Chapter I Scene 21
“
Chapter I Scene 21
”
พวกเรากำลังเดินทางไปเมืองเอลฟ์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เคยมีเผ่าไหนไปเยือนตลอด 1000 กว่าปี ก็เพราะพวกเอลฟ์นั้นเป็นพวกเก็บตัว คิดมาก และชอบหมกมุ่นกับบางเรื่องไงล่ะ จะให้พูดสั้นๆก็คงแบบว่า พวก…โลกส่วนตัวสูง น่ะ
“ขอโทษจริงๆ ที่เราเสียมารยาทกับผู้กล้าเทรย์เวอร์” เอลฟ์หญิงผมเขียว ที่เป็นหัวหน้าลาดตระเวนพูดขอโทษกับเทรย์เวอร์ โดยเธอไม่ได้หยุดนำทางเรา
เธอคนๆนี้แนะนำตัวเองว่าลิลลี โดยมีชื่อเต็มๆว่า ‘ลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์’ และมันเป็นชื่อของดอกไม้ เท่าที่ผมรู้มา ชื่อของตัวละครเอลฟ์ทุกคนนั้น จะมีชื่อมาจากดอกไม้ หรือไม่ก็ต้นไม้ ที่มันถูกเรียกยาวๆน่ะ
หลังจากเหตุการณ์ภูตที่ช่วยเรา พวกเอลฟ์ก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังตีนทันที โดยพวกเขาปฏิบัติตนดีมากกับ
เทรย์เวอร์
และมีการพูดการจาที่ดีสำหรับ
เทรย์เวอร์
ดีโคตรๆเลย เลยทำให้
เทรย์เวอร์
สะดวกในการเดินทางดีเยี่ยม
“จริงๆผมไม่ใช่ผู้กล้าที่พวกเขาว่าหรอกนะครับ” เทรย์เวอร์เกาหัวแก้ตัวพร้อมหัวเราะเสียงแห้งออกมา
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกค่ะ ท่านผู้กล้าเทรย์เวอร์”
“จริงๆ จะดีมากเลยถ้าเรียกผมด้วยชื่อเฉยๆ”
“ได้ค่ะ ท่านเทรย์เวอร์”
“จริงๆ ไม่ต้องเติมท่านก็ได้”
“ไม่ได้นะคะ แบบนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติกับผู้ที่ถูกยอมรับจากท่านภูติ และยังเป็นการหักหน้ากับท่านภูติที่จะเรียกท่านอย่างหยาบคายเช่นนั้น”
เทรย์เวอร์หัวเราะกลบเกลื่อนออกมา เมื่อความพยายามของตัวเองไม่ประสบผล ถึงจะเหมือนว่าการเดินทางราบรื่น และเป็นการสะดวกสบายกับทุกคน แต่มัน ก็ยังไงอยู่…
“เฮ้ย!!! ทำไมฉันต้องถูกโซ่ล่ามไว้ที่ข้อมืออย่างกับนักโทษได้ฟ่ะ!!” ผมประท้วงออกมา ขณะเดินโดยมีการล่ามโซ่ไว้ที่ข้อมือของผมด้วย
ผมถูกปฏิบัติเป็นดั่งนักโทษมาตลอดทาง โดยที่คนอื่นอย่าง ดาร์เลเน่ คุณหนูคายา โอเรียนน่า เทรย์เวอร์และโนราถูกปฏิบัติดั่งแขกมาเยือนเพื่อนบ้าน ความอยุติธรรมนี้มันอะไรกัน!!
พวกเอลฟ์หยุดเท้าลงก่อนจะหันมามองหน้าผม ราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูคนโง่อย่างไงอย่างงั้นเลย อารมณ์ประมาณว่า ‘ไอ้โง่นี้มันพูดอะไร?’
“ห่ะ ก็ท่านภูติบอกนายว่าเป็นจอมมารนี่?” ลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์… เอาเป็นว่าผมจะเรียกเธอว่าลิลลี่แล้วกัน เธอตอบออกมาเหมือนกำลังตอบคำถามให้คนโง่ได้ฟัง
ยัยเอลฟ์นี่!!?
“เพื่อความปลอดภัย ข้าต้องล่ามเจ้าไว้ไม่ให้ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าที่เจ้าคิดจะทำมัน” ลิลลี่พูดออกมาราวกับกำลังเป็นผู้พิทักษ์แห่งป่า
“จอมมารบ้านแกสิ ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาจะไปเป็นจอมมารได้ไง! พวกภูติมันมั่วชัดๆ!” ผมเริ่มเรียกความยุติธรรมให้ตัวเอง
“อา~น่ารำคาญจริงๆ!”
ไม่คิดจะฟังกันเลยนิหว่า!!
“งั้นให้ท่านเทรย์เวอร์เป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน คิดเห็นว่าไงค่ะ ท่านเทรย์เวอร์?” ลิลลี่ได้โยนภาระให้กับเทรย์เวอร์ในทันที
ตอนนี้ผมกำลังสวมหน้ากากอยู่ ผมเลยได้แต่ส่งความเชื่อมั่นในการตัดสินใจอย่างยุติธรรมไปที่เทรย์เวอร์ นายเป็นพระเอกนะ ใช่ไหม?เทรย์เวอร์ ฉันเชื่อในตัวนาย!
“ผมว่าก็ดีแล้วที่ล่ามเขาไว้ เพราะเขาเป็นตัวอันตรายมาก โดยเฉพาะผู้หญิง!”
ผมได้ยินเสียงความไว้เนื้อเชื่อใจเมื่อครู่แตกหักลงทันใด เจ้าบ้าเทรย์เวอร์!!!!! แกกำลังแก้แค้นฉันเรื่องในตอนนั้นสินะ แกนะแก!!
ผมพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ แต่ทุกคนหันหน้าหนีทั้งหมด ขนาดโนราที่ผมเลี้ยงเลือดเธอยังหลบหน้าผมเลย นี้ทุกคนคิดว่าผมจะเป็นจอมมารจริงๆงั้นเหรอ? ขนาดในเกมฉันยังตายก่อนที่จอมมารจะตื่นเสียอีกนะ! อยากจะพูดออกไปฉิบหายเลย!
“แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จอมมาร”
ดาร์เลเน่…
“แต่เขาก็อันตรายกับผู้หญิงอยู่ดี”
บัดซบ! ฉันจะจัดเธอหนักๆในโอกาสหน้าแน่!ยัยดาร์เลเน่บ้า!!
“เห็นไหม เลิกบ่นได้แล้ว และทำตัวดีเดี๋ยวจะให้กินข้าวเย็น” ลิลลี่พูดมาในอารมณ์เหมือนนักบุญผู้ใจดี ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้นายจะไม่ได้เป็นจอมมาร แต่ท่านภูตินั้นไม่เคยโกหก!”
บอกเลยว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตแหละ บอกไว้ก่อนเลยว่าผมจะไม่มีวันเป็นจอมมารได้ เพราะโลกใบนี้มีจอมมารอยู่แล้ว แต่ตัวร้ายใหญ่ต่อจากบทของผมเอง แข็งแกร่งยิ่งกว่า เลวยิ่งกว่าและหล่อยิ่งกว่า!
ผมเงียบลง และเดินตามไปอย่างโดยดี ด้วยคอที่ตกอย่างผิดหวังในตัวพวกพ้อง ไม่สิสำหรับตัวร้ายอย่างเราจะเรียกใครว่าพวกพ้องไม่ได้ จะไปมีความยุติธรรมสำหรับตัวร้ายที่ไหนกัน
ภายในตอนเย็น พวกเราก็มาถึงเมืองเอลฟ์จากการนำทางของลิลลี่ ซึ่งผมก็ได้ลืมชื่อเต็มเธอไปแล้ว แต่นั้นก็ช่างมันเถอะ
ลิลลี่พูดอะไรบางอย่างกับพวกยามเฝ้าประตูเมือง ก่อนที่พวกยามจะมีท่าทีตกใจและหันมามองพวกเรา ถ้าพูดให้ถูกคือหันมามองเทรย์เวอร์มากกว่านะ
ก่อนที่พวกเราจะสามารถเข้าประตูไปได้ เมืองเอลฟ์นั้นแตกต่างจากเมืองมนุษย์และเผ่าอื่นๆ พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ทำลายต้นไม้ทำบ้าน แต่กลับกันพวกเขาอยู่ด้วยกันกับต้นไม้ ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีประตูบ้านติดตั้ง
“มันเป็นเมืองที่สวยงามมากค่ะ!” คุณหนูคายาอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความแปลกใจ
เช่นด้วยกันกับทุกๆคนที่กำลังตกตะลึงไปกับภาพอันงดงามแห่งนี้ ซึ่งมันก็สวยจริงๆ ความรู้สึกมันต่างจากที่เห็นเป็นภาพวาดการ์ตูนอธิบายในเกมเสียอีก
แต่ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์บูดสุดๆเลย ไม่สนภาพทิวทัศน์ตรงหน้าหรอกนะ
“แหะ! ก็ไม่เท่าไรนิ!”
“นายว่าไงนะ!” ลิลลี่ตอบสนองกับคำพูดผ่าซากของผม เธอกำลังส่งสายตาดุๆมาทางผม เหมือนกำลังบอกว่า ‘ถ้ากล้า ก็พูดมาอีกสิ’
แน่นอนผมเป็นใคร ริชาร์ด เซริกผู้หล่อเหลา จะไปกลัวการข่มขู่ด้วยสายตากับตัวละครที่ผมเคยฟันเธอมา(ในเกม)ทำไม? เธอตั้งหากที่ต้องกลัวผมไว้!
“ฉันรู้จักเมืองที่งดงามกว่านี้อีก” ผมยกไหล่บอกเธอไป
“ไหนรอบอกมาสิว่าเมืองเผ่าไหนจะงดงามกว่าเผ่าเอลฟ์ของเรา!?” ลิลลี่ทำตาโตใส่ผม และรอบๆกลุ่มพวกเรา ก็เริ่มมีพวกชาวบ้านเอลฟ์มามุงกันด้วยความแปลกใจที่มีมนุษย์เข้ามาในเมือง
“แหะ! ฉันผู้ชาญฉลาดคนนี้จะบอกให้แก่ลิงไร้วัฒนาการอย่างเธอให้ฟังก็ได้”
“นายกำลังหาว่าฉันโง่?”
“เอ้าก็รู้ตัวดีนี่!”
ผมสามารถบอกได้เลยว่าลิลลี่กำลังโกรธสุดๆ ได้ใบหน้าที่แดง พวกเอลฟ์นี้ดีจังน่า ขนาดตอนโกรธยังน่ารักขนาดนี้
“คำตอบมันง่ายนิดเดียวเอง มันก็คือ…เผ่ามังกรไงล่ะ” ผมตอบออกมาพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้า
ผู้คนกำลังสับสน
“เผ่ามังกร?” ลิลลี่ก็สับสนเล็กน้อย ขณะเหมือนกับวิญญาณออกจากร่างไป
“ใช่ เผ่ามังกรนั้นไม่ได้อาศัยบนผืนแผ่นดินด้านล่าง เป็นอาศัยอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ตั้งหาก มันเป็นเมืองที่งดงามเป็นอย่างมากเลยล่ะ!” ผู้อธิบายราวกับนักปราชญ์ผู้รอบรู้ที่ผ่านชีวิตมานานแสนนาน
“เหลวไหล!! ข้ามันบ้าไปเองที่มาโต้เถียงกับคนโง่อย่างเจ้า ไปได้แล้ว!” ลิลลี่ก็ได้ระเบิดอารมณ์โกรธของเธอออกมา พร้อมกระชากคอเสื้อผม และลากไปแทนให้ผมเดินเอง
“คุณริชาร์ดถ้าอยากโกหกคนอื่น เขาก็น่าจะโกหกน่าเชื่อถือนะว่าไหมคะ?” คุณหนูคายาพูดออกมา
“นั้นสิ โง่กว่าที่ฉันคิดเสียอีก” โอเรียนน่ากำลังพูดดูถูกผมอยู่
ส่วนดาร์เลเน่กับโนรากำลังหลบหน้าผมราวกับไม่เคยรู้จักมาก่อน
แน่นอนว่ามันมีสาเหตุที่ทุกคนมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็เพราะเผ่ามังกรนั้นได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณพันปีก่อน ช่วงเดียวกันกับการล่มสลากของจักรวรรดิแดง หรือจะให้ผมเรียนมันว่าจักรวรรดิมังกรเพลิงดีล่ะ