ด้วยความที่บรรยากาศแถวนี้ดูเป็นมิตร เธอจึงไม่รู้สึกลังเลที่จะเข้าไป
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” โรซาเลียพึมพำขณะเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาวสู่ประตูอีกบาน ทางเข้าแห่งใหม่ค่อย ๆ เปิดออกราวกับเชื้อเชิญ หญิงสาวเดินเข้าไปจึงพบว่าในนี้เป็นห้องโถงกว้างที่มีเก้าอี้สีขาวหรูหราตั้งอยู่กลางห้อง ทว่านอกจากเธอแล้วก็ไม่เห็นมีใครอีกเลย
เจ้าของสถานที่อยู่ไหนเนี่ย!
“สร้างจากหินอ่อนหรือเปล่านะ” คนพูดเดินไปดูต้นเสาที่อยู่ใกล้ที่สุดพลางเอามือเคาะแล้วก็สำรวจดูอย่างสนใจ จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โรซาเลีย โอเฟลี”
“!!!” เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปตามเสียง เมื่อกี้ไม่เห็นมีใครแต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวรูปลักษณ์งดงามราวกับนางฟ้านั่งอยู่บนเก้าอี้ ชุดขาวที่อีกฝ่ายสวมอยู่ดูเรียบง่ายกว่าหญิงสูงศักดิ์ที่เธอเคยพบเจอ แต่กลับสวยงามและเข้ากับผู้มาใหม่อย่างบอกไม่ถูก
“เข้ามาใกล้ ๆ สิ”
“ท่านเป็นใครคะ แล้วรู้ชื่อข้าได้ยังไง” เธอแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้ ทางด้านสตรีปริศนาก็ยิ้มหวานตามด้วยโบกมือเรียกให้เธอเข้ามาหา
“ไม่ต้องระแวงไปหรอก ผู้กล้า ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะแค่อยากคุยด้วย” เสียงหวานที่แสนอ่อนโยนนั้นทำให้เธอเดินเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว “เสียใจไหมที่เรื่องเป็นแบบนี้” คนถามเห็นอีกฝ่ายน้ำตาคลอเบ้าตั้งแต่ได้ยินคำว่าผู้กล้าแล้ว
“ข้าเสียใจมาก...เสียใจมากจริง ๆ ค่ะ”
"เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ” สิ่งที่เกิดขึ้นกับโรซาเลีย ใช่ว่าเธอไม่เห็นแต่ที่ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะเรื่องราวของโลกมันดำเนินไปตามที่ควรจะเป็นแล้ว
“ท่านเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“แล้วทำไมท่านถึงไม่ช่วยล่ะคะ” ดวงตาของอดีตผู้กล้าฉายแววตำหนิ คู่สนทนาคงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง “ท่านเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าใครในโลก ตอนที่เกิดเรื่อง ทำไมถึงยังนิ่งเฉยได้อีก”
“ข้าคือเทรเวน่า เทพีผู้สร้างโลก แล้วก็ใช่ ข้ามีอำนาจมากกว่าใครในโลก แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าข้าจะแทรกแซงได้ตามอำเภอใจ ท่านผู้สร้างจักรวาลกำหนดไว้ โลกทุกใบที่ถูกสร้าง เราแค่เฝ้าดูความเป็นไป หากจะทำอะไรก็ให้คนบนโลกเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นการที่จะมีโลกสักใบเกิดขึ้นและแตกดับ เราก็ต้องยอมปล่อยให้เกิดขึ้น เพราะมันเป็นวัฏจักร”
“แสดงว่าบนโลก เมื่อมีการกำเนิด สักวันก็ต้องมีการตายใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“แต่ข้ารับไม่ได้” เธอเป็นผู้กล้าที่ถูกเลือกมาให้ปกป้องมนุษย์และกำจัดจอมมาร หลังจากมนุษยชาติสูญสิ้น แผ่นดินแห่งนั้นก็กลายเป็นของปีศาจโดยสมบูรณ์ ซึ่งเธอยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
“แล้วเจ้าจะทำยังไง ตอนนี้เจ้าเองก็ตายแล้ว” เทรเวน่าเห็นใจที่คู่สนทนาเป็นแบบนี้ นอกจากจะทำภารกิจพลาดแล้ว ชีวิตต่อจากนั้นยังน่าปวดจิตปวดใจอีก
“ไม่ทราบว่าข้าสามารถย้อนอดีตได้ไหมคะ”
“ย้อนอดีตเหรอ”
“ใช่ค่ะ ในเมื่อตอนนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ทางเดียวก็มีแต่ต้องย้อนเวลากลับไป ข้าสู้จอมมารไม่ได้แต่ถ้าข้าย้อนกลับไปฆ่าเขาในวัยเด็ก ข้าอาจจะเปลี่ยนแปลงตอนจบได้” ถ้าไม่มีจอมมารไนเจลลัส มนุษยชาติก็ไม่ต้องล้มตาย ถ้าเธอเปลี่ยนอดีตได้ ทุกสิ่งที่เธอต้องปกป้องก็จะยังอยู่เหมือนเดิม
“ข้าสามารถส่งเจ้ากลับไปอดีตได้ แต่ไม่ใช่กับโลกที่เจ้าจากมา”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ถ้าเจ้าจะไปอดีต เจ้าก็แค่ย้ายไปอยู่อีกโลกที่เรื่องราวกำลังดำเนินอยู่ ส่วนเหตุการณ์ที่โลกเดิม เจ้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องราวของเจ้าที่นั่นสิ้นสุดแค่นั้น” ประโยคนั้นทำให้โรซาเลียถึงกับหน้าสลด เทรเวน่าเห็นคู่สนทนาเงียบไปจึงถามต่อ “ว่ายังไงล่ะ จะปล่อยวางหรือจะไปทำเรื่องทำราวตามที่เจ้าต้องการในอีกโลก”
“โลกใบนั้นเหมือนโลกที่ข้าจากมาหรือเปล่าคะ”
“แน่นอน ที่นั่นก็มีผู้กล้า จอมมาร มนุษย์ และปีศาจเช่นกัน”
“ถ้าไม่มีใครไปทำอะไร สุดท้ายโลกนั้นก็เป็นเหมือนกับโลกของข้าใช่ไหมคะ”
“ก็อาจจะใช่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปยังโลกที่สอง ข้าจะแก้ตัวที่โลกนั้น” แม้สภาพจิตใจจะยังมีปัญหา แต่ด้วยความที่เธอเป็นผู้กล้า ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ
“แล้วอยากให้ปีศาจถูกกวาดล้างหรือเปล่า”
“ถ้าทุกฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ ข้าว่าน่าจะเป็นเรื่องดี แต่มันไม่มีทางเป็นจริง” ผู้กล้าเป็นตัวแทนของมนุษย์ ส่วนจอมมารเป็นตัวแทนของปีศาจ ต่างฝ่ายต่างสู้กันมานานแสนนาน แม้ตายไปแล้วก็จะมีคนใหม่เป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายมาสู้กันเหมือนเดิม
“ปกติข้าจะไม่แทรกแซง แต่เอาเถอะ เห็นแก่ความตั้งใจของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะยกเว้นก็แล้วกัน” ลูกพลังสีขาวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือก่อนที่เทรเวน่าจะส่งมาให้ โรซาเลียยกสองมือมารับด้วยความสงสัย “เจ้าจะไปเกิดใหม่เป็นปีศาจ เผื่อจะทำอะไรได้ง่ายขึ้น อ้อ ข้าเกือบลืมไป เจ้ายังเป็นผู้กล้าที่ข้าเลือกและยังสามารถใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้ดังเดิม ถึงจะสมสู่กับปีศาจมาแล้วก็เถอะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ไปซะ กลับไปเปลี่ยนตอนจบให้เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” คำพูดนั้นทำให้โรซาเลียแปลกใจแต่ยังไม่ทันจะถาม พลันลูกพลังสีขาวบนฝ่ามือก็ส่องแสงจ้าจนสาวผมแดงต้องหลับตาปี๋โดยเร็ว
เมื่อทุกอย่างจางหายไป อดีตผู้กล้าจึงลืมตาขึ้นก่อนจะพบกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของคนกลุ่มหนึ่งที่มามุงดู พลันเสียงหนึ่งก็ดังแว่วมาทำให้สาว ๆ พวกนั้นถึงกับวงแตก หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งและเห็นหญิงวัยกลางคนชาวปีศาจสวมชุดเหมือนคุณป้าแม่บ้านจอมเฮี้ยบเดินเข้ามาตามด้วยพยุงเธอขึ้น
“คุณหนูโรซาเลียไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” ถามจบ นางก็ตวัดสายตาไปทางพวกสาวใช้ “พวกเจ้านี่ยังไงกัน คุณหนูตกบันไดจนสลบแล้วยังไม่ช่วยอีก!”
“ก็...คือว่า...”
“อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ทำไม ถ้าทำตัวไม่มีประโยชน์ก็กลับไปทำงานไป!” ตวาดจบ สาวใช้เหล่านั้นก็รีบแยกย้ายกันไปอย่างเร่งด่วน ทางด้านคนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
สถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้คือโถงทางเดินแถวไหนสักแห่ง แต่ยังไม่ทันได้สังเกตอะไรไปมากกว่านี้ คุณป้าปีศาจก็พยุงเธอไปนั่งตรงบันไดจากนั้นก็หยิบพัดกับยาดมมาช่วยปฐมพยาบาลให้
“ทางที่ดีคุณหนูควรพักอยู่ในห้อง ร่างกายคุณหนูไม่แข็งแรง เกิดหน้ามืดหกล้มจะบาดเจ็บเอา”
“...” โรซาเลียขมวดคิ้วพลางมองหน้าคนพูด เธอจำได้ว่าไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้แต่ในเมื่ออีกฝ่ายดีด้วย เธอก็จะถามชื่อไว้จะได้จดจำว่าครั้งหนึ่ง คนคนนี้เคยช่วยเธอมาก่อน “เจ้าชื่ออะไรเหรอ”
“อะไรนะคะ”
“เจ้าชื่ออะไร” ทว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่ตอบแล้วยังทำหน้าตกใจอีก สาวผมแดงไม่เข้าใจว่าการถามชื่อคนอื่นมันเป็นเรื่องน่าตกใจตรงไหน แต่พอได้ยินคุณป้าปีศาจอุทาน เธอก็รู้แล้วว่าทำไมนางถึงทำหน้าแบบนั้น
“คุณหนูความจำเสื่อม!”